“หา? ท่าน… ท่านคิดจะฉีกสัญญาหรือ?”
ติงเสี่ยวนั้นหน้าถอดสีทันทีจนเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าตนหูฝาดไปหรือไม่
การยกเลิกสัญญานั้นมันไม่เป็นปัญหามากมายต่อห้างโอสถเมฆา แต่มันจะเป็นปัญหาใหญ่ต่อตระกูลซูและตระกูลเหรินมากกว่า
ผู้นำตระกูลซูยิ้มตอบกลับมา “อย่าพูดเช่นนั้นเลย แต่ซูผู้นี้ได้กลับไปพูดคุยกับเหล่าคนเฒ่าผู้อาวุโสของตระกูลมาแล้วและรู้สึกว่าโอสถที่เราซื้อจากห้างโอสถเมฆามันมีมากเกินไป เพราะฉะนั้น…”
ติงเสี่ยวนั้นมีประสบการณ์ในการค้ามากมายเท่าใด? ได้ยินแค่นี้เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันมีอะไรไม่ปกติเกิดขึ้นแน่
หรือว่าทั้งสองตระกูลนี้จะถูกทางหอมหาสมบัติดึงตัวไป?
แต่หอมหาสมบัตินั้นยื่นข้อเสนอใดมากันถึงทำให้ทั้งสองตระกูลใหญ่นี้กล้าฉีกสัญญาเสี่ยงที่จะผิดใจกับพันธมิตรแดนใต้?
เหตุผลที่พันธมิตรแดนใต้นั้นแข็งแกร่งมันก็เป็นเพราะพวกเขานั้นรวมตัวเป็นปึกแผ่น
รวมตัวกันไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข
หากมีค่ายสำนักใดกล้าลบหลู่พวกเขาแล้วพวกเขาก็ย่อมจะไม่มีใครคิดขายโอสถให้แก่ค่ายสำนักนั้นไป
ผลลัพธ์เช่นนั้นแม้จะเป็นเมืองใหญ่อย่างยอดเมืองหลวงจักรพรรดิวาโยนิรันดร์มันก็คงไม่อาจจะทนทานรับไว้ได้
ติงเสี่ยวนั้นหรี่ตาลงพร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงกดดัน “ผู้นำตระกูลซู ผู้นำตระกูลเหริน ท่านเข้าใจหรือไม่ว่าการฉีกสัญญานี่มันหมายถึงเรื่องใด? ผลลัพธ์ที่ตามมาจากการลบหลู่พันธมิตรแดนใต้นั้นมันมิใช่สิ่งที่พวกท่านจะรับไว้ได้ง่ายๆ หรอกนะ!”
คำเตือนนี่มันหนักแน่นจนแทบจะเป็นคำขู่
ผู้นำตระกูลซูเองก็หน้าถอดสีลง แต่ทางผู้นำตระกูลเหรินที่อารมณ์ร้อนกว่ากลับหัวเราะขึ้น “ลบหลู่ก็ลบหลู่ไป จะมีเรื่องใหญ่ใดๆ ได้? ตระกูลเหรินข้าแค่มีหอมหาสมบัติเป็นคู่ค้าก็เกินพอแล้ว! เดิมทีพวกข้านั้นถูกเจ้าหลอกลวงมาจนทำให้เสียโอกาสสำคัญไปแล้ว เรื่องนั้นเหรินผู้นี้ยังไม่คิดจะล้างแค้นชำระบัญชีกับเจ้าเลย!”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวสีหน้าของติงเสี่ยวก็เปลี่ยนไปทันที
แค่ตระกูลเหรินน้อยๆ นี่มันกลับกล้าจัดขาดสายสัมพันธ์กับพันธมิตรแดนใต้อย่างนั้นหรือ?
ใครกันที่ให้ความกล้าเช่นนี้แก่เขา?
หอมหาสมบัติ?
แต่มันเพราะอะไรกัน?!
เมื่อผู้นำตระกูลซูได้ยินคำของผู้ตระกูลเหรินเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเรื่องมันคงไม่มีทางประนีประนอมได้แล้ว จึงได้แต่ต้องถอนหายใจกล่าวขึ้น “เถ้าแก่ติง ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆ จะอย่างไรข้าก็จำต้องเลือกทางที่เสียหายน้อยกว่า เวลานี้ตระกูลซูข้าไม่อาจร่วมการค้ากับท่านได้จริงๆ เพราะโอสถที่พวกท่านมีมันเป็นได้แค่ขยะหากเอาไปเทียบกับโอสถของหอมหาสมบัติ! ลาก่อน!”
พูดจบผู้นำตระกูลซูก็ยกมือขึ้นคารวะก่อนจะหันหน้าเดินจากไป
ผู้นำตระกูลเหรินเองก็ไม่คิดจะอยู่ต่อเดินตามผู้นำตระกูลซูหายไปจากห้างโอสถเมฆา
ติงเสี่ยวได้แต่ยืนมึนงงอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจ
ขยะ?
หลายต่อหลายค่ายสำนักได้รวบรวมนักหลอมโอสถมาช่วยกันหลอมโอสถทรงคุณภาพ แต่มันกลับถูกเรียกว่าเป็นขยะ?
