War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3318

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3,318 : กลับบ้านเกิด เมืองวายุโปรย…
 
ไม่พูดไม่ได้จริงๆ แต่หงเฟยนับว่าทํางานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพจริงๆ
 
เพราะหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกลับมาจากคุกหมื่นพันธนาการได้ไม่กี่วัน หงเฟยก็ได้นําผลไม้อมตะที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะพลังขอบเขตจอมราชันอมตะมาให้เขา และแต่ละผลก็จัดเป็นผลไม้อมตะที่ค่อนข้างหายากและคุ้มค่าจริงๆ
 
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าต้องขยันบ่มเพาะให้มาก พอถึงวันที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่กลับมา เจ้าจะได้กู้หน้าให้พวกเราได้! ถึงตอนนั้นศิษย์พี่หญิงใหญ่จะได้ไม่ว่าพวกเราไม่เอาไหนอีก…!!”
 
ก่อนจะลากลับไป หงเฟยก็กล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม ด้วยความที่มันอ้วนมาก ลูกตาของมันจึงโดนแก้มย้วยๆบีบจนหยีแทบปิด
 
“ขอบคุณศิษย์พี่ 6 มาก”
 
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกขอบคุณหงเฟยจริงๆ อีกฝ่ายนับว่ามีประสิทธิภาพในการจัดการเรื่องราวไม่ใช่เล่นๆ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ได้แต่ลอบทอดถอนในใจ
 
เขารู้ดีว่าตั้งแต่ที่เขาคิดดําเนินแผนการช่วยเหลือบิดามารดาฮ่วนเอ๋อ ไม่นานเขาก็จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับศิษย์พี่ 6 ผู้นี้รวมถึงศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงคนอื่นๆ ไม่เว้นแม้แต่ครูในนามอย่างฉือหล่าง
 
ในวังเทียนฉือแห่งนี้ ต้วนหลิงเทียนใส่ใจก็แค่ฉือหล่างและศิษย์พี่ทั้งหลายเท่านั้น
 
หากเขาเลือกได้ ก็ไม่อยากใช้วิธีอุกอาจสุดโต่งเช่นนั้น จนต้องกลายเป็นศัตรูกับวังเทียนฉือเลย เพราะสิ่งนั้นก็หมายถึงเขาได้หันหลังให้กับฉือหล่างและศิษย์พี่ทั้งหลาย อนิจจาใต้หล้ามีบางเรื่อง ไม่อาจไม่ทําทั้งบางครั้งทางเลือกก็ไม่ได้มีมากนัก
 
“ฮ่วนเอ๋อ พี่หลิงเทียนจะไม่ทําให้เจ้าต้องผิดหวังแน่นอน”
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจ หลังจากหงเฟยกลับไปแล้ว
 
‘11 เดือนหลังจากนี้ ก็จะถึงเวลาเข้าไปทํางานที่คุกหมื่นพันธนาการ’
 
ในใจต้วนหลิงเทียนเริ่มวาดแผนคร่าวๆ
 
และหลังจากหงเฟยกลับไปได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนที่ครุ่นคิดเรื่องราวในหัวคร่าวๆ ก็เริ่มใช้ผลไม้อมตะและบ่มเพาะพลังทันที
 
ครึ่งปีต่อมา
 
“ฮ่วนเอ๋อ ออกจากวังเทียนฉือไปที่หนึ่งกับข้า”
 
หลังจากต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อแล้ว เขาก็เห็นร่างพานางออกจากสถานที่พักบ่มเพาะในด่านของฉือหล่าง จากนั้นก็พาฮ่วนเอ๋อออกจากวังเทียนฉือและมุ่งหน้าไปยังทางใต้ ในที่สุดก็มาหยุดลงยังป่าไผ่อันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
 
“พี่หลิงเทียน ท่านพาข้ามาที่นี่ทําไมหรือ?”
 
ฮ่วนเอ๋อหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความงุนงง ด้วยไม่ทราบว่าพี่หลิงเทียนพานางมาที่นี่ทําไม และไม่ได้บอกอะไรกับนางมาก่อนเลย
 
“ฮ่วนเอ๋อ ไม่ใช่เจ้าเคยบอกพี่หลิงเทียนหรอกหรือว่าอยากไปดูบ้านเกิดที่พี่หลิงเทียนโตมา?”
 
