เกิดความเงียบขึ้นในห้องนั่งเล่น
บรรยากาศกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
ทุกคนต่างรู้สึกอับจนหนทาง สิ้นหวังอย่างถึงที่สุด
เฉินตงรู้สึกหดหู่ใจมากกว่าที่เคย เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำตาย กระทั่งจะไขว่คว้าหาจับฟางช่วยชีวิตสักเส้นรอบกายก็ยังไม่มีแม้เพียงครึ่งเส้น
ดาบที่ทรงพลังยิ่งใหญ่ขนาดผลักภูเขาพลิกทะเลได้เล่มนี้ มันชี้ตรงมาที่ลำคอของเขาแล้ว
และทั้งที่เป็นอย่างนั้น กลับไม่มีที่ไหนให้เขาหลบหลีกต่อต้าน ทำได้เพียงแค่ต้องยื่นคอเปล่า ๆ ไปรับดาบที่จ่อมา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เฉินตงที่สิ้นหวังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ดวงตาของเขาพลันสว่างวาบขึ้นมาทันใด
เป็นคุณพ่อนั่นเอง!
บางที…..อาจจะยังพอมีทางรอด!
เฉินตงรีบกดรับสาย
ที่ปลายสาย เสียงทื่อ ๆ ด้าน ๆ ราวแม่เหล็กของเฉินเต้าหลินแผ่วต่ำจมดิ่งอย่างมาก: “พ่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แต่เฒ่าหนังเหนียวตายยากนั่นคอยปกป้องเฉินหยู่เฟยอยู่ พ่อไม่สามารถใช้พลังของตระกูลเฉิน ไปบังคับความคิดเห็นของสาธารณชนบนโลกโซเชียลได้ ลูกคิดว่าจะทำยังไงล่ะ? พ่อจะพยายามช่วยลูกอย่างสุดความสามารถเอง”
คำถามสุดท้ายนั่น ทำให้เฉินตงต้องหัวเราะออกมาเลยทีเดียว
มีเพียงรอยยิ้มที่ขมขื่นปรากฏบนใบหน้าเขาซ้ำ ๆ ไปมาไม่รู้จบ
แม้แต่คุณพ่อก็ยังต้องถามเลยว่า ฉันพอจะมีหนทางอะไรบ้างไหม ? เห็นได้ชัดว่า สถานการณ์ตอนนี้ มันเกินจะควบคุมได้แล้วจริงๆ
หากเป็นเวลาปกติ ความคิดเห็นในโลกโซเชียลทำนองนี้ ไม่ใช่อะไรนอกจากพายุลูกเล็ก ๆ ที่หมุนวนอยู่ตรงหน้าพวกตระกูลระดับมหาเศรษฐีก็เท่านั้น
ในตอนที่ความคิดเห็นของสาธารณชนเพิ่งจะปรากฏบนโซเชียล ขอแค่ตระกูลเฉินใช้กำลังอำนาจที่มีในมือทำการเคลื่อนไหว ความคิดเห็นของสาธารณชนในโซเชียลทั้งหมด ก็อาจหายไปได้อย่างง่ายดาย เรียกว่าสามารถปิดได้อย่างมิดชิดไม่มีเหลือ
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว
ความคิดเห็นของประชาชนรุนแรงดุเดือดมาก นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่เอง ? ทั่วทั้งโลกโซเชียลต่างก็พากันรุมประณามเขาแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินที่คอยช่วยเหลือ ทั้งยังช่วยสนับสนุนเฉินหยู่เฟยอยู่เบื้องหลังให้อีก เมื่อถูกยับยั้งหน่วงเหนี่ยวแบบนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังของตระกูลเฉิน ไปขจัดความคิดเห็นของสาธารณชนได้
ตอนนี้คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินกับเฉินหยู่เฟย คงกำลังหัวเราะร่าอย่างมีชัยอยู่หน้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วล่ะมั้ง?