ติงเสี่ยวนั้นไม่อาจจะยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้ เขานั้นแทบคิดจะอยากเดินไปฉีกปากเน่าๆ ของผู้นำตระกูลซูนั้นให้รู้เล่ารู้รอด
ใครกันเล่ามันจะเชื่อเหตุผลโง่ๆ เช่นนี้?
“มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน? หอมหาสมบัติทำอะไรลงไปกันแน่?” เถ้าแก่หลินนั้นได้แต่ยืนนิ่งบ่นพึมพำราวคนไร้สติ
คนอื่นๆ ทั้งหลายเองก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาไม่น้อย ดูท่าพวกเขาทั้งหลายเองก็คงไม่ได้เตรียมใจมารับเรื่องราวเช่นนี้
ใครจะไปคิดว่าความพยายามสามเดือนของพวกเขาทั้งหลายนั้นมันกลับจะถูกหอมหาสมบัติทำลายลงได้ด้วยเวลาแค่เช้าวันเดียว?
แต่ทว่าเรื่องของตระกูลซูและตระกูลเหรินนั้นมันเป็นแค่สัญญาณแห่งการเริ่มต้น
หลังจากนั้นตระกูลน้อยใหญ่ค่ายสำนักทั้งหลายต่างได้มาเยี่ยมเยียนเพื่อขอยกเลิกสัญญาที่เคยมีสิ้น
และมันมิใช่แค่กับห้างโอสถเมฆา แต่รวมไปถึงศาลาใจสงัด ห้างเมฆม่วงและร้านรวงอื่นๆ ทั้งหลาย คำสัญญาใดๆ ที่เคยมีมันกลับแหลกสลายลงไปในวินาทีสุดท้าย
เมื่อเวลาผ่านไปได้ครบวันคนทั้งหลายก็ได้แต่นั่งเหนื่อยหอบจากงานเอกสารที่ต้องจัดการ
แต่เมื่อถึงเวลาค่ำนี้ ในที่สุดพวกเขาทั้งหลายก็ได้เห็นโอสถมากมายหลากหลายวางเรียงรายต่อหน้า ทำให้เหล่าเถ้าแก่ทั้งหลายเข้าใจคำพูดของผู้นำตระกูลซูทันที
“นี่มัน… มันโอสถอะไรกันนี่? หอมหาสมบัติไปเอาสูตรโอสถเช่นนี้มาจากที่ใด? ถึงกับสามารถจะหลอมโอสถอันแสนน่าหวาดกลัวเช่นนี้ออกมาได้?” เถ้าแก่หลินพูดไปพร้อมร่างกายที่สั่นเทา
เขานั้นใช้ชีวิตอยู่กับตลาดโอสถมาทั้งชีวิต แต่ก็ยังไม่เคยจะได้พบเจอศัตรูที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน
อีกฝ่ายนั้นมิใช้เทคนิคการควบคุมจัดการตลาดใดๆ ไม่ต้องไปพูดตกลงสัญญาลับหลังใครๆ เรียกได้ว่าไม่ต้องสนใจการตลาดเลยแม้แต่น้อย
เพราะเมื่อโอสถทั้งหลายเหล่านี้ถูกปล่อยออกมา ศัตรูใดๆ ทั้งหลายย่อมจะแหลกสลายลงเอง!
นี่มันคือพลังอำนาจอันเด็ดขาด ไม่ต้องใช้วิธีการใดๆ ให้ยุ่งยาก
เหมือนดั่งเวลาที่เทพสวรรค์คิดกำจัดเทพถ่องแท้ พวกเขาเองก็คงไม่ไปคิดวางแผนการใดๆ ให้ยากเย็น
เพราะผู้เหนือกว่าอย่างแท้จริงไม่ต้องทำอะไรเช่นนั้น!
แค่ตบออกมาฝ่ามือเดียวศัตรูใดๆ มันก็จะแหลกสลายลงทันที!
“นี่มันน่าจะเป็นสูตรพัฒนาของโอสถพุทธหยกสินะ? และนี่ก็น่าจะเป็นสูตรพัฒนาของโอสถโกลาหลต้นหายใจ? พระเจ้า! พวกเขามีสูตรพัฒนาของโอสถพื้นฐานทั้งหลายในตลาดหมดเลย!”
เถ้าแก่ผู้หนึ่งยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “พวกเขา… พวกเขาพัฒนาวิชาโอสถไปอีกยุคสมัยหนึ่ง! เทียบกันแล้วแน่นอนว่าโอสถในมือเรามันย่อมไม่ต่างจากขยะ!”
“นี่มัน… จะเป็นไปได้อย่างไร? ต่อให้เราจะมียอดค่ายสำนักนับร้อยๆ มารวมตัวกันมันก็คงไม่อาจสั่นคลอนอำนาจของหอมหาสมบัติได้อีกแล้ว! นี่มันมิใช่ศัตรูในระดับเดียวกับเราอีกต่อไปแล้ว!”
