เบื้องหน้าสายตาของพวกเขาทั้งหลายนั้นมันคือทะเลทรายกว้างใหญ่ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง ดั่งว่าโลกทั้งใบนี้ถูกวางไว้บนเตาย่างร้อนๆ
เมื่อเข้าประตูแห่งวิหคชาดมาพวกเขาก็ได้พบเจอภาพเช่นนี้
“ไอ้สถานที่แห่งนี้มองไปอย่างไรก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุด เราจะไปหาเลือดแท้ของวิหคชาดได้จากที่ใดกัน?”
“ดูท่าแล้วมันคงอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทราย อย่าได้ชักช้ารีบมุ่งหน้าไปก่อนคนอื่นจะแย่งชิงมันไปได้ก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนทั้งหลายก็รีบรุดมุ่งหน้าเดินเข้าสู่ทะเลทรายราวระลอกคลื่น
“เย่หยวน เราเองก็ไปกันเถอะ” เล้งชิวหลิงบอก
แต่เย่หยวนกลับยิ้มขึ้นมา “ยิ่งรีบจะยิ่งช้า ที่ด้านนอกมันสุดแสนอันตรายถึงขนาดนั้นแล้วมีหรือที่ทะเลทรายนี้มันจะไม่อันตราย?”
นั่นทำให้เล้งชิวหลิงหน้าถอดสีไปในทันที ในทะเลทรายกว้างใหญ่นี้นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงความอันตรายใดๆ ที่หลบซ่อนอยู่เลย
นอกจากเรื่องที่ว่ามันร้อนนิดหน่อยแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่ดูเป็นพิษเป็นภัย
“นี่มัน… แล้วเราจะทำอย่างไรดี?”
เย่หยวนบอก “เจ้าฝึกฝนวรยุทธบ่มเพาะธาตุเย็น เจ้าจงใช้ปราณเทวะครอบคลุมตัวเองไว้แล้วเจ้าย่อมที่จะปลอดภัย”
เล้งชิวหลิงนั้นไม่ค่อยเข้าใจในความหมายนั้นแต่นางก็ยังคงทำตามที่เย่หยวนบอกอย่างว่าง่าย
ตอนนี้บนร่างกายของเล้งชิวหลิงมันค่อยๆ มีคลื่นความเย็นกระจายตัวออกมาทำให้นางรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลายลงมาก
หลังจากทำเช่นนี้คนทั้งสองก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในทะเลทรายอย่างไม่คิดรีบร้อน
“หึ ไอ้เจ้าสองคนนั้นมันกลับทำเรื่องราวไร้สาระ ที่แห่งนี้มันไม่มีภัยอันตรายใดๆ ทั้งสิ้นแต่พวกมันกลับคิดใช้ปราณเทวะออกมา เมื่อถึงเวลาที่เจออันตรายแท้จริงเข้า ข้าอยากรู้เสียจริงว่าพวกมันจะยังเอาพลังที่ไหนจะต่อสู้ได้”
เมื่อเห็นปราณเทวะที่ไหลวนอยู่บนร่างของเล้งชิวหลิงเสียงหัวเราะเยาะเย้ยต่างๆ นาๆ ก็ดังขึ้นมา
เพราะในสายตาของทุกผู้คนแล้วการทำเช่นนั้นมันย่อมโง่เง่าอย่างไร้เปรียบ
การเดินปราณเทวะคลุมตัวนั้นมันย่อมหมายถึงว่าต้องสูญเสียปราณเทวะไปเรื่อยๆ หากเวลานั้นได้ไปเจอศัตรูเข้าแล้วพวกเขาคงไม่อาจรับมือกับศัตรูด้วยพลังสภาพที่เต็มร้อยได้แน่
“อ้าก!”
ในตอนนั้นเองกลับมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาในหมู่คนก่อนจะเป็นภาพของร่างกายเขานั้นที่ติดไฟลุกท่วม
ทุกคนหน้าถอดสีทันทีก่อนจะรีบวิ่งพุ่งตัวหนีจากคนผู้นั้น
ไม่นานนักร่างกายของคนผู้นั้นก็มอดไหม้จนกลายเป็นธุลีปลิวหายไปกับสายลม
ทุกคนหน้าถอดสีไปตามๆ กันอย่างไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขานั้นเดินมาอย่างไม่มีท่าทีใดๆ แต่ทำไมจู่ๆ ร่างกายของเขาจึงติดไฟขึ้นเช่นนั้นได้?
จู่ๆ ก็มีคนร่ำร้องขึ้นอย่างตื่นตกใจ “มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน?”
และระหว่างที่ทุกผู้คนกำลังมึนงงกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้าจู่ๆ ก็มีอีกหลายคนที่ร่างกายติดไฟจนถูกไหม้ไม่เหลือซาก
ตอนนี้ทุกผู้คนได้รู้แล้วว่าเรื่องราวเหตุการณ์ตรงหน้ามันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาแน่
ทะเลทรายแห่งนี้มันแฝงมาด้วยภัยเงียบที่พวกเขาไม่อาจสัมผัสถึงได้
“ท-ทุกคนระวังด้วย! ไฟนี้มันแสนที่จะร้อนแรง!”
