ซ่งฉีหน้าขมำไถพื้นเป็นทางยาวกว่าร้อยฉื่อ ก่อนราวจะหมอบลงกับพื้นทั้งแบบนั้น
ช่างเป็นท่วงท่าการขว้างที่งดงามนัก
ทุกคนโดยรอบต่างตื่นตะลึงหนัก เพียงพริบตาเดียวซ่งฉีหยางถูกเย่หยวนขว้างทิ้งราวกับโยนเศษชยะอย่างหน่าเวทนา พวกเขาทั้งหมดต่างคิดว่าตาฝาดไป
“อ๊ากก! เจ้า…เจ้ากล้าขว้างข้าเชียว?!”
ซ่งฉีหยางร้องโอ้อวดพร้อมตะโกนลั่นเพราะแสบหน้าที่ถูกไถ่ออกไป
ในเขตเมืองชั้นในแห่งนี้แม้แต่ผู้อาวุโสคนอื่นๆยังไม่กล้าปฏิบัติเช่นนี้กับเขา!
เห็นได้ชัดว่า ไอ้เด็กเหลือขอนี่มันไร้ศักดิ์ศรีถึงขั้นลอบโจมตีในขณะที่เขายังไม่ทันตั้งตัว
เพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาถูกเย่หยวนโยนออกไปอย่างง่ายดาย
แต่ปัญหามิได้อยู่ตรงนั้น ปัญหาจริงๆคือเขาเสียหน้าต่อเหล่ารุ่นน้องที่เคารพรักเขาไปเสียแล้ว
สายตาที่จับจ้องยองเย่หยวนเหลือบมองอีกฝ่ายที่นอนหน้าขมำอยู่กับพื้นอย่างเยือกเย็น แววตาที่จับจ้องแสนเหยียดหยามราวกับมองคนทาน หลินตงที่เห็นสายตาแบบนั้นพลันเย็นสะท้านจับขั้วหัวใจ!
หลินตงไม่คิดเลยว่า เด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าคนหนึ่งจะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้ปานนี้!
หรือนี่อาจเป็นเพราะตัวตนในฐานะผู้อาวุโสของเย่หยวนกัน?
ครั้งนี้นับว่าเขาขัดดคำสั่งของผู้อาวุโสเย่จริงๆ
แต่ก่อนหน้า เย่หยวนกลับไม่กล้าแม้แต่จะรับคำท้าของซ่งฉีหยาง เช่นนี้แล้วเขายังมีคุณสมบัติเป็นผู้อาวุโสอีกงั้นรึ?
หลินตงอดลังเลใจมิได้เลย
อย่างไรก็ตาม หากเขาดำเนินการตามคำสั่งของผู้อาวุโสเย่ นี่ก็จะทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ไม่พอใจเช่นกัน
อีกฝ่ายมิใช่ฉินเซียวที่ภูมิหลังอ่อนแอแบบนั้น
แต่เป็นถึงลูกศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่ เขาหรือจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์หากลงมือจริงๆ?
“ไสหัวไป!”
เสียงเย่หยวนคำรามกึกก้องประดุจสายอัสนีบาดฟันฟาดปราบปรามทุกคนจนร่างสั่นสะท้านในคราเดียว เหล่าเยาวชนทั้งหมดต่างรร่นถอยเปิดทางให้โดยมิตั้งใจ
เย่หยวพาลี่เอ๋อและคนอื่นๆเดินตรงเข้าไปในจวนพักอย่างมิแยแสใดๆ
“ไฉนแขนขาของข้าสั่นเทาปานนี้? ข้ากำลังกลัวอีกฝ่าย?”
“นี่…นี่ไม่ถูกต้อง! เห็นได้ชัดว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเขายิ่ง แต่ไฉนข้ายังต้องกลัวเขา?”
ทุกคนต่างหลีกทางให้เย่หยวนแต่โดยดี แต่พวกเขากลับไม่เข้าใจเลยว่าไฉนร่างกายของพวกตนกำลังหวาดกลัวปานนี้?
หลินตงที่ยืนอยู่ข้างกายเคลื่อนเดินออกไปอย่างแช่มข้า เขาไม่รู้เลยว่า เย่หยวนในยามนี้กำลังไม่พอใจอย่างมาก
หลินตงเหลียวหลังกลับและจากไปประดับคู่เสียงและใบหน้าอันขมขื่น
“ศิษย์พี่ซ่ง ตอนนี้…พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
มีบางคนเอ่ยถามซ่งฉีหยางขึ้นเสียงเบา
ซ่งฉีหยางคำรามด้วยความหงุดหงิดใจ
“กลับ! พวกเรายังทำอะไรได้อีก? หากเจ้าล้ำเข้าไปในเขตที่พักของผู้อาวุโสแม้แต่ก้าวเดียว เจ้าจะได้รับโทษสถานะหนักในข้อหาล่วงล้ำเข้าไปโดยมิได้รับอนุญาต!”
