ตอนที่ 1632 งานอันหนักหน่วง
เชือกมัดเซียนนั้นพุ่งออกตรงออกไปรัดด้านในของเขาหน่วงเทพบรรพกาลไว้
เกาหยุนนั้นดีใจจนแทบคลั่ง เขาใช้พลังปราณทั้งหมดที่มีในร่างออกมาและดึงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี!
เขาคิดว่าด้วยปราณเทวะรวมกับพลังของเชือกมัดเซียน สมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำชิ้นนี้มันคงสามารถดึงเขาหน่วงเทพบรรพกาลนี้ออกมาได้แน่ๆ
แต่ทว่าในวินาทีต่อมาเขากลับรู้สึกถึงแรงต้านที่หนักหน่วงจนเกินทน
เขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่เพราะว่าเกาหยุนทุ่มพลังดึงไปทั้งตัวทำให้ตัวของเขาเองกลับเป็นฝ่ายที่พุ่งออกไปด้านหน้าตรงไปทางเขาหน่วงเทพบรรพกาลแทน
“อุอ่อก!”
ด้วยการที่ใช้กำลังจนเกินพอดีบวกกับการที่ร่างกายของเขาลอยมาด้านหน้า มันจึงทำให้แรงโน้มถ่วงมหาศาลกดทับร่างของเขาในทันทีจนต้องกระอักเลือดออกมา
เกาหยุนนั้นบาดเจ็บมาก่อนหน้าแล้ว และตอนนี้ยังต้องมาเจ็บหนักซ้ำอีก
โชคยังดีที่ระยะทางที่เขามาด้านหน้านั้นมันไม่ไกลมากนัก คนทั้งสามจึงยังไม่สามารถหลุดหนี้ออกมาจัดการเขาได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าก็สงสัยตั้งนานว่าเจ้าจะทำได้แค่ไหน! หลังพูดมากอยู่ครึ่งค่อนวันสุดท้ายกลับมาสะดุดล้มลงโง่ๆ เอง!” ข่านซัวหัวเราะออกมา
ซ่งหยูที่ถูกทำร้ายและมีความเกลียดชังแก่เกาหยุนอย่างเต็มที่จึงกล่าวขึ้น มาด้วยรอยยิ้มที่พร้อมซ้ำเติมเต็มที่ “คนโง่นี่มันโง่วันยันค่ำจริง ๆ เจ้าคิดว่าเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นมันมีน้ำหนักมากมายแค่ไหน? หากไม่หลอมมันให้ได้ก่อนมีหรือที่ใครจะยกมันออกมาได้ทั้งชิ้น! ต่อให้มีเจ้าอีกสิบคน เจ้าก็ไม่มีปัญญาขยับเขยื้อนสมบัติชิ้นนี้ได้หรอก!”
เกาหยุนนั้นคลานขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เขารู้สึกราวกับว่าตอนนี้อวัยวะภายในของตนมันเคลื่อนออกจากที่ไหนหมด รู้สึกเหมือนกระดูกแทบจะแตกออกเป็นชิ้นๆ
สนามแรงโน้มถ่วงนี้มันรุนแรงจนเกินไป เขาจึงไม่คิดที่จะอยู่ต่อรีบถอยกลับมาหาวิธีใหม่ในทันที
แม้ต้องเจอกับการเย้ยหยันของคนทั้งสาม เกาหยุนก็ไม่คิดจะสนใจ
เพราะตอนนี้เขานั้นเป็นฝ่ายมีเปรียบและไม่คิดจะกลัวคนทั้งสาม นั้นแม้แต่น้อย
ตอนนี้เชือกมัดเซียนนั้นได้หลุดออกไปจากมือของเขาแล้วเรียบร้อย เกาหยุนจึงคิดที่จะเรียกมันกลับมาหาตัว แต่จู่ๆ เขาก็ต้องเบิกตาโพลง!
เพราะมีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากอากาศอันว่างเปล่า เข้ามาปิดเส้นทางระหว่างตัวเกาหยุนและเชือกมัดเซียนที่กำลังมุ่งหน้ากลับมา
ฟุ่บ!
เชือกมัดเซียนนั้นหายไปในอากาศต่อหน้าต่อหน้าเขา!
เกาหยุนนั้นตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น เขาพยายามที่จะสัมผัสหาเชือกมัดเซียนอีกหลายต่อหลายครั้ง ใช้ตราที่มีเรียกเชือกมัดเซียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าพยายามจะให้มันกลับมาหาตัว
แต่เชือกมัดเซียนนั้นกลับไม่ตอบสนองใดๆ กลับมา ตอนนี้เขาไม่สามารถสัมผัสถึงตัวตนของมันได้อีกต่อไปแล้ว
คน ๆ นั้นหันมามองเกาหยุนด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าเชือกนี่ดูทนดีนี่ ข้าขอรับไปล่ะนะ”
เกาหยุนเบิกตากว้างอีกครั้งก่อนจะตะโกนออกมาด้วยใบหน้าอันเดือดดาล “เย่หยวน คืนเชือกมัดเซียนมาให้ข้านะ! ไม่เช่นนั้นอย่าได้หาว่าชายแก่คนนี้โหดร้าย!”