“ทำไมจู่ๆ ร่างของเขาจึงมอดไหม้ไปเช่นนั้นกัน?”
“ข้า… ข้าไม่เอาด้วยแล้ว! ข้าขอตัวออกไปก่อนล่ะ!”
…
การได้เห็นภาพของคนมากมายมอดไหม้ไปตรงหน้ามันทำให้เหล่าคนทั้งหลายต้องตื่นตระหนก
ตอนนี้หลายๆ คนถึงขั้นคิดที่จะกลับออกไปภายนอก
แต่พวกเขาเดินไปได้แค่สองก้าวร่างกายก็กลับมอดไหม้กลายเป็นธุลี
เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายได้แต่ยืนมองดูภาพตรงหน้าอย่างมึนงงไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เล้งชิวหลิงหันมามองเย่หยวนด้วยสายตาที่ตกตะลึงไม่แพ้กัน นางรู้สึกได้ว่าการที่เย่หยวนบอกให้นางเดินปราณเทวะนั้นมันก็เพื่อทำการขับไล่ไฟที่ว่านี้ไป
แต่เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่?
เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าจะเดินไปไหนแม้สักก้าวเดียว
แต่มันก็ไร้ความหมายเพราะแม้จะหยุดนิ่งไปแล้ว แต่หลายๆ คนก็ยังลุกติดไฟร่างกายมอดไหม้สลายเป็นธุลี
ด้วยเหตุนี้พวกเย่หยวนที่เดินมาอย่างช้าเชื่องในตอนแรกจึงได้ขึ้นกลายเป็นผู้นำกลุ่มไป
สภาพผิดปกติของคนทั้งสองนี้มันดึงดูดสายตาผู้คนมากมายให้หันมามอง
“ทำไมพวกมันทั้งสองจึงไม่ติดไฟกัน?”
“อ่า นั่นมันสองคนที่เดินปราณเทวะป้องร่างไว้ตั้งแต่แรกนี่นา! ก่อนหน้าเรายังว่าเยาะเย้ยพวกเขาแต่หรือว่าแท้จริงแล้วที่แห่งนี้มันจะมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น?”
“ใช่แล้ว! นี่มัน… นี่มันเพลิงโลกันตร์!”
คนที่พูดขึ้นมานี้คือเทพถ่องแท้คนหนึ่ง
เมื่อพูดถึงชื่อเพลิงโลกันตร์ขึ้นมาสีหน้าของเทพถ่องแท้คนนั้นก็ซีดขาวลงทันที แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่คิดอยากที่จะเชื่อ
และไม่ใช่แค่เขา ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือคนอื่นๆ เองก็หน้าถอดสีไปตามๆ กัน
“เพลิงโลกันตร์นั้นอยู่ในจิต หากสับสนว่อกแว่กขึ้นมาเมื่อใดมันก็จะเปล่งพลังสุดหยั่งออกมา! ตำนานว่ากันว่าเพลิงโลกันตร์นั้นคือไฟที่เผาไหม้ได้ทุกสิ่งอย่างให้สลายกลายเป็นแค่ธุลีดิน”
เมื่อเย่หยวนได้ยินความตื่นตกใจของผู้คนทั้งหลายนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา
ในที่สุดคนทั้งหลายก็รับรู้ถึงมัน
วิหคชาดนั้นเป็นสัตว์เทวะแห่งเพลิง แน่นอนว่าความเข้าใจในแนวคิดแห่งไฟของมันต้องสูงล้ำ
ทะเลทรายอันกว้างใหญ่นี้แท้จริงแล้วมันคือทะเลเพลิงโลกันตร์
เมื่อเดินเข้ามาในทะเลทรายนี้ คนที่คิดเข้ามาย่อมต้องรักษาจิตใจให้สงบนิ่งเหมือนน้ำก้นบ่อ
ไม่เช่นนั้นแล้วเมื่อเพลิงโลกันตร์เกิดปะทุขึ้นมาร่างกายของพวกเขาก็คงไหม้สลายเป็นจุณ
แน่นอนว่าเย่หยวนย่อมไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนี้มาก่อนแต่เป็นหวู่เฉินที่สามารถมองกับดักเช่นนี้ออกได้ในพริบตา
ในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่ที่เข้าเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์มา เย่หยวนก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองได้กลับบ้านเก่า
สถานที่เปี่ยมอันตรายนี้ของคนผู้อื่นมันกลับกลายเป็นราวพื้นที่แสนสุขของเย่หยวน