ซ่งฉีหยางจับจ้องแผ่นหลังของเย่หยวนที่เดินเข้าประตูจวนไป และกัดฟันกรอกเอ่ยกล่าวด้วยความเกลียดชังว่า
“ยังมีเวลาอีกสองสามวันก่อนที่งานประลองหอโอสถจะมาถึง! ข้าจะขอดูเสียว่ามันจะอวดดีได้สักกกี่น้ำ! เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะกระชากหน้ากากของเจ้าออกมาคอยดู! หึ!”
…
จวนพักของเย่หยวนเป็นของทางหอโอสถตระเตรียมไว้ให้ มันมีพื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่งราวกับคฤหาสน์
กล่าวได้ว่าสวัสดิการของระดับชั้นผู้อาวุโสแห่งหอโอสถนับว่าดีเยี่ยมที่สุดแล้วในเขตเมืองชั้นใน
“ฮ่าๆ! ท่านปรมาจารย์เย่ เจ้าซ่งฉีหยางทำตัวหยิ่งผยองน่าหมั่นไส้มาแต่ไหนแต่ไร ข้าเองก็ไม่ชอบขี้หน้ามันนานแล้ว!”
เมื่อพวกเขาเข้ามาถึงจวนพักด้านใน หนิงซื่ออวี๋ก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นพร้อมความสะใจ
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“พวกนั้นคิดต่อต้านผู้อาวุโสของพวกเขาเอง สำหรับข้าที่ไม่ลงโทษสถานะหนัก นับว่าเป็นเมตตายิ่งแล้วแก่พวกเขา”
หนิงซื่ออวี๋หัวเราะเย้ยหยัน ยิ้มกล่าวว่า
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า คนที่ท่านเพิ่งโยนออกไปคือใคร?”
ตั้งแต่ต้นจวบจนตอนนี้ เย่หยวนก็ยังไม่รู้เลยว่า ซ่งฉีหยางเป็นใครและมีภูมิหลังอย่างไร
แต่เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ดูท่าควรจะเป็นคนของผู้อาวุโสใหญ่กระมัง? นอกจากนี้ดูจากท่าทางการวางตัวแล้ว คงสถานะไม่ต่ำช้า?”
หนิงซื่ออวี๋อ้าปากค้าง พลางเอ่ยกล่าวอย่างตกตะลึงขึ้นว่า
“ท่านทราบได้อย่างไร?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าพอเดาออก!”
หนิงซื่ออวี๋จุปากยกนิ้วให้อีกฝ่ายและกล่าวยกย่องว่า
“สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์เย่! ขนาดท่านที่เดาออกตั้งแต่แรกยังกล้าทำให้อีกฝ่ายเสียหน้าหนักขนาดนั้น ยอมใจท่านเลย!”
เย่หยวนยักไหล่และกล่าวว่า
“ทั้งหมดเป็นเพราะเส้นอำนาจของอาจารย์เจ้า ถึงทำให้ข้าเป็นผู้อาวุโสของที่นี่ได้ เช่นนั้นควรทราบว่าข้าอยู่ฝ่ายใด คิดหรือจะปล่อยให้พวกนั้นอยู่ดีมีสุข?”
หนิงซื่ออวี๋อดสำลักมิได้ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“เข้าท่านัก! แต่หากข้าเป็นท่าน ข้าคงรับคำท้าและแสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นไปแล้ว! สั่งสอนให้มันรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ นอกจากนี้ท่านจะลบล้างข้อกังขาแก่ทุกคนได้ด้วย ไฉนถึงไม่ยอมรับคำท้าไป?”
เย่หยวนหัวเราะเล็กน้อยกล่าวว่า
“มีความเป็นไปได้ว่าหลินตงเองก็กังขาข้าไม่น้อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมีคุณสมบัติอันใดที่ต้องให้ข้าลงมือเอง? ข้าชนะเขาก็ไม่เห็นได้อะไรเลย หากแพ้…เอ่ออ…นั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
ทุกคนโดยรอบต่างระเบิดเสียงหัวเราะลั่น หลังถูกเย่หยวนจี้เส้นไปมุกใหญ่
เย่หยวนหรือจะแพ้ซ่งฉีหยาง?
หนิงซื่ออวี๋หัวเราะแทบขาดใจ นางพยายามกล่าวทั้งขำขันแบบนั้นว่า
“แต่หากเป็นแบบนี้ คนนอกยิ่งกังขาในตัวท่านเข้าไปใหญ่ มีความเป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่อาจใช้โอกาสนี้จัดการท่าน!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“แม้ข้าจะเคลื่อนไหว แต่กลับมิใช่ตัวข้าที่ลงมือเอง ในงานประลองหอโอสถุ เจ้าต่างหากที่ต้องตบสั่งสอนไอ้เด็กเหลือขอนั้น!”