เย่หยวนมองดูคนตรงหน้าราวกับเขาเป็นคนปัญญาอ่อน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นี่สมองเจ้ายังอยู่ดีไหม? ของที่ข้าเอามันมาแล้วมีหรือที่ข้าจะคืนให้ใคร?”
เมื่อพวกข่านซัวเห็นเย่หยวนปรากฏตัวออกมาแบบนั้น พวกเขาต่างมีสีหน้าอันตื่นตะลึงจนหุบปากแทบไม่ลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่านซัว ตอนนี้เขามีสีหน้าเหมือนได้เห็นผีคนตายเข้า
เขานั้นมั่นใจในพลังฝ่ามือของตัวเองมาก อย่าว่าแต่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า ต่อให้เป็นอาณาจักรราชันพระเจ้าชั้นกลางก็ไม่มีปัญญาจะรับมันไว้ได้แน่ๆ
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับปรากฏกายออกมาโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน!
“นี่มัน… เป็นไปได้ยังไงกัน? ทำไม… ทำไมมันถึงได้ไม่มีแม้แต่ร้อยแผลเช่นนี้ได้?” ข่านซัวพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“เด็กคนนี้มันลึกลับเกินไป! เมื่อสักครู่นี้ข้าไม่รู้เลยว่ามันใช้วิธีใดกัน แต่มันกลับสามารถทำให้เชือกมัดเซียนหายไปได้ต่อหน้าต่อตา!” ซ่งหยูกล่าวขึ้น
“แปลก ๆ แล้ว! ด้วยพลังของมันมีหรือที่มันจะเข้ามายืนในระยะ หกร้อยเมตรได้?” เล่ออี้บอก
นั่นทำให้ซ่งหยูหน้าเสียหนักกว่าเก่าพร้อมด้วยลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ “พลังโน้มถ่วงในที่นี้มันรุนแรงเกินกว่าที่แนวคิดแห่งห้วงมิติจะรับไหวแน่ ๆ ต่อให้มันจะบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติสองดาวก็ตาม มันก็ไม่น่าจะเข้ามายังที่ที่มันยืนอยู่ได้! แล้วเจ้าเด็กคนนี้มันใช้วิธีการใดกัน?”
ข่านซัวคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นาๆ ก่อนจะพูดขึ้น “เป้าหมายของเจ้าเด็กคนนี้คงไม่ใช่เขาหน่วงเทพบรรพกาลหรอกใช่ไหม?”
เป็นตอนนั้นเองที่เย่หยวนหันหน้ามาหาข่านซัวและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วย เจ้าเดาถูก! เดิมทีข้านั้นไม่ได้สนใจในเขาหน่วงเทพบรรพกาลมากมายนัก แต่ไหนๆ พวกเจ้าก็ไม่มีปัญญาเอาไป นายน้อยคนนี้จึงขอรับมันไว้เองแล้วกัน”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมา สีหน้าของคนที่เหลือก็เปลี่ยนไปทันที
ซ่งหยูกล่าวด้วยท่าทางสงสัยเต็มทน “เป็นไปไม่ได้! ด้วยพลังของเจ้า เจ้าคงโดนสนามแรงโน้มถ่วงนี้กดทับจนตายก่อนแน่ๆ”
แม้อีกสองคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่พวกเขาก็มีใบหน้าที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาคิดเหมือนซ่งหยู
เย่หยวนจึงยิ้มออกไป “โอ้? งั้นเรอะ? แต่ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร?”
พูดจบเขาก็เริ่มเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังเขาหน่วงเทพบรรพกาลทันที
ภาพนั้นทำให้คนทั้งสี่ ต้องตกตะลึง
แม้จะมีสนามแรงโน้มถ่วงที่แสนจะรุนแรง แต่เย่หยวนกลับเดินออกไปราวกับกำลังเดินชมดอกไม้ในสวน ไม่มีท่าทางว่าจะถูกกดเลยแม้แต่น้อย
ในระยะ หกร้อยเมตรนั้นแม้แต่พวกข่านซัวยังไม่สามารถเดินได้สบายๆ แบบนี้ พวกเขาต้องลำบากไม่น้อยในการก้าวเข้ามา
ส่วนเย่หยวนกลับเดินเข้าไปใกล้อย่างไม่คิดจะพูดจา
ด้วยพลังของเขาแค่เข้ามาอยู่ในระยะ หนึ่งพันเมตรมันก็น่าจะบีบกดร่างของเขาจนแหลกเละแล้วแท้ๆ
“บ้าน่า! เป็นไปไม่ได้! ทำไม… ทำไมมันถึงได้ทนสนามแรงโน้มถ่วงได้มากขนาดนี้?” ข่านซัวกล่าวขึ้นอย่างตื่นตกใจ
ซ่งหยูจึงกัดฟันแน่นและพูดเสริมขึ้น “ร่างของเจ้าเด็กน้อยคนนี้มันมีความลับมากเกินไป วิธีการที่มันใช้นั้นมีมากมายราวสายน้ำ ไม่มีใครสามารถคาดเดาป้องกันได้! ใครจะไปคิดว่าผู้ที่ได้หัวเราะทีหลังสุดจะกลายเป็นเด็กน้อยคนนี้กัน?”