เฉินตงคิดในใจ
แต่แล้ว เสียงแผ่วต่ำของเฉินเต้าหลินก็กลับดังขึ้นที่ข้างหูของเขาอีกครั้ง: “ตงเอ๋อ ขอโทษด้วยนะลูก มันเป็นเพราะไร้ความสามารถของพ่อแท้ ๆ”
“พ่อครับ ไม่เป็นไรหรอก ขอผมลองคิดดูอีกสักหน่อย ฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเราเสมอ ต้องมีวิธีแก้ไขสักวิธีแน่ครับ” เฉินตงพูดปลอบใจ
เพื่อเขาแล้วเฉินเต้าหลินกล้าจนถึงขั้นที่ว่า พร้อมจะส่งคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไปตายได้ด้วยซ้ำ
หากมีวิธีจริง ๆ เฉินเต้าหลินคงจะลงมือทำไปตั้งนานแล้ว
กระแสคอมเม้นท์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างล้นหลามนี้ เฉินเต้าหลินไม่มีทางหยุดยั้งมันได้ เฉินตงไม่ถือสาเรื่องนี้แม้แต่น้อย
“พวกเรามาพยายามด้วยกันเถอะ พ่อเองก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยลูกให้ได้”
เสียงของเฉินเต้าหลินสูงขึ้นเล็กน้อย: “มีพ่ออยู่ ใครมันก็ทำลายลูกไม่ได้!”
หลังจากวางสาย
ดวงตาของเฉินตงสั่นไหว บางครั้งก็สว่างเป็นประกาย บางครั้งก็สลัวมัวหม่นไร้แสง
แม้ว่าพวกท่านหลงจะไม่รู้เนื้อหาของบทสนทนาระหว่างเฉินตงกับเฉินเต้าหลิน แต่จากท่าทางการแสดงออกของเฉินตงแล้ว พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นต้องไม่ค่อยดีแน่
“คุณชายครับ”
ท่านหลงเรียกเบา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก มันต้องมีวิธีแน่ ดูกันไปทีละก้าว ๆ เถอะ ยังไงซะคิดให้มาก ๆ หน่อย มันคงจะมีทางออกสักทางแหละ”
เฉินตงยืดเอวบิดขี้เกียจ แสร้งทำเป็นผ่อนคลาย ตบ ๆ ที่ท้องแล้วพูดว่า “ว่าก็ว่าเถอะ ที่บ้านมีอะไรกินบ้าง ? ฉันยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ตอนนี้หิวจนปวดกระเพาะไปหมดแล้ว”
“เดี๋ยวฉันไปทำอาหารเช้าให้พี่ตงแล้วกันนะ” เฉินเสี่ยวเชียนลุกขึ้น แล้วเดินตรงไปที่ห้องครัว
“ขอบคุณนะเสี่ยวเชียน”
เฉินตงพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วยักไหล่ให้พวกท่านหลง “ ทุกคนอย่าขมวดคิ้วนิ่วหน้ากันสิ เรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นที่ฉันจะต้องตายลงเดี๋ยวนี้ซะเมื่อไหร่ คุณหญิงใหญ่เฉินกับตระกูลฉินร่วมมือกันลอบฆ่าฉัน ถึงขั้นที่เคยผลักฉันไปอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างเข้าคุกเข้าตารางมาแล้วด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยังกลับมาได้แบบครบสามสิบสองเลยไม่ใช่รึไง?”
รอยยิ้มที่แกล้งทำเป็นผ่อนคลายสบายใจนั้น ทุกคนต่างก็มองออกทั้งหมด
แต่ตอนนี้ เฉินตงไม่มัวมาสนใจแล้วว่า การแสดงของเขาจะยอดเยี่ยมหรือไม่
เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ทั้งยิ่งไม่มีนิสัยนั่งรอความตายอยู่ในพจนานุกรมด้วย
คนเราเมื่อยังไม่ถึงที่ตาย จะอย่างไรก็ต้องหาทางรอดได้เสมอ
ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในคุกนั่นปะไร
ยิ่งไปกว่านั้น เขาคือคนที่อยู่ในใจกลางของวังวน ทุกคนรอบตัวเขาต่างก็เป็นห่วงเขา ทั้งยังช่วยคิดหาทางให้เขาอีก
ถ้าเขาที่เป็นคู่กรณีเกิดยอมแพ้ เตรียมตัวยืดคอรอการประหารชีวิตง่าย ๆ แล้วล่ะก็ หลังจากนี้ไปคนรอบตัวเขาจะเป็นยังไงล่ะ?
