ช่วงขณะนั้นเอง รัศมีแรงกดดันของหลู่เมิงก็ถูกปลดปล่อยออกมา สีหน้าของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนไปทันที
เขาเป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าหกดาว จำต้องสั่งสอนให้แก่มือใหม่อาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งถึงสองดาวเหล่านี้ให้ดูเสีย มิฉะนั้นคงไม่ลดความหยิ่งผยองลงงง่ายๆ?
เว้นเสียว่าหลู่เมิงกลับไม่เห็นถึงความหวาดกลัวบนใบหน้าของลวี่อี้แม้แต่น้อย แต่นั่นกลับเป็นสีหน้าแสนเยาะเย้ยและหยามเหยียดยิ่ง
“ผู้ดูแลหลู่เมิง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? ถึงกล้าช่วยเราชายชราผู้นี้สั่งสอนลูกศิษย์! ก่อนจะมาสั่งสอนลูกศิษย์ข้า ไฉนไม่สั่งสอนลูกศิษย์ตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอยก่อนเสีย?”
ทันทีทันใดพลันปรากฏคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากห้องภายในร้าน และผู้นำขบวนออกมาก็มิใช่ใครอื่นนอกเสียจากเย่หยวน
ขณะที่ซวนอี้เองก็เดินติดตามเย่หยวนอยู่ข้างกาย
ทันทีที่เห็นซวนอี้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ หลู่เมิงยิ่งกว่าตื่นตกใจสุดหาที่เปรียบไม่
ไฉนซวนอี้ผู้สูงศักดิ์คนนั้นถึงมายังร้านขายโอสถเล็กๆแห่งนี้ได้?
แต่สิ่งที่ตกใจยิ่งกว่าคือทั้งตัวซวนอี้และเหล่าลูกศิษย์ดูจะเคารพเด็กหนุ่มซึ่งเป็นผู้นำออกมามิใช่น้อย!
หลู่เมิงเองเปรียบได้กับทหารผ่านศึกผู้เจนจัดมากประสบการณ์เช่นกัน ร่องรอยบางสิ่งที่ดูจะไม่ถูกต้องนี้เขาเก็บนำมาใส่ใจทุกรายละเอียด
ยามพบเห็นภาพฉากนี้ รูม่านตาดำของหลู่เมิงพลันตีบแคบลงทันใดด้วยความเหลือเชื่อ
เร่งปรับขนานสายตาจับจ้องเย่หยวนอย่างอดมิได้ เด็กหนุ่มคนนี้มันมีอะไรดีถึงทำให้ซวนอี้ต้องเดินตามหลังด้วยความเคารพปานนี้?!
ร้านขายโอสถชนบทแห่งนี้มันน่าทึ่งขนาดนั้นเชียว!
คล้อยหลังความตกตะลึง หลู่เมิงก็สงบสติลงอย่างรวดเร็วและกล่าวน้ำเสียงร่าเริงทักทายว่า
“ฮ่าๆ…ปรากฏว่าผู้อาวุโสรองเองก็อยู่ที่นี่เช่นเช่นกัน แต่ศิษย์คนนี้ของท่านดูจะไม่ค่อยมีสัมมาคารวะเท่าไหร่นัก นี่อาจทำให้หอโอสถของเราเสียชื่อเป็นได้!”
โดยปกติซวนอี้อารมณ์ดีไม่น้อย และความแข็งแกร่งของเขาเองก็อยู่คนละโลกกับหลู่เมิง ทำเอาเขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“ไม่ค่อยมีสัมมาคารวะ? หุหุ ลวี่อี้เคารพต่อผู้อาวุโสกว่าโดนเสมอมา สิ่งใดหมายถึงไม่มีสัมมาคารวะ? ผู้ดูแลหลู่เมิงคงมิได้ใช้อำนาจเกินตัวไปหน่อยกระมัง?”