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
 
“อื้อ”
 
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า
 
“ตอนนี้พี่หลิงเทียนจะพาเจ้าไปเที่ยวระนาบเซียน”
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
 
“ไปสิ”
 
ฮ่วนเอ๋อคิดว่าพี่หลิงเทียนของนาง คงจะพานางไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลายจิตใจ เช่นนั้นจึงตอบตกลงไปทันที
 
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ลงมือทันที พลังเซียนอมตะต้นกําเนิดขุมหนึ่งเอ่อล้นออกมาปกคลุมไปทั่วน่านฟ้าก่อนจะแผ่ขยายไปยังป่าไผ่เบื้องล่าง
 
วู้ม!
 
วู้ม!
 
และป่าไผ่เบื้องล่าง เมื่อได้รับพลังเซียนอมตะต้นกําเนิดของต้วนหลิงเทียน ก็เสมือนมีชีวิตขึ้นมา แต่ละต้นเปล่งพลังไร้สภาพสีขาวราวน้ำนมออกมา จากนั้นพลังไร้สภาพทั้งป่าไผ่ก็ควบรวมเป็นมวลแสง ก่อนจะยิ่งพุ่งขึ้นมาเป็นลําแสงใส่ต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อ!
 
จนเมื่อลําแสงพลังหายไป ร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็หายไปแล้ว
 
และหลังจากร่างทั้ง 2 หายไป ป่าไผ่กว้างใหญ่แต่เดิมก็อันตรธานหายไปทันทีราวกับไม่เคยดํารงอยู่มาก่อน
 
เห็นได้ชัดว่าป่าไผ่ทั้งผืนนั้น ได้ถูกจัดตั้งมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายเอาไว้
 
และมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ ก็เป็นต้วนหลิงเทียนขอแรงหงเฟยให้ไปจ้างวานปรมาจารย์ค่ายกลมากมายมาจัดตั้งเอาไว้อย่างลับๆ และเป็นมหาค่ายกลที่จะใช้เคลื่อนย้ายจากระนาบเทวโลกไปยังระนาบโลกียะได้โดยตรง สําหรับจุดหมายปลายยทางที่มหาค่ายกลจะส่งไปก็คือบ้านเกิดของเขาหลังจากที่วิญญาณของเขาได้พลัดถิ่นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ระนาบโลกียะขนาดเล็กที่มีชื่อว่า ระนาบเซียน
 
วิ้ง! วิ้ง!
 
หลังฉากเรื่องราวเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อมืดมิดไปพักหนึ่ง ทั้งคู่ก็ได้แลเห็นแสงสว่างอีกครั้ง และพอมองไปรอบๆก็พบว่าตอนนี้ได้มาปรากฏตัวเหนือทะเลอันกว้างใหญ่ ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณมันช่างเบาบางอย่างมาก
 
หลังทําความคุ้นชินสักพัก ความรู้สึกผิดแปลกก็เริ่มหายไป
 
“นี่คือกรรมทางโลกงั้นหรือ?”
 
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนยังพบอีกว่า ภายในพลังวิญญาณฟ้าดินที่เบาบางนั้น กลับมีพลังแปลกประหลาดอีกขุมที่กําลังปั่นป่วนและพยายามจะชําแรกเข้าร่างของเขา แต่เขาก็สามารถหยุดยั้งมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
 
ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกเลย ที่ต้วนหลิงเทียนกลับมายังระนาบโลกียะหลังจากขึ้นไปยังระนาบเทวโลก
 
“ฮ่วนเอ๋อ อย่าปล่อยให้พลังแปลกๆโดยรอบชําแรกเข้าร่างเจ้าได้”
 
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือน “พลังแปลกๆที่ว่าสมควรเป็นกรรมทางโลก.พลังนี้มันแปลกประหลาดมาก ลือกันว่าหากเซียนอมตะที่มีด่านพลังฝึกปรือต้อยต่ำ ลงมาเยือนระนาบโลกียะ หากไม่อาจสามารถขัดขวางกรรมทางโลกให้เข้าสู่ร่างกายได้ ก็จะส่งผลต่อการบ่มเพาะต่อเซียนอมตะคนนั้นๆ บางคนระดับพลังฝึกปรือถึงกับหยุดชะงักไม่อาจหาความก้าวหน้าใดๆได้อีก”
 
“อื้อ”
 
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับเบาๆ สําหรับนางแล้วพลังแปลกๆโดยรอบ หรือกรรมทางโลกที่ว่า ก็ไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ถูกนางขับไล่สลายทิ้งได้อย่างง่ายดาย
 
“มาเถอะฮ่วนเอ๋อ เดี๋ยวพี่หลิงเทียนจะพาไปดูบ้านเกิดที่พี่หลิงเทียนอยู่ตอนยังเด็ก”
 