หนิงซื่ออวี๋สะดุ้งเฮือก เร่งโบกมือปัดทันทีพร้อมกล่าวว่า
“ข้าทำไม่ได้ ไม่ได้แน่นอน! ท่านก็ทราบดี ซ่งฉีหยางไม่นับว่าเป็นอันใดในสายตาท่านก็จริง แต่สำหรับข้า นั้นเป็นการดำรงอยู่ที่สูงเกินเอื้อมถึง! หากประลองหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม ข้าไม่มีโอกาสชนะมันเลย!”
เย่หยวนเม้มปากพลางเอ่ยกล่าวอย่างหยามเหยียดขึ้นว่า
“ไม่มีโอกาสชนะ? แม้แต่เทพบรรพชนโอสถยังสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่มีทางเป็นจริงให้เป็นจริงได้ แล้วจะรับประกันได้อย่างไรว่า เจ้าจะไม่มีโอกาสชนะ? หลังจากที่ข้าบรรลุสู่ขอบเขตแห่งเต๋า ข้าก็ยังรู้สึกว่าฝีมือของตนยังอ่อนแออยู่มากนัก แล้วนับประสาอะไรกับมัน?”
หนิงซื่ออวี๋พูดไม่ออกอยู่ยกใหญ่ก่อนจะกล่าวว่า
“ก็นั้นสำหรับตัวท่าน! เมื่อท่านบรรลุถึงขอบเขตแห่งเต๋าแล้ว แม้แต่ท่านอาจารย์ข้ายังมิใช่คู่มือ แต่สำหรับตัวข้า ข้าหาใช่คู่มือของซ่งฉีหยางจริงๆ!”
เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นว่า
“ผ่อนคลายเถอะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะฝึกพิเศษให้เจ้าเอง! หลังจากสิบวันนี้ เจ้าจักต้องบดขยี้ซงฉีหย่างแทนข้า!”
…
“หื้ม? หลินตง ข้าสั่งให้เจ้าไปเป็นผู้ติดตามของผู้อาวุโสเย่มิใช่รึ? แล้วเจ้ากลับมาทำไม?”
หลังจากที่ตัดสินใจได้หลินตงก็แยกทางกับเย่หยวน และเดินทางกลับมาที่หอยุทธ์แทน
เขาครุ่นคิดอย่างหนักจนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจได้ เขาเงยหน้ามองผู้ดูแลเฟิงอวี้ไห่ผู้ที่จัดมอบภารกิจนี้ให้แก่ตน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยถามเช่นนี้ หลินตงอดยิ้มขมขื่นเป็นคำตอบกลับไปมิได้ และเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“ข้าคงไม่สามารถเป็นผุ้ติดตามของเขาได้อีกแล้ว!”
เฟิงอวี้ไห่เลิกคิ้วสงสัยเอ่ยถามขึ้นว่า
“เกิดอะไรขึ้น? หน้าที่เช่นนี้มีแต่คนต้องการกันทั้งนั้น!”
การมาเป็นผู้ติดตามของผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ ไม่เพียงจะมีอนาคตรุ่งโรจน์ท่านั้น แต่นี่ยังเป็นหลักประกันว่า ความแข็งแกร่งของพวกเขายังสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
เหล่าผู้อาวุโสแห่งหอโอสถหลอมกลั่นแทบทุกวัน บางทีหลอมทิ้งหลอมขว้าง และแน่นอนว่าผู้ที่ได้รับโอสถเหล่านั้นก็มิใช่ใครอื่นนอกจากเหล่าผู้ติดตาม
ดังนั้นแล้ว งานเช่นนี้มีแต่คนต้องการกันทั้งสิ้น
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเย่หยวนยังอ่อนแออยู่ แต่เบื้องหลังของเขาเป็นถึงผู้อาวุโสรองคอยหนุนหลัง
หลินตงเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ทำได้เพียงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าประตูจวนพักของเย่หยวนให้ฟัง
เฟิงอี้ไห่ที่ได้ฟังดังนั้นก็เลิกคิ้ว พล่างถอนหายใจกล่าวว่า
“นี่เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจสำหรับเจ้าเช่นกัน สุดท้ายนี้ผู้อาวุโสเย่อาจเป็นตัวหมากตัวหนึ่งของผู้อาวุโสรองก็เป็นได้ ในเมื่อเจ้าไม่สมัครใจ เช่นนั้นก็ควรเลือกที่จะถอนตัวออกมา!”
…………………………………