เล่ออี้นั้นมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีแต่ก็พยายามพูดออกมา “ใครจะหัวเราะทีหลังสุดนั้นมันยังไม่แน่หรอก! ตอนนี้มันแค่อยู่ในระยะ หกร้อยเมตร ยิ่งเข้าใกล้เขาหน่วงเทพบรรพกาลมากเท่าไหร่พลังแรงโน้มถ่วงมันก็จะยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเดินเข้าไปจนถึงได้!”
ทั้งสองคนเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยออกมาหลังได้ยิน
เพราะคำพูดนั้นของเล่ออี้มันเต็มไปด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อ เพราะพวกเขาทั้งสามนั้นเดินมาจนถึงจุดนี้ในระยะ สองร้อยห้าสิบเมตร แต่มันกลับมีแรงโน้มถ่วงที่หนักหน่วงเหมือนแบกเขาไว้ทั้งลูกแล้ว พลังของเขาหน่วงเทพบรรพกาลนั้นมันมากมายเกินกว่าที่จะจินตนาการได้จริงๆ
พวกเขาไม่มีใครเชื่อว่าเย่หยวนจะเดินไปได้จนสุดทาง
คนทั้งสี่ได้แต่จ้องมองดูเย่หยวนตาเป็นมัน เฝ้าดูการเดินอย่างสบายใจของเย่หยวน
หกร้อยเมตร ห้าร้อยเมตร สี่ร้อยเมตร สามร้อยเมตร!
เย่หยวนนั้นเดินเข้ามาด้วยความเร็วที่เท่าเดิมตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ไม่นานนักเขาก็เดินมาจนถึงจุดที่พวกซ่งหยูอยู่ในที่สุด
เมื่อคนทั้งสาม เห็นได้ว่าเย่หยวนเดินเข้าระยะสามเมตรมาได้อย่างไม่มีท่าทีเหนื่อยยากใดๆ พวกเขาก็ต้องรู้สึกเหมือนใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ไม่มีทาง! เราจะมอบสมบัติให้เจ้าเด็กคนนี้ไปไม่ได้! ไม่เช่นนั้นมันจะเหมือนเป็นเสือติดปีก!”
ความกดดันที่เย่หยวนมีต่อหัวใจของพวกเขานั้นมันรุนแรงมาก
ตอนนี้ต่อให้เป็นอาณาจักรนภาสวรรค์ก็ไม่สามารถทนทานได้!
เย่หยวนเดินผ่านหน้าคนทั้งสาม ไปก่อนจะหันมามองพวกข่านซัวและยิ้มขึ้น “เจ้ารอก่อนเถอะ แค้นนี้ข้าต้องชำระแน่!”
ข่านซัวที่ได้ยินแบบนั้นก็ต้องใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เด็กคนนี้มันกล้าจะข่มขู่เขาจริงๆ
แต่เขานั้นไม่ได้กังวลเลยว่าเย่หยวนจะสังหารเขาลงตรงนี้ เพราะต่อให้เย่หยวนจะมีพลังเหนือฟ้าทัดเทียมอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาว แต่มันก็ยังอ่อนแอเกินไปสำหรับเขา
ด้วยพลังของร่างกายเขาในตอนนี้ ข่านซัวสามารถรับมือท่าสังหารของอาณาจักรราชันพระเจ้าหนึ่งดาวได้สบายๆ โดยไม่ต้องขยับตัว
เย่หยวนนั้นต่างจากเกาหยุน เพราะเกาหยุนนั้นคือยอดฝีมืออาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งก้าว ต่อให้พลังบ่มเพาะของเขาจะถูกกดลงแค่ไหนแต่พลังการโจมตีของเขาก็ยังน่ากลัวไม่เปลี่ยน ทำให้เขาเป็นภัยต่อคนทั้งสามมาก
แต่สุดท้ายเย่หยวนนั้นก็เป็นแค่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า
เย่หยวนเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดีเขาถึงไม่ได้โจมตีใดๆ ออกไป
“เด็กน้อย อย่าได้ใจไป! เมื่อชายแก่คนนี้เป็นอิสระได้เมื่อไหร่ข้าจะสังหารเจ้าลงเสีย!” ข่านซัวกันฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง
เย่หยวนจึงยิ้มตอบกลับไป “หากเจ้ามีปัญญาสังหารข้ามีหรือที่ข้าจะยังมายืนอยู่ตรงนี้? เพราะฉะนั้นเจ้าจงสวดภาวนาเสียเถอะ ภาวนาว่าข้าจะเติบโตช้ากว่านี้ ภาวนาว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้อีกวัน”