ซวนอี้กล่าวสวนตอกกลับไปเสียงเย็น
หลู่เมิงฝืนยิ้มแห้งกล่าวว่า
“เราชายชราคนนี้เองก็นับว่ามีหน้ามีตาไม่น้อยในหอโอสถ ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นคนรุ่นเดียวกับผู้อาวุโสรองจริงหรือไม่? แต่ศิษย์ของท่านกลับไม่แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสเลย เช่นนี้ดูจะไม่ค่อยถูกต้องนัก?”
ซวนอี้อดสำลักมิได้เช่นกันที่ได้ยินแบบนั้น กล่าวว่านึกคำถูกหักล้างไม่ถูกเช่นกัน
ในแง่วาจาคมคาย เขาหาใช่คู่มือของหลู่เมิงจริงๆ
เชื่อสายของซวนอี้น่าจะเสียเปรียบในด้านพวกนี้ที่สุดแล้ว
เมื่อเห็นว่าประโยคนี้ทำเอาอีกฝ่ายชะงักไปครู่ใหญ่ หลู่เมิงลอบแสยะยิ้มได้ใจกล่าวต่อขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสรอง การไม่แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสกว่าก็คือไม่มีสัมมาคารวะ ตามกฎของหอโอสถต้องถูกโบยร้อยครั้ง! ข้าสงสัยเสียว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?”
สีหน้าประดับรอยยิ้มของซวนอี้ในที่สุดก็เริ่มเผยให้เห็นร่องรอยความโกรธ
หลู่เมิงคนนี้เจ้าเล่ห์นักหนา หวังใช้ประโยชน์จากความอาวุโสกว่าเข้าข่ม
แต่คำกล่าวเพียงเท่านี้ก็สามารถบีบซวนอี้จนสำลักได้แล้ว
ซวนอี้ยังทราบดดดีว่า เหล่าลูกศิษย์ของเขาไม่มีใครชอบขี้หน้าหลู่เมิงอยู่แล้ว แต่หากใช้อารมณ์เข้าจัดการปัญหาเช่นนี้นับว่าเสียเปรียบจริงๆ
ในบางครั้งเอง มีแค่ความแข็งแกร่งแต่ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมกลับต้องตกเป็นรองเช่นกัน
จักรวรรดิมีกฎที่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมคมเฉือนคม และดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้พวกซวนอี้จะไม่ค่อยสันทัดนัก
อันที่จริงนี่มิใช่ครั้งแรกที่เหล่าลูกศิษย์ของเขาเสียท่าให้หลู่เมิง แต่พวกเขาเองก็ไม่สามารถหักล้างได้เช่นกัน
ในขณะที่ทุกคนกำลังพลาดท่าเช่นนี้ เย่หยวนพลันแสยะยิ้มกว้างกล่าวเสียงเย็นลั่นขึ้นว่า
“ตาแก่ น้ำหน้าอย่างเจ้ายังมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นคนอาวุโสด้วยรึ? เคารพผู้อาวุโสกว่าน่ะคือเรื่องถูกต้อง แต่นั่นต้องวัดกันที่อายุสติปัญญา หาใช่อายุกระดูก ไม่ทราบว่าเจ้ามีพอหรือไม่?”
หลู่เมิงที่กำลังได้ใจในตอนนี้ เมื่อได้ฟังแบบนั้นถึงกับสำลัก ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มทมิฬด้วยความโกรธจัด ยามนี้เอ่ยกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำกว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าเป็นใครมาจากไหน? ถึงกล้ากับข้าผู้นี้? รนหาที่ตายแล้วกระมัง?”
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายเสมือนมองคนโง่ เขากล่าวตอบอย่างเฉยเมยไปว่า
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือจอมเทพโอสถสี่ดาวที่เคยวินิจฉัยหวางเชียน? แม้กระทั่งอาการป่วยของเขายังระบุไม่ได้ แต่ข้ากลับสามารถรักษาเขาจนหายดีได้ ดังนั้นแล้ว…ความแข็งแกร่งของข้าควรเหนือชั้นกว่าท่านเช่นกัน ถูกหรือไม่?”
