“นี่ตาข้ามีปัญหากระมัง? แม่นางหลี่จีกำลัง…ชอบพอผู้ชาย?”
“บัดซบ! แม่นางหลี่จีเปรียบเสมือนนางในฝันของข้า ปรากฏว่านาง…มีคนที่ชอบอยู่แล้วจริงๆ! บุปผางามติดอยู่บนกองขี้วัว!”
“เจ้าตาบอดกระมัง? หากเปรียบกับเด็กนั้น หาใช่เจ้ารึที่เป็นกองขี้วัว?”
“ไอ้เด็กนั้นดูเหมือนมนุษย์ชัดๆ หัวหอกดูดีดั่งทำจากเงิน แต่ความจริงกลับไร้ประโยชน์! ข้าไม่คิดเลยว่า แม่นางหลี่จีจะขุดเอาขยะเช่นนี้มาจริงๆ!”
…
เมื่อเย่หยวนและหลี่จีเดินบนถนนตัดผ่านภายในเมืองหลวง พลันเกิดเสียงอุทานแซ่ซ้อนดังขึ้น
หากภายใต้สถานการณ์เช่นนี้สามารถฆ่าแกงกันได้ เย่หยวนคงตายนับหมื่นครั้งแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าปีศาจหรือเผ่ามนุษย์ พวกเขาล้วนมีความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามเหมือนกันทั้งสิ้น หาได้มีเผ่าใดดีเลิศไปสักหมด
หลีจี่ได้ฉายาดั่งว่าบุปผางามอันเยือกเย็นแห่งเมืองหลวงโคโปน มีเหล่าบุรุษเพศเฝ้าตามจีบติดตามนับไม่ถ้วน รวมไปถึงไคซิน ชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่น
แต่ไม่มีใครสักคนเดียวที่สามารถทำให้นางใจเต้นได้เลย
ทั่วทั้งถนนอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นเปรี้ยว
นี่หาใช่การกระทุ้งขวดน้ำส้มสายชู ทว่ากลับเป็นการเทน้ำส้มสายชูลงในทะเล จนยามนี้ท่วมทั้งถนนสิ้นแล้ว
ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินออกไปนอกประตู หลี่จีก็โผเข้ากอดเย่หยวนอย่างกล้าๆกลัวๆ กลิ่นอรชรหอมหวานซึมซาบเข้าเตะรูจมูก จนทำให้เขารู้สึกใจสั่นโดยไม่ตั้งใจ
ต้องยอมรับก่อนเลยว่า หลีจี่เป็นหญิงสาวสายรุกที่งดงามอย่างยิ่ง
ปราศจากกิริยาข่มกลั้น ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ และไร้ซึ่งความเขินอาย สิ่งเหล่านี้ช่างแตกต่างไปจากสตรีเผ่าอื่นๆ
นางมิได้โปรยเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหลนาง แต่กลับเป็นคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่ถูกเสน่ห์ของนางดึงดูดเข้าหาแทน
เย่หยวนพยายามช้อนคางขึ้นและต้องพานพบกับเนินเขาลูกให้อันภาคภูมิของอิสตรี
ทว่าอย่างไรภายในใจของเย่หยวนกำลังร่ำร้องด้วยึความขมขื่นใจไม่มีหยุด
ไม่ว่าหลี่จีจะดีแค่ไหน แต่นางก็ไม่มีทางมาแทนตำแหน่งของเยวี่ยเมิ่งลี่และมู่หลินเสวียภายในใจของเขาได้เช่นกัน
มันเพียงว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้สถานการณ์บีบบังคับ เขาจึงต้องจำใจแสดงตามน้ำไปพลาง
“โถงโอสถปีศาจ? คุณหนูหลี่จี ไฉนเราไม่เข้าไปดูหน่อยสักเที่ยว”
เมื่อทั้งสองเดินผ่านโถงใหญ่เข้ามา มีแผ่นป้ายขนาดใหญ่ติดอยู่ด้านบนเขียนว่า‘โถงโอสถปีศาจ’ สามคำนี้ทำให้เย่หยวนใจเต้นแรงขึ้นมาทันใด
เขาต้องการหลอมกลั่นโอสถทองคำลึกล้ำสำหรับการวิวัฒนาการครั้งที่สอง และตอนนี้ดูเหมือนว่ายังขาดสมุนไพรบางอย่างพอดี