“พูดก็พูดเหอะ…สรุปแล้ว คุณกับผู้หญิงคนนั้น ได้ทำอะไรกันจริง ๆ รึเปล่า?”
จู่ ๆ ฉินเย่ก็เลิกคิ้วขึ้นสูง ถามด้วยดวงตาที่ลุกเป็นประกาย: “ ถ้าเกิดคุณทำจริง ๆ นะ คุณก็ไม่เสียเปรียบหรอก เฉินหยู่เฟยเป็นถึงซูเปอร์สตาร์เชียวนะ ด้วยรูปร่างหน้าตาระดับนั้นของเธอ ต่อให้ต้องตายภายใต้ต้นดอกโบตั๋น เป็นผีก็คุ้มค่าอยู่นา”
“ไสหัวไปให้พ้น!”
จู่ ๆ เฉินตงก็ยิ้มไม่ออกซะแล้ว ทำได้แค่จ้องฉินเย่ด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
ฉินเย่แบมือออก พลางพูดว่า “ผมไม่ได้คิดเหมือนอย่างที่คุณคิดหรอกเรอะ? ทำให้ทุกคนผ่อนคลายสักหน่อย บรรยากาศมันจะได้มีชีวิตชีวาขึ้นไง”
“เฮ้อ……”
เฉินตงถอนหายใจเฮือก เหลือบมองขึ้นไปชั้นบนด้วยความรู้สึกผิด
ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงวันเดียว
คอมเม้นท์ของประชาชน ได้พัฒนาไปจนถึงจุดที่ทุกคนต้องหวาดกลัวสิ้นหวังกันแล้ว
เครือข่ายบนโซเชียลทั้งหมดถูกโจมตีรอบด้าน ผู้คนก่นด่าสาปแช่งจนมืดฟ้ามัวดิน
เหมือนกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ฟ้าถล่มภูเขาทลาย พื้นธรณีแยกแตกเป็นผงธุลี พัดทำลายต้นไม้แห้งและท่อนซุงจนพังพินาศสิ้น
กองทัพนักล่าแม่มด ต่างพากันขุดรายละเอียดของเฉินตงออกมาแบบทุกซอกทุกมุม นอกจากข้อมูลเรื่องผู้สืบทอดตระกูลเฉินแล้ว ข้อมูลที่เหลือทั้งหมด ต่างก็ถูกขุดออกมาโชว์หราบนโลกอินเทอร์เน็ต
ประวัติชีวิตอันสุดบรรเจิด ชีวิตแต่งงานอันชวนโศกาน่ารันทด ล้วนถูกเปลี่ยนเสริมเติมแต่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ถึงขั้นขุดเรื่องชีวิตแต่งงานอันไร้สุขตลอดสามปีของเฉินตงกับหวางหนันหนันไม่พอ แม้แต่รายละเอียดบางอย่าง รวมไปถึงการแต่งงานของคนตระกูลหวางกับ หวางเห้าก็ยังถูกขุดออกมาประจานไปด้วย
นี่เองจึงทำให้เฉินตงกลายเป็น ” เดรัจฉานสวมเสื้อผ้า ” ตามขี้ปากของผู้คนที่พากันก่นด่าว่าร้ายเขาไปโดยปริยาย
ต่างคนต่างก็ร่วมกันคอมเม้นท์ ความโกรธแค้นของผู้คนก็ยิ่งโหมกระหน่ำจนมืดฟ้ามัวดิน
ไม่มีใครสนใจแล้วว่า ข้อมูลข่าวที่เห็นนั้นมันเป็นความจริงหรือเท็จ ภายใต้การนำของผู้คนที่แสดงความห่วงใยใส่ใจหญิงสาวอ่อนแอ คนส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นขุ่นเคือง ต่างก็กระหายอยากเรียกร้องความเป็นธรรมตาม ๆ กันไปจนหน้ามืด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
คอมเม้นท์ในโลกโซเชียล ก็ยังคงพุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด
ในเช้าวันที่สอง แฟนๆ ที่เทิดทูนบูชาเฉินหยู่เฟย ได้มารวมตัวกันปิดกั้นที่หน้าประตูทางเข้าของบริษัทไท่ติ่ง แล้วอาละวาดขว้างปาข้าวของอย่างบ้าคลั่ง