เมื่อคำกล่าวเหล่านี้เอ่ยดังออกมา ก็พาเหล่าฝูงชนโดยรอบลุกฮือในทันที
“โอ้ใช่แล้ว! หวางห่าวหลานเคยกล่าวไว้ว่า ครั้นหนึ่งเขาเคยพาหลานชายตนเองไปพบกับจอมเทพโอสถสี่ดาว หรือเป็นไปได้ไหมว่าจอมเทพโอสถสี่ดาวคนนั้นคืออาจารย์ของอู๋เฟิน?”
“จอมเทพโอสถสี่ดาวที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้แม้แต่อาการป่วย ช่างน่าอัปยศโดยแท้!”
“จุจุ ท่านปรมาจารย์เย่ที่ตั้งป้ายรับจ้างสารพัดนับว่ามีรุนแรงให้หยิ่งผยอง อย่างน้อยที่แข็งแกร่งกว่าจอมเทพโอสถสี่ดาวบางคน!”
…
ผู้คนโดยรอบยังไม่ทันตอบสนองอันใด แต่เย่หยวนมองเห็นจุดบกพร่องของอีกฝ่ายและนำมาขยี้ไม่มีปรานี
ทันทีที่วาจาสุดเย้ยหยันนี้ของเย่หยวนเอ่ยดังออกมา กล่าวได้ว่าสถานการณ์พลิกกลับมาได้เปรียบในทันใด
หลู่เมิงถึงขั้นสาดสายตาใส่อู๋เฟินที่อยู่ด้านหลังอย่างเดือดดุ เพราะรู้ดีว่าคนที่ทำให้ตนเสียหน้าขนาดนี้ก็คือศิษย์ของเขาเสียเอง
เรื่องนี้ไม่มีใครนึกออกหรือนำมาเชื่อมโยงเลยในทีแรก แต่ทันทีที่เย่หยวนกล่าวกระตุ้นไปแบบนั้นกลับแจ่มแจ้งในพริบตา
เมื่อลวี่อี้เห็นภาพฉากนี้ เขาก็อดหันมองเย่หยวนด้วยความซาบซึ้งอย่างอดมิได้
ประโยคเดียวของเย่หยวนสามารถช่วยแก้ปัญหาที่ศิษย์อาจารย์ถูกต้อนจนติดมุมได้
อย่างไรก็ตาม หลู่เมิงกลับไม่ยอมแต่โดยดี เขากล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นขึ้นว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอ ทุกคนล้วนมีข้อดีและข้อเสียของตน ไม่มีนักหลอมโอสถคนใดเก่งไปซะทุกเรื่อง! ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็คือเจ้า ลวี่อี้ก็คือลวี้อี้ เจ้าหาใช่คนของหอโอสถ จึงไม่มีสิทธิ์เข้ามาแสเรื่องของคนอื่น!”
ฝีปากของหลู่เมินคมคายรอบคอบยิ่งยวด หาใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสยบเขาลงได้
มิฉะนั้นแล้ว ซวนอี้ที่แข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายหลายขุมจะมาพลาดท่าแก่เขาได้อย่างไร?
เย่หยวนหาเรื่องเบี่ยงประเด็นออกไปอย่างลับๆโดยมิให้อีกฝ่ายรู้ตัว แต่เมื่ออีกฝ่ายไหวตัวทันจึงรีบแตะตัวอันตรายอย่างเย่หยวนออกจากวงสนทนาไปทันที
ด้วยวิธีนี้จะทำให้เย่หยวนกลายมาเป็นคนนอกทันทีและไม่มีสิทธิ์โต้เถียงแทนพวกซวนอี้ได้อีกต่อไป
หลู่เมิงตระหนักทราบดีว่า เย่หยวนคนนี้จะต้องมีความสามารถอะไรพิเศษแน่นอน จึงเป็นสาเหตุให้เหล่าศิษย์หรือแม้แต่ตัวอาจารย์เองอย่างซวนอี้มารวมตัวกันที่นี่ และที่สำคัญคือ ฝีปากของไอ้เด็กเหลือขอนี้เฉียบคมไม่น้อยไปกว่าเขาเลย หากปล่อยไว้ต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ
ดังนั้นในเมื่อสู้ไม่ได้ก็จำต้องหลีกเลี่ยง และมุ่งเป้าหมายไปที่พวกซวนอี้ต่อชนิดกัดไม่ปล่อย
พลังฝีมือของลวี่อี้ หลู่เมิงชัดเจนเกินไป
พรสวรรค์และศักยภาพของลวี่อี้ไม่เลวเลย แต่ในด้านฝีไม้ลายมือหลอมกลั่นในปัจจุบันยังไม่สำเร็จถึงจอมเทพโอสถสี่ดาวชั้นกลาง ทั้งยังไม่ค่อยมีปากมีเสียงตอบโต้กับใครได้
มุมปากเย่หยวนพลันกระตุกเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยวาจาแสนเหยียดหยามขึ้นว่า
“เช่นนั้นรึ? ในเมื่อเจ้าคิดว่าตนอาวุโสกว่าเขา แสดงว่าฝีมือหลอมกลั่นก็ต้องเหนือกว่าเช่นกัน?”