คนทั้งหลายเหล่านี้ต่างยึดติดในความสำเร็จ คิดอยากหาเลือดแท้ของวิหคชาดให้เร็วที่สุด คนที่มีความคิดเช่นนั้นแน่นอนว่าจิตใจย่อมไม่สงบมากพอจนทำให้เพลิงโลกันตร์เกิดปะทุขึ้นมาได้ไม่ยาก
เมื่อได้พบถึงความผิดปกตินี้เหล่านักยุทธทั้งหลายต่างก็เริ่มทำจิตใจให้สงบลงและแน่นอนว่าเมื่อทำเช่นนั้นจุดที่เพลิงโลกันตร์ปะทุขึ้นมามันก็ค่อยๆ ลดน้อยลงจนหายไปในที่สุด
แต่ทว่าเรื่องราวมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเขาคิดคาด
เพราะยิ่งพวกเขาทั้งหลายเดินทางเข้าไปลึก พวกเขาก็ได้พบว่าอุณหภูมิของทะเลทรายนี้มันกลับร้อนแรงขึ้นจนทำให้สติของพวกเขาทั้งหลายเริ่มสั่นคลอน ทำให้ผู้มีจิตใจอ่อนแออีกหลายคนต้องถูกเพลิงโลกันตร์กลืนกินไป
ในหมู่คนสองสายตากำลังจับจ้องมาที่พวกเย่หยวน
คนแก่พูดกระซิบขึ้น “หึ ไอ้เด็กคนนี้มันมีความสามารถจริงๆ ถึงขั้นสามารถมองเพลิงโลกันตร์ออกได้ หากไม่ใช่เพราะมันพวกเราศิษย์อาจารย์ก็คงต้องตายลงในที่แห่งนี้แล้ว”
ชายหนุ่มตอบกลับมา “อาจารย์ ข้ารู้สึกมาตลอดเลยว่าเย่หยวนคนนี้มันมีอะไรแปลกๆ”
คนทั้งสองนี้ย่อมเป็นสองศิษย์อาจารย์จี้ฉุนและซัวหานแน่แล้ว
เมื่อคนทั้งสองเห็นว่าเย่หยวนได้เข้ามายังประตูวิหคชาดพวกเขาก็ตัดสินใจแอบลอบตามเข้ามาด้วย
เพราะเรื่องในครั้งก่อนมันทำให้จี้ฉุนไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่ที่เข้าเทือกเขาอาทิตย์ศักดิ์สิทธิ์มาเขาก็พยายามที่จะหาโอกาสสังหารเย่หยวนทิ้งเสมอมา
เมื่อได้เห็นว่ากู่เทียนเฉเข้าประตูเต่าดำไปจี้ฉุนก็ได้รับรู้ว่านี่คือโอกาสจึงตามติดพวกเย่หยวนเข้ามาในประตูวิหคชาดนี้
เดิมทีพวกเขาทั้งหลายนั้นคิดจะลงมือในทันทีแต่เมื่อได้เห็นเย่หยวนสั่งให้เล้งชิวหลิงเดินปราณเทวะด้วยวรยุทธบ่มเพาะของนาง มันจึงทำให้จี้ฉุนรู้สึกแปลกๆ และหยุดยั้งมือเอาไว้เสียก่อน
พวกเขาทั้งสองนี้เดินตามกลุ่มคนมาเมื่อพวกเขาได้เห็นว่ามีคนถูกเพลิงโลกันตร์เผาตายพวกจี้ฉุนก็ได้เข้าใจในทันที
ได้ยินคำของซัวหาน จี้ฉุนก็ยิ้มออกมา “ที่เจ้าว่ามามันก็ใช่ เด็กคนนี้มันแตกต่างจากผู้คนมากจริงๆ ตอนนี้อย่าเพิ่งรีบลงมือ ข้ารู้สึกว่าหากเราตามติดมันไปแล้วเราอาจจะได้ผลประโยชน์ที่ไม่อาจคาดคิด”
แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของซัวหานจี้ฉุนก็พูดขึ้นต่อ “หานเอ๋อ เจ้าวางใจได้ความแค้นของเจ้าอาจารย์ย่อมจะสะสาง! เมื่อใดที่เราได้เลือดแท้วิหคชาดมาแล้วเย่หยวนย่อมต้องตายลงแน่!”
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป เหล่าผู้คนทั้งหลายเดินหาในทะเลทรายกว้างนี้มากว่าครึ่งเดือนแล้วแต่กลับไม่พบเจอแม้แต่ร่องรอยของสมบัติใดๆ
นั่นทำให้คนทั้งหลายยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ หลายคนหมดความอดทนจนถูกเพลิงโลกันตร์มอดไหม้ตายไปก็มี
“ที่แห่งนี้มันมีเลือดแท้วิหคชาดจริงหรือไม่! พระเจ้าช่วย ไม่ได้สิ ข้าจะโกรธไม่ได้ ต้องสงบจิตไว้! ใจเย็นเข้าไว้!”
ท่าทางราวกับเล่นตลกของคนผู้นี้ทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาจากรอบข้าง
แต่ไม่นานเสียงหัวเราะก็ต้องเงียบตามๆ กันไป
เพราะการหัวเราะเองก็มิใช่ความสงบ
จู่ๆ ก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมชี้ออกไปไกล “พวกเจ้าดูนั่น! นั่นมันคืออะไรกัน?”
…………………………