บรรดาบริษัทใหญ่ ๆ ที่อยู่ในมือของเฉินตง ต่างก็พลอยติดร่างแห ตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
บริษัทอสังหาริมทรัพย์จุนหลงต้องหยุดกิจการไปอีกครั้ง ถึงกับทำให้โจวจุนหลงต้องทุบหน้าอกตัวเองระบายอาการจุกอกเลยทีเดียว
บริษัทเอนเตอร์เทนของฉู่เจียนเจีย ต้องหยุดการทำงานหมดทุกด้าน เพราะข่าวใหญ่ที่เกิดในวงการบันเทิง ย่อมทำให้คนที่อยู่ในวงในของธุรกิจบันเทิงอย่างฉู่เจียนเจีย ได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลไปด้วย
บริษัทการเงินของฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียน แทบจะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้เลย ทำได้แค่ฝืนดำเนินการต่อไปอย่างทุลักทุเล แต่ข่าวที่ฉินเสี่ยวเชียนรายงานกลับไปให้เฉินตงนั้น กลับเป็นเรื่องที่ชวนทำให้ปวดหัวยิ่งกว่า เพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัท ได้พบตัวบุคคลน่าสงสัย ซึ่งมีสถานะความเป็นมาไม่ชัดเจนจำนวนหนึ่ง มาเดินเข้าเดินออกภายในบริษัท
และสิ่งที่ยิ่งทำให้เฉินตงแทบเป็นบ้าไปจริง ๆ ก็คือ
พ่อแม่ของกู้ชิงหยิ่ง ได้รู้ถึงความคิดเห็นของผู้คนที่พากันรุมวิจารณ์หมดแล้ว
พลบค่ำของวันที่สอง กู้โก๋ฮั๋วก็โทรทางไกลมาถามด้วยความเคร่งเครียดสุดขีด ถ้าไม่ใช่เพราะกู้ชิงหยิ่งออกมายืนขวางหน้า ช่วยหักล้างแก้ต่างพ่อของตัวเองให้เขาแล้วล่ะก็ เฉินตงก็คงจะพังทลายจนสติแตกไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว
วันที่สาม
คอมเม้นท์ของผู้คนที่ถาโถมเข้ามาราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย กลายเป็นเหตุการณ์ที่เหนือจินตนาการของทุกคนไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ของเฉินหยู่เฟย ในเวลานี้ต่างก็พากันระเบิดพลังการต่อสู้ที่บ้าคลั่ง ทั้งยังน่าสะพรึงกลัวออกมาแบบไม่ยั้ง
แม้แต่บรรดาคนที่ร่ำรวย พวกยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจในมือ ก็เริ่มประณามเฉินตงกันแล้ว รวมถึงคนดังและมีชื่อเสียงจากทุกสาขาอาชีพ ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมการประณามครั้งนี้ด้วย
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินหยู่เฟยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ เลยทั้งสิ้น
แต่การอยู่เงียบ ๆ ไม่ตอบอะไรเลยนี่แหละ กลับกลายเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแทน
ไม่ว่าใครก็ตาม หากต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่น่ากลัวขนาดนี้ ก็คงไม่มีแก่ใจคิดจะออกมาตอบคำถามอะไรทั้งนั้นนั่นแหละมั้ง?