ต้วนหลิงเทียนกุมมือฮ่วนเอ๋อไว้ จากนั้นก็พานางไปยังบ้านเกิดเขาด้วยความเร็วสูงล้ำ พริบตาก็บรรลุถึงเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในชนบทแสนห่างไกลที่เขาเคยอยู่อาศัยในวัยเด็ก
 
และพอกลับมาถึงเมืองๆนี้ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าอาคารปลูกสร้างได้เปลี่ยนไปไม่น้อย ยังมีสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆผุดขึ้นเยอะแยะไปหมด แต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะหลังจากที่เขาขึ้นสวรรค์ไป วันเวลามันก็ได้ล่วงเลยมา 200 กว่าปีแล้ว
 
หลังผ่านไป 200 กว่าปี เมืองวายุโปรยจะเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
 
“ฮ่วนเอ๋อ ที่นี่คือสถานที่ๆข้าเติบโตขึ้นมา”
 
ต้วนหลิงเทียนพาฮ่วนเอ๋อเดินไปยังถนนสายหนึ่งในเมือง ก่อนจะชี้นู่นนี่นั่นพลางเล่าความหลังให้ฮ่วนเอ๋อฟัง “ฮ่วนเอ๋อเห็นร้านนั้นหรือไม่ ตอนข้าเริ่มบ่มเพาะพลัง เคยมีตาเฒ่าคนหนึ่งขายถังหูลู่อยู่…ตาเฒ่าผู้นั้นก็มักจะหลอกเด็กๆให้มาซื้อเป็นประจํา”
 
“ตอนนี้หลังเวลาผ่านไป 200 กว่าปี กระทั่งเด็กน้อยที่เคยโดนหลอกซื้อ ก็ไม่พ้นกลายเป็นดินเหลืองไปนานแล้ว”
 
กล่าวถึงท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
 
ตอนนี้ไม่ใช่แค่คนขายของข้างถนนในความทรงจําช่วงที่เขามาโผล่ที่เมืองนี้ใหม่ๆเท่านั้น กระทั่งสหายเก่าของเขาอย่างไขมันน้อยที่มาตามเขาแจ เพื่อให้เขายอมรับเป็นลูกพี่ช่วงแรกๆที่มาถึงโลกใบนี้ ก็คงกลายเป็นดินเหลืองไปหมดสิ้น
 
“ตระกูลลี่…”
 
หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินผ่านหน้าประตูใหญ่ของตระกูลลี่ หลังแผ่สํานึกเทวะไปตรวจสอบก็พบว่าตระกูลลิ่นั้นเติบโตขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก
 
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะลงมาเดินในเมืองวายุโปรย ทั้งคู่ก็ได้ใช้ยันต์อมตะเร้นกายระดับต่ำปกปิดร่างกายเอาไว้ ทําให้ไม่มีผู้ใดในเมืองสามารถสังเกตเห็นการมาเยือนของพวกเขาได้เลย
 
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินมาถึงประตูใหญ่ตระกูลลี่ เพื่อเข้าไปชมดูที่ทางด้านใน
 
“หืม?”
 
ทันทีที่ก้าวเท้าผ่านประตูลี่เข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็อดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นรูปปั้นรูปหนึ่งที่ตั้งเด่นหราอยู่กลางจัตุรัสด้านหน้า ด้านฮ่วนเอ๋อเองก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “พี่หลิงเทียนรูปปั้นนี้คล้ายท่านมากเลย”
 
“เอ่อ..ดูเหมือนจะเป็นข้าตอนอายุ 16-17 ปีจริงๆ”
 
ต้วนหลิงเทียนที่มองสํารวจรูปปั้นตรงหน้าอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะรูปปั้นเบื้องหน้าเป็นรูปปั้นเขาตอนยังหน้าละอ่อนจริงๆ
 
และข้างรูปปั้นก็มีแท่นศิลาที่เป็นดั่งหลักศิลาจารึกตั้งอยู่ ได้บันทึกความสําเร็จของเขาตั้งแต่ที่ออกจากเมืองวายุโปรยเป็นต้นไป…แน่นอนว่าความสําเร็จที่ถูกสลักจารึกเอาไว้ ก็มีแต่ความสําเร็จเท่าที่คนตระกูลลี่ในเมืองวายุโปรยกับเมืองประกายแสงจะทราบได้เท่านั้น
 
สําหรับความสําเร็จยิ่งใหญ่หลังจากนั้น ไม่ได้มีบันทึกเอาไว้ เพราะนั่นไม่ใช่อะไรที่คนของตระกูลลี่ หรือแม้กระทั่งตระกูลราชวงศ์ของอาณาจักรนภาล่องจะล่วงรู้ได้
 
“พวกเจ้าเห็นหรือไม่? รูปปั้นนี้คือคนดังของตระกูลลี่เรา ถึงแม้จะเป็นคนในตระกูลที่ใช้แซ่อื่นก็ตาม…กล่าวกันว่าตอนคนผู้นี้ยังเด็ก ก็มีความแข็งแกร่งสุดที่รุ่นเยาว์คนใดใน 10 ราชวงศ์จะสู้ได้แล้ว!”
 