ขณะนี้ พวกเขาทั้งคู่ก็เดินผ่านเข้าไปในโถงโอสถปีศาจ เพื่อเข้าไปเดินดูก่อนสักรอบหนึ่ง
ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นฉายสะท้อนออกมาผ่านนัยน์ตาของหลี่จี นางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมที่เจ้าคือนักปรุงโอสถปีศาจ?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“จะเข้าใจเช่นนั้นก็ไม่ผิด”
ทันทีทันใดหลี่จีพลันเปล่งเสียงหวานดังขึ้นว่า
“ข้าจะไปกับเจ้า…ในทุกที่ที่เจ้าต้องการ”
เย่หยวนแทบสำลักถึงกับพูดไม่ออก
…
ทั้งสองตรงเข้ามาถึงโถงโอสถปีศาจ คลื่นเสียงดังกึกก้องผ่านเข้ามาทันทีจากภายใน
เนื่องจากการหลอมกลั่นโอสถต้องใช้ไฟเผาผลาญตลอดเวลา จึงทำให้ภายในโถงโอสถปีศาจมีอุณหภูมิสูงมาก
ไม่รู้ว่าคนของโถงโอสถปีศาจกำลังคิดอะไรอยู่ ไฉนถึงจัดห้องหลอมกลั่นโอสถไว้ที่โถงด้านนอก
ขณะเดียวกัน มีชายชราสี่ถึงห้าคนกำลังจับมือช่วยกันเร่งไฟใต้หม้อหลอมไม่หยุดหย่อน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยพร้อมธารเหงื่อที่ไหลรินบนหน้าผาก
เย่หยวนเพียงกวาดสายตามอง ก่อนส่ายหัวไปมาโดยไม่มีเจตนา
มาตรฐานหลอมกลั่นเช่นนี้ ยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้ช่วยหลอมกลั่นโอสถของเขาได้ด้วยซ้ำ
เผ่าพันธุ์บนมหาพิภพถงเทียนมีมากมายเกินคนานับ ศาสตร์แห่งโอสถจึงถูกแบ่งแยกได้หลายรูปแบบ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีองค์กรศูนย์รวมเฉพาะศาสตร์ที่คล้ายกับสมาคมนักหลอมโอสถ
มาตรฐานทักษะการหลอมกลั่นโอสถจึงแตกต่างกันไป บ้างก็ขึ้นอยู่กับระดับชั้นโอสถที่หลอมกลั่น
แต่วรยุทธการหลอมกลั่นของนักปรุงโอสถปีศาจเหล่านี้ เข้าขั้นหยาบถึงหยาบที่สุด เย่หยวนแทบทนมองมิได้
แน่นอน เพราะว่าระดับชั้นของเขาสูงเกินไป
ตอนที่เขาอยู่ในระดับชั้นจอมเทพโอสถหนึ่งดาว เขาสามารถให้คำแนะนำแก่เซียวเฟิงที่อยู่ในระดับสามดาวขั้นสุดได้แล้ว นี่แสดงให้เห็นความขอบเขตของเขามันเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้แล้ว
ตอนนี้เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า ระดับชั้นในศาสตร์แห่งโอสถย่อมเลื่อนสูงขึ้นเป็นธรรมชาติ
เย่หยวนสร้างบัญญัติเทพแห่งถงเทียนขึ้นมาด้วยศาสตร์แห่งโอสถ ความลึกซึ้งของเขาต่อศาสตร์แห่งโอสถมันเกินกว่าที่ผู้คนจะสามารถเข้าใจได้แล้ว
เมื่อมีศิลาจารึกบัลลังก์พิภพอยู่ในมือ ขอเพียงมีเวลามากพอ เย่หยวนจะศึกษาศาสตร์แห่งโอสถเท่าไหร่ก็ได้ตามใจอยาก
ในตอนนี้มีกระทั่งนักปรุงโอสถปีศาจวัยกลางคนไม่น้อยที่รุมล้อมอยู่รอบชายชรา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเรียนรู้ศึกษาอย่างขยัยขันแข็ง
ทันใดนั้นเอง เย่หยวนก็หันไปหาหลี่จีพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“นักปรุงโอสถปีศาจของเมืองหลวงคาโปน อ่อนแอเช่นนี้ทุกคนเลยงั้นรึ?”