หลู่เมิงแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“แน่นอน! หากข้ามีฝีมืออ่อนด้อยกว่าพวกรุ่นเยาว์ แล้วข้าจะเป็นผู้ดูแลได้อย่างไร? เจ้าคงไม่คิดจะ…ส่งเขามาหาเรื่องข้ากระมัง?”
“ฟู่วว…”
เหล่าฝูงชนโดยรอบต่างสูดไปเย็นแช่มลึกแสนหวาดหวั่นใจนัก พวกเขาตกตะลึงอย่างมากกับวาจาตอบโต้ของหลู่เมิง
ผู้ดูแลระดับสูงแห่งหอโอสถนับเป็นการดำรงอยู่ที่สูงเกินเอื้อม!
สำหรับเหล่าผู้คนในเขตเมืองชั้นนอก เปรียบเสมือนพระเจ้าก็ไม่ปาน!
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า สถานะของอาจารย์อู๋เฟินจะสูงส่งถึงขนาดนี้!
เย่หยวนเม้มปากเอ่ยวาจาแสนเหยียดหยามขึ้นว่า
“หากใช่แล้วอย่างไร? หากไม่ประลองให้ประจักษ์ คงไม่รู้ว่าตัวเจ้าเองงี่เง่าเพียงใด?”
เมื่อลวี่อี้ได้ยินแบบนั้นพลันสูญเสียความมั่นใจไปโดยปริยาย เขารีบกระซิบกล่าวกับเย่หยวนทันทีว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่ ข้า…”
เย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมดวงตาประดุจเพลิงแผดเผา ก่อนเลิกคิ้วกล่าวสวนไปทันทีว่า
“อะไร? นี่เจ้าไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะท้าสู้กับอีกฝ่าย?”
ลวี่อี้อายุเยอะกว่าเย่หยวนมาก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน เขากลับทำตัวราวกับเด็กน้อยไม่กล้าแสดงออก
สายตาของเขาดูจริงจังขึ้นถนัดตา เขากล่าวเสียงขรึมว่า
“แน่นอน ข้ากล้า!”
เย่หยวนเอ่ยเสียงเย็นกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าเช่นนั้นความมั่นใจของเจ้าหายไปไหนหมด?! หากเจ้าไม่สามารถโค่นตาแก่นี่ได้ แล้วอนาคตต่อไปเจ้าจะสืบทอดเสื้อคลุมของท่านปรมาจารย์ซวนอี้ได้อย่างไร? วันนี้ข้าขอดูหน่อยเถิด ศิษย์เอกของท่านปรมาจารย์ซวนอี้มีดีกว่าที่ข้าคิด!”
แต่ทันทีที่หลู่เมิงได้ยินเช่นนั้นก็อดระเบิดหัวเราะเยาะมิได้ และกล่าวว่า
“ช่างน่าขัน! ไอ้เด็กเหลือขอไม่รู้จักความยิ่งใหญ่ของสรวงสวรรค์! ความหาญกล้าที่ไร้ซึ่งพละกำลังกลับไม่ต่างอะไรจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ! เข้าใจหรือไม่?”
…………………………………………..