นี่คือการเดาของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าเฉินตงในช่วงสามวันนี้ จะยังอยู่บ้านอย่างสงบนิ่ง ปลอดภัยเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่ในสายตาของทุกคน เฉินตงกำลังใช้เส้นสายภายในของเขา เพื่อดำเนินการบางอย่างแบบลับ ๆ เพื่อจัดการกับเรื่องนี้
ในช่วงเวลาสามวัน
เฉินตงแทบไม่ได้นอนหลับเลย เขาเฝ้าดูคอมเม้นท์ของผู้คนบนอินเทอร์เน็ต ฟังการรายงานเหตุการณ์ที่เกิดการขว้างปาทำลายที่หน้าบริษัท เขาใกล้จะถึงขีดจำกัดของคนสติแตกเข้าไปทุกที ๆ แล้ว
สิ้นหวัง ไร้กำลัง เป็นสองคำที่สามารถอธิบายอารมณ์ของเขาในตอนนี้ได้ดีที่สุด
“คุณชายครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะครับ” ท่านหลงเดินไปที่ระเบียง แล้วมองเฉินตงด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่ง่วงน่ะ”
เฉินตงส่ายหน้า: “พวกฉินเย่อยู่ที่ไหนกันล่ะ? ช่วงสองสามวันมานี้ จู่ ๆ บ้านก็เงียบขึ้นผิดหูผิดตาเลยนะ”
“กูหลังไปเฝ้าที่บริษัทไท่ติ่งครับ คุนหลุนกับฉินเสี่ยวเชียนไปซีสู่เพื่อจะดูว่าพวกเขาพอจะสามารถระดมพลังของตระกูลฉินมาได้ช่วยหรือไม่ ฉินเย่ไปหาตระกูลจางกับตระกูลฉู่ที่เมืองหลวงแล้วครับ เพราะจะยังไง พวกเขาทั้งสองตระกูลต่างก็เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิง ธุรกิจในมือพวกเขามีอำนาจมากพอในเรื่องแบบนี้”
ท่านหลงพูดอธิบายไปทีละคน ๆ : “คุณชายวางใจเถอะครับ ทุกคนต่างก็พยายามกันเต็มที่ มันจะต้องมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ”
“มีทางจริง ๆ เหรอ?” เฉินตงยิ้มบาง
“คุณท่านเองก็คงกำลังคิดหาวิธีช่วยคุณอยู่นะครับ”
ท่านหลงขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าจริงจัง กำลังจะอ้าปากพูดโน้มน้าวต่ออีกสักประโยค แต่แล้วการปรากฏตัวของเงาร่างงดงามจากอีกด้าน ก็เกิดขัดจังหวะเขาขึ้นมาเสียก่อน
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามวัน ที่กู้ชิงหยิ่งยอมออกมาจากห้องนอน
แม้ว่าก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารทั้งสามมื้อ ก็ล้วนเป็นฟ่านลู่ที่เป็นคนยกข้าไปให้ ราวกับว่าเธอได้ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์
ภายใต้สายลมยามค่ำคืน กู้ชิงหยิ่งที่สวมชุดนอนทั้งตัว ปล่อยผมยาวดำขลับปลิวสยาย ใบหน้าอันงดงามของเธอดูขาวซีดเล็กน้อย แสดงถึงความอ่อนล้าอิดโรย
เธอมองไปที่เฉินตง ดวงตาที่แดงเรื่อของเธอเผยแววที่สื่อว่า รู้สึกทนใจแข็งไม่ได้ออกมาให้เห็นเล็กน้อย
เธอแย้มยิ้มเศร้า ๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“ที่รัก ไม่ได้นอนมาสามวันแล้วนะคะ ไปพักผ่อนสักหน่อยเถอะ จากนี้ฉันจะช่วยคุณคิดหาหนทางเองนะ”