ความตื่นเต้นดีใจในชัยชนะใดๆ ที่พวกเขาเคยมีในตอนเช้ามันได้หายไปจนสิ้นในเวลาวันเดียว
เหล่าเถ้าแก่ร้านทั้งหลายนั้นต่างได้แต่ยืนนิ่งเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว
หกแดนศักดิ์สิทธิ์ร่วมมือกับค่ายสำนักน้อยใหญ่มากมาย พร้อมด้วยแผนการที่วางกันมาอย่างยาวนานมันกลับกลายเป็นแค่เรื่องตลก!
ติงเสี่ยวได้แต่ถอนหายใจ “เรื่องนี่มันเหนือกว่าที่เราจะตัดสินใจได้แล้ว เวลานี้ปล่อยให้พวกท่านทั้งหลายเบื้องบนจัดการกันเถอะ ศัตรูของเรานี่มันแข็งแกร่งเกินไป!
สภาพของติงเสี่ยวในเวลานี้สูญสิ้นความหวังจะชนะใดๆ ไปสิ้น
เขานั้นเคยล้มลุกคลุกคลานอยู่ต่อสู้กับศัตรูมากมาย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่เคยจะพ่ายแพ้ให้แก่ใครในสงครามการค้า
แต่ครั้งนี้ เขารู้สึกว่าตนไม่อาจต้านทานใดๆ ได้เลย
ต่อสู้กับศัตรูเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่มีทางใดจะชนะได้
เขานั้นเห็นได้ถึงเงาร่างอันยิ่งใหญ่เบื้องหลังหอมหาสมบัติอย่างชัดเจน ผู้ที่กุมสงครามนี้ไว้ในฝ่ามือ
คนผู้นั้นคือเย่หยวน ปรมาจารย์เย่!
ต่อหน้าปรมาจารย์เย่แล้วติงเสี่ยวรู้สึกราวกับตนเป็นแค่เด็กตัวน้อย
ไม่ว่าจะมีวิชาความสามารถโดดเด่นปานใด อีกฝ่ายก็ไม่มีทางจะหันมาสนใจ
แม้ว่าคำพูดของเขาจะบอกว่าให้เบื้องบนจัดการต่อ แต่ติงเสี่ยวเองก็ฉลาดพอที่จะเข้าใจว่าครานี้พันธมิตรแดนใต้ได้แพ้พ่ายลงแล้ว!
ต่อให้จะเป็นเหล่าหกปรมาจารย์มาร่วมมือกันมันก็ไม่อาจจะกู้คืนสถานการณ์เช่นนี้ได้แน่
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นจะร่วมมือกันพัฒนาสูตรโอสถใหม่ขึ้นมาสู้บ้าง
เว้นเสียแต่ว่า… เรื่องนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร?
ต่อให้เป็นโอสถบรรพกาลมาลงมือเองมันก็ยังไม่แน่เลยว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้!
…
ข่าวร้ายหลั่งไหลเข้ามายังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิโอสถเมฆาอย่างไม่ขาดสาย
“ห้างโอสถเมฆาในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิวาโยนิรันดร์ไม่อาจขายโอสถใดๆ ได้และคงไม่อาจประคองต้นทุนได้อีกต่อไป เถ้าแก่ติงร้องขอถอนตัวจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิวาโยนิรันดร์!”
“ห้างโอสถเมฆาในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิหมอกทะยานล้นละลายเป็นที่เรียบร้อย เถ้าแก่เหอร้องขอถอนตัวจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิหมอกทะยาน!”
“ศาลาใจสงัดในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสารทมะโรงปิดร้านลงเรียบร้อยแล้ว เถ้าแก่เฟิงร้องขอถอนตัวจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิสารทมะโรง!”
…
ในห้องโถงใหญ่นี้เทพสวรรค์ดันหยู่เทพสิ้นสติลง
ในข่าวร้ายทั้งหลายที่ถูกส่งกลับมานี้ หลายต่อหลายที่นั้นมันมิใช่เขตแดนของหอมหาสมบัติเสียด้วยซ้ำ แต่เป็นเขตแดนใต้อำนาจของหกดินแดนศักดิ์สิทธิ์!
มันราวกับว่าหอมหาสมบัติได้โจมตีทั่วทั้งแดนใต้ภายในชั่วข้ามคืน
ที่สำคัญไปกว่านั้นพวกเขายังใช้เวลาแค่สั้นๆ ก็สามารถพังทลายพันธมิตรแดนใต้ลงได้อย่างราบคาบ
โอสถใหม่ของหอมหาสมบัตินั้นมันเหนือล้ำจนเกินไป!
ตราบเท่าที่คนผู้นั้นไม่ได้โง่เง่า พวกเขาก็ย่อมจะหันไปซื้อโอสถของหอมหาสมบัติ
ราคาขึ้นแล้วทำไมเล่า?
ต่อให้มันจะขึ้นไปอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์แต่โอสถของหอมหาสมบัตินั้นมันก็ยังมีค่าสูงล้ำกว่าโอสถทั่วๆ ไปอย่างมาก!
สงครามนี่มันไม่อาจจะกู้คืนกลับมาได้แล้ว!
……………………