หลี่จีเงยหน้ามองเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ
อ่อนแอ?
เหล่าผู้คนที่ยืนอยู่ที่นี่ล้วนเป็นปรมาจารย์ในหหมู่นักปรุงโอสถปีศาจสองดาวทั้งสิ้น!
แม้แต่คนจากสี่ตระกูลใหญ่ยังต้องร้องขอให้พวกเขาช่วยหลอมกลั่นโอสถบางชนิดให้ และไม่มีใครกล้ายั่วยุพวกเขาเลย
แต่เย่หยวนกลับบอกว่าคนเหล่านี้อ่อนแอ!
วูบ! วูบ! วูบ!
ปุด ปุด ปุด!
ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างหันศีรษะและเข้าจับจ้องไปที่เย่หยวนจนเป็นตาเดียว
เม็ดโอสถในหม้อหลอมแทบถูกทิ้งไว้แบบนั้นในทันทีทันใด
เย่หยวนเองก็ตกใจเช่นกัน เขาเอ่ยถามน้ำเสียงแผ่วเบายิ่งแล้ว และคิดว่าคนเหล่านี้ไม่มีทางได้ยินแน่นอน
แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่า ทุกคนจะได้ยินคำพูดของเขาจริงๆ!
สิ่งหนึ่งที่ต้องทราบคือ เมื่อนักหลอมโอสถกำลังหลอมกลั่นโอสถ ทุกคนล้วนต้องจดจ่ออยู่กับมันโดยตัดขาดปราศจากสิ่งใดเข้ารบกวน
แม้แต่ในขณะที่กำลังเรียนรู้ศึกษาอยู่นั้นเอง พวกเขาก็ต้องใส่ใจเพ่งสมาธิกับสิ่งนั้นเป็นอย่างมาก
แล้วพวกเขาเหล่านี้จะไปได้ยินเสียงกระซิบของเย่หยวนได้อย่างไร
เย่หยวนยังคงไม่เข้าใจมาตรฐานของนักหลอมโอสถของเผ่าปีศาจเท่าไหร่นัก และหลงคิดไปว่า ชายชราสองสามคนนี้เป็นเพียงบุคคลชั้นผู้น้อย ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามคำถามนี้ขึ้น
แต่ดูเหมือนว่า เขาจะสร้างเรื่องโกลาหลเสียแล้ว
“ไอ้เด็กเหลือขอ คางคกยังไม่ทันหาว! เสียงอึงโขใหญ่ดีหนิ!”
ชายชราคนหนึ่งสีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่ง พร้อมสาดสายตาใส่เย่หยวนในทันใด
เย่หยวนยังไม่ทันจะได้กล่าวอันใด หลี่จีเร่งกล่าวขึ้นมาว่า
“ฮ่าๆ ท่านปู่เหมิ่งฉี ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ในเมืองหลวงคาโปนแห่งนี้ ใครจะไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้มีทักษะในศาสตร์แห่งโอสถสูงสุดที่สุด! บรรพกาลราตรียังไม่ค่อยเข้าใจหัวหางมากนัก ไฉนยังไม่รีบขอโทษท่านปู่เมิ่งฉี!”