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกําลังมองรูปปั้นอยู่ ก็มีเด็กชายที่แลดูอายุ 10 กว่าขวบคนหนึ่งนําพาเด็กหญิงตัวน้อยอายุ 5-6 ขวบมายังรูปปั้นของต้วนหลิงเทียน มันชี้รูปปั้นแล้วกล่าวอธิบายให้เด็กหญิงตัวน้อยที่กําลังดูดนิ้วฟังว่า “และมารดาของชายคนนี้ก็เคยเป็นอาวุโส 9 ของตระกูลลี่เรา!”
 
“พี่ใหญ่ 10 ราชวงศ์คืออะไรเหรอ? ใหญ่กว่าเมืองเรามากหรือไม่?”
 
เด็กหญิงตัวน้อยได้ฟังก็เอียงคอกล่าวถามออกมาอย่างไร้เดียงสา
 
“ใหญ่กว่า! ใหญ่กว่ามากๆเลย…อิ๋งๆ เมืองวายุโปรยที่พวกเราอยู่ เป็นแค่เมืองเล็กๆในอาณาจักรนภาล่องเท่านั้น และมีอาณาจักรแบบเดียวกับอนาจักรนภาล่องเรามากมายนับร้อยอยู่ใต้สิ่งที่เรียกว่าจักรวรรดิแล้วหลายๆจักรวรรดิก็อยู่ใต้ 1 ราชวงศ์…”
 
เด็กชายหัวโจกกล่าวอธิบายอย่างผู้รู้ “เมืองวายุโปรยของพวกเราเทียบกับ 10 ราชวงศ์แล้ว ก็เหมือนนิ้วเล็กๆของเจ้าเทียบกับภูเขาใหญ่ลูกนู้นแน่ะ!”
 
เด็กหญิงตัวน้อยได้ฟังก็ทําตาโต ร้องโอ้โหออกมาเสียงใส
 
“ด้วยเหตุนี้ตระกูลลี่ของพวกเราจึงภูมิใจมากที่ปรากฏตัวตนเช่นนี้เกิดขึ้น….อิ๋งๆ เจ้ารู้หรือไม่ สาเหตุที่ตระกูลลี่ในเมืองประกายแสงดูแลตระกูลลี่สาขาเมืองวายุโปรยมากเป็นพิเศษ ก็เพราะวีรกรรมของบรรพชนท่านนี้เมื่อ 200 กว่าปีก่อนคนเดียว! ไม่งั้นตระกูลลี่เราคงไม่ร่ำรวย ท่านแม่ก็คงไม่มีเงินให้เจ้าซื้อขนมกินทุกวัน…”
 
“ตระกูลลี่สาขาเมืองวายุโปรยของพวกเราเรียกว่าได้รับพรจากท่านบรรพชนผู้นี้…เช่นนั้นท่านปู่ของพวกเราจึงสร้างรูปปั้นของท่านบรรพชนขึ้นมาเพื่อให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราชื่นชมอย่างไรเล่า…เจ้ารู้หรือไม่ ในประวัติศาสตร์ตระกูลลี่ของพวกเราอย่าว่าแต่ คนต่างแซ่กระทั่งคนแซ่ลี่ยังไม่มีใครได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนเลย”
 
ชายหนุ่มหัวโจกกล่าวอธิบายสืบต่อ
 
“หวา! ร้ายกาจ ร้ายกาจ! พี่ใหญ่ท่านเล่าเร็วๆ ท่านบรรพชนที่ทําให้อิงๆมีขนมกินผู้นี้ทําอะไรไว้บ้างเหรอ แล้วท่านสู้เสือเขี้ยวดาบตัวใหญ่บะเฮิมหลังเขาได้หรือไม่!?”
 
เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวด้วยสองตาเป็นประกาย
 
“ต้องได้อยู่แล้ว!”
 