หลี่จีขยิบตาส่งสัญญาณให้เย่หยวนอย่างแรง เพื่อให้เขารีบขอโทษ
เว้นเสียว่า เมิ่งฉีไม่ปล่อยให้เย่หยวนออกไปได้ง่ายๆ เขาตะคอกน้ำเสียงเย็นสะท้านดังว่า
“เป็นคนของตระกูลฟางนี่เอง คงเป็นของเล่นที่เจ้าเลือกสรรมากระมัง? อาจแข็งแกร่งแต่ไม่ทรงพลัง น้ำเสียงหาได้เล็กน้อยไม่! แท้จริงแล้ว ข้าจะบอกอะไรเสียหน่อย เด็กไก่อ่อนอย่างเจ้า หลังหูยังเปียกแฉะ! ฮ่าๆ น่าสนใจไม่น้อย น่าสนใจจริงๆ!”
หลี่จีเผยท่าทีประหม่าเสียหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า
“ท่านปู่เมิ่งฉี ท่านต้องล้อเล่นแล้วเป็นแน่ ในเมืองหลวงคาโปน ใครกันที่ไม่รู้จักห้าผู้อาวุโสแห่งโถงโอสถปีศาจ บรรพกาลราตรีคนนี้เพิ่งมาใหม่จึงยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร เช่นนี้โปรดละเว้นได้หรือไม่? เจ้ากล่าวไม่ถูกต้อง ไฉนยังไม่รีบขอโทษเสีย?”
เย่หยวนยักไหล่ตอบและกล่าวว่า
“แม้ข้าอยากจะประจบพวกเขาเสียหน่อย แต่จะให้กล่าวกลับไม่สามารถจริงๆ ไม่มีแม่แต่สมาธิหลอมกลั่นโอสถ แล้วพวกท่านจะหลอมกลั่นโอสถชนิดใดได้?”
หลี่จีหน้าถอดสีทันที โดยคาดไม่ถึงเลยว่าเย่หยวนจะหัวรั้นจนถึงขั้นไม่ยอมก้มศีรษะลงจริงๆ
นางทราบดีว่าเย่หยวนเป็นคนทระนงในศักดิ์ศรีและภาคภูมิในตัวเองเพียงใด แน่นอน เขามีทุนรอนมากพอที่จะหยิ่งผยอง แต่นักปรุงโอสถปีศาจเหล่านี้เป็นชายชราที่เก็บเกี่ยวผลงานสร้างชื่อให้ตัวเองมาเนิ่นนานยิ่งแล้ว
วาจาของเย่หยวนกล่าวได้ว่าโอ้อวดเกินไป
เพียงปราดตาเดียว หรือจะบอกว่าเย่หยวนทราบถึงระดับชั้นทักษะการหลอมโอสถของพวกเขาได้ในทันที?
เด็กคนนี้โอหังเกินไปแถมยังอวดดีอย่างยิ่ง!
นางพยายามช่วยไกล่เกลี่ยแล้ว แต่ชายคนนี้กลับยังคงยืนยันคำเดิม
อย่างไรกด็ตาม หลี่จีกลับไม่ทราบว่า เย่หยวนสามารถเอ่ยกล่าวประณีประนอมได้หากเป็นเรื่องอื่น แต่สำหรับเรื่องหลอมกลั่นโอสถแล้ว เขาไม่ยอมพบกันครึ่งทางแน่นอน
ชายชราคนนี้ไร้ซึ่งฝีมือไม่เหมาะสมกับตัวงานจริงๆ และเย่หยวนไม่มีทางปล่อยไว้เช่นนี้แน่
“ฮ่าๆๆ ดี! ดีมาก! เด็กน้อยที่ผมยังไม่ขึ้นเต็มที่อย่างเจ้า แต่กลับเอ่ยลั่นวาจาเช่นนี้จริงๆ! เช่นนั้นก็ขอดูหน่อยว่า ระดับชั้นของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด!”
เมื่อเห็นท่าทีของเย่หยวน เมิ่งฉีก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นด้วยความโกรธจัด
…………………………………………………………..