หลังจากเด็กชายตอบรับ จากนั้นมันก็เริ่มเล่าเรื่องราวปานนิทานอภินิหารให้เด็กหญิงตัวน้อยฟังอย่างออกรส ทั้งหมดที่มันเล่าก็คือวีรกรรมต่างๆที่ต้วนหลิงเทียนเคยสร้างไว้ในอาณาจักรนภาล่องเมื่อ 200 กว่าปีก่อน
 
บางเรื่องราวเอง กระทั่งเจ้าตัวอย่างต้วนหลิงเทียนก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ พอได้เด็กชายคนนี้กล่าวเล่า ก็ทําให้ความทรงจําของเขาหวนย้อนไปยังวันวาน ครั้งยังขวนขวายหาความแข็งแกร่งอยู่ในอาณาจักรนภาล่องเมื่อ 200 กว่าปีก่อนอย่างไม่ทันรู้ตัว
 
“พี่ใหญ่หลิงเทียนเด็กน้อยคนนี้เทิดทูนท่านมากจริงๆ”
 
ฮ่วนเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
 
“ไม่ทันรู้ตัวดุจชั่วพริบตา วันเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 200 ปีแล้ว…ทุกคนที่ข้าเคยรู้จักที่นี่ล้วนตกตายหวนคืนสู่ดินหมดสิ้น…จักมิตรสหายก็ดีศัตรูร้ายก็ดี คงเหลือไว้แต่ในความทรงจําเท่านั้น…”
 
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจอยู่นาน หวนคํานึงถึงกาลครั้งหนึ่งที่ไร ใจยังสะอดสะทกสะท้อนไม่ได้ หลังจากฟังเด็กน้อยเล่าเรื่องราวจบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินเตร็ดเตร่ไปบนถนนของเมืองวายุโปรยต่อ
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินผ่านมาถึงถนนสายหนึ่ง อยู่ๆร่างด้วนหลิงเทียนก็หยุดชะงักลง สองตาจับจ้องมองไปยังขอบถนนด้านหนึ่ง จากนั้นสองตาก็เริ่มเลื่อนลอยคล้ายหวนรําลึกถึงอะไรบางอย่าง
 
“พี่หลิงเทียน ถนนตรงนั้นทําให้ท่านนึกถึงอดีตหรือ”
 
ฮ่วนเอ๋อไม่ได้รบกวนอะไรต้วนหลิงเทียน จนเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางจึงอดถามออกมาไม่ได้
 
“ใช่”
 
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นสายตาที่ใช้มองมุมหนึ่งของถนนเบื้องหน้าก็เผยความหวนรําลึกอีกครั้ง “ที่นั่น ตรงนั้นเป็นที่ๆข้ากับเค่อเอ๋อพบกันครั้งแรก…วันนั้น”
 
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวเล่า ความทรงจําที่เลือนรางในอดีตก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นในใจ ภาพเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งนั่งคุกเข่า ตั้งป้ายขายตัวเองเพื่อหาเงินฝังศพมารดาผุดขึ้นมาจากนั้นภาพใบหน้าอ่อนวัยไร้เดียงสาแสนซื่อก็ฉายชัดในใจ ฉากเรื่องราวมากมายแล่นวาบในห้วงคิด จากเด็กหญิงตัวน้อยในวันวานก็ได้กลับกลายเป็นภรรยาเขา
 
และตอนนี้เด็กกหญิงตัวน้อยที่เติบโตผู้นั้น ตัวตนของนางก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดแล้ว
 
เพราะในเวลานี้นางสมควรอยู่ในระนาบเทพ ดินแดนที่เหล่าทวยเทพอาศัยอยู่ ซึ่งกําลังรอความช่วยเหลือจากเขาในอีก 700 ปีหลังจากนี้…ที่สําคัญ คนที่กําลังรอความช่วยเหลือจากเขาไม่ใช่แค่นางคนเดียวยังมีภรรยาอีกคน สตรีคนรัก ลูกๆไม่เว้นครอบครัวกับมิตรสหายที่ถูกอวิ๋นชิงเหยียนจับไป
 

War Sovereign Soaring The Heavens

War Sovereign Soaring The Heavens

Type: Author:
จิตวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธในโลกปัจจุบัน ได้ทะลุข้ามไปยังโลกอื่นรวมเข้ากับความทรงจำของของเด็กหนุ่ม ที่ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา จนกระทั้งขาดใจตาย การฝึกฝนเทคนิค เก้ามังกรเทพสงคราม จะสามารถกวาดล้างศัตรูได้โดยไม่มีวันแพ้! ขณะที่เขา มีความสามารถในการปรุงยา การสร้างอาวุธ และเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ … ทักษะทั้งหมดนี้ คือวิถีทางแห่งราชันย์!

Options

not work with dark mode
Reset