ทันทีที่พักเที่ยง ชิโมสึกิมาทางนี้พร้อมกับทิ้งเสียงเท้า เตาะแตะ เอาไว้
“จะ จุย!”
เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเธอต้องการจะบอกอะไร บางทีคงเพราะความขี้อายทำงาน พอประหม่าก็พูดไม่รู้เรื่อง
แค่รับรู้ถึงคนอื่นก็อายเลยเนี่ย หายากไม่เบาเลยนะ
เพื่อเป็นการรับมือปัญหา ชิโมสึกิยื่นจดหมายมาให้ ก็รับมาโดยอัติโนมัติ ในนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ตามาหน่อย’
ดูเหมือนจะเตรียมไว้เรียบร้อยเลยนะ…..น่ารักจริงๆเลยนะ เธอนี่
“เข้าใจแล้ว”
พอพยักหน้า ชิโมสึกิก็แสยะยิ้มอย่างภูมิใจ สีหน้าของเธอบอกว่า ถึงไม่ต้องพูดก็เข้าใจกันได้สบายๆ
เธอติดใจกับการเขียนหมายแล้วสินะ ดูเหมือนอนาคตน่าจะได้รับจดหมายแบบนี้อีกไม่น้อยแน่ๆ
คิดนู่นคิดนี่ ขณะตามชิโมสึกิ
เธอคงจะมีน้ำหนักน้อยสินะ เสียงฝีเท้าของเธอจึงเบา และก็ก้าวเร็วด้วย ถ้าไม่ระวังผมอาจจะคาดสายตาได้เลย
จากนั้นเราก็มาถึงในที่ที่ไม่มีคนอยู่
ที่มุมหลังอาคารเรียน ขนาดผมเองยังตกใจที่มีที่แบบนี้อยู่ด้วย เป็นจุดลับตาคนอย่างมาก
“ที่นี่นะ เป็นสถานที่ลับของฉันเลยนะ? ดูสิ ไม่มีคนอยู่เลยใช่ไหมล่ะ? ปกติจะทานข้าวตรงนี้แหละ ถ้ามีเพื่อนแล้วอยากจะทานด้วยกันที่นี่…..ฝันเป็นจริง1อย่างแล้วล่ะ”
พออยู่ด้วยกัน2คน ชิโมสึกิพูดเก่งขึ้นทันที เอาเถอะ ก็อยากขอบคุณที่ช่วยบอกอะไรหลายๆอย่างก่อนที่จะถามละกัน
“เป็นที่สงบดีนะ”
“ใช่มั้ยล่ะ? อุฟุฟุ ฉันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่เกิดแค่เฉยๆหรอกนะ ฉันเก่งเรื่องการหาที่ไม่มีคนน่ะ ที่ๆจะทานข้าวกลางวันแบบเงียบได้กว่านี้คงมีแต่ห้องน้ำอาจารย์แล้วล่ะมั้ง?”
แต่ว่า ตอนที่ชิโมสึกิพูดออกมาทุกสิ่งทุกอย่างและปล่อยความรู้สึกดาร์คๆออกมาด้วยนี่ ทำเอากลัวแฮะ
ถึงเธอจะดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ตัวเธอน่าจะมีด้านมืดอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ
“ห้องน้ำไม่ใช่ที่กินข้าวนะ”
ยิ้มแห้งๆ และเปิดซองขนมปังที่ซื้อมาเมื่อเช้า
แต่ว่าก็ไม่สามารถกินได้ เพราะชิโมสึกิที่ส่งสายตาจ้องมา เหมือนว่ามีอะไรจะพูด
“หืーม? เห~? โห?”
“ปะ เป็นอะไร?”
เพราะโดนจ้องอยู่อย่างเดียว เลยเผลอถามไปแบบไม่คิด
ชิโมสึกิก็เริ่มพูด ด้วยความรู้สึกว่ากำลังรอเวลานี้อยู่เลย อย่างยาวมาก
“…..เน่ ถ้านากายะมะคุงชวนคุยก็จะคุยด้วยแท้ๆ ทำไมถึงต้องแสร้งทำเป็นเหมือนคนอื่นด้วยล่ะ? ฉันคาดหวังไว้มากเลยนะ? ถ้าถึงเวลาพักแล้ว คิดว่าจะมาหาฉันเหมือนน้องหมาน้อยที่กระดิกหางไปมาพร้อมพูดคุยกันอย่างสนุกแท้ๆ แต่ดันทำตัวเหม่อลอยเป็นเป็นโคอาล่าแบบนั้น โหดร้าย ถ้าฉันพูดอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ แบบนี้ก็เหมือนฉันชอบนากายะมะคุงอยู่ฝ่ายเดียวสิ ถึงจะอยู่ในห้องเรียนก็อยากให้คุยกะนมากกว่านี้อีก และก็อยากให้รักกันในฐานะเพื่อนด้วยแท้ๆ”
ดูเหมือนเธอจะบ่นท่าทางของผมตอนอยู่ในห้องเรียน
ในส่วนนั้นก็อยากจะขอโทษอยู่หรอก แต่ก่อนอื่นมี1อย่างที่อยากพูด
“คะ ความรักเนี่ย…..หนักหน่วงจัง”
ราวกับว่าเป็นคนรักกันเลยนะ แถมยังเป็นประเภทที่รับมือยากเอามากๆด้วย
ไม่ใช่ว่าเธอต้องการมากเกินไปสำหรับความสัมพันธ์ของเพื่อนหรอ ในใจก็คิดว่าอยากให้ คบกันสบายๆมากกว่านี้นะ
“เมื่อเช้า หลังจากที่ได้คุยกัน ฉันก็นึกได้ว่า ‘อาเระ? จะว่าไปนากายะมะไม่ยอมคุยกันเลยน้า’ เพราะอย่างงั้นก็เลยรอ แต่สุดท้ายก็ไม่มาคุยกันอยู่ดี ก็เลยเผลอเขียนจดหมายไปให้น่ะ ไอ้นั่นมันก็ไม่มีปัญหาเพราะมันก็วิเศษอยู่หรอก แต่ช่วยกระตือรือร้นมากกว่านี้หน่อยนะ? ฉันน่ะเป็นคนขี้เหงามากๆเลย”
“ขะ ขอโทษด้วยครับ”
เป็นคนขี้เหงา หรือเป็นคนที่อยากถูกเทคแคร์ก็ไม่รู้……ที่ผ่านคิดว่าเธอเป็นคนเงียบๆไร้อารมณ์เหมือนน้ำแข็งซะอีก แต่พอได้ลองเปิดฝาออกมาแล้ว เหมือนกับว่ามีความอ่อนแอของมนุษย์เอ่อล้นออกมา
“ให้ตายสิ จดหมายเองก็พยายามอย่างหนักเพื่อเขียนเลยนะ? เพราะฉันไม่ถนัดเรื่องเขียน มันเลยลำบากมากเลย…..แต่ก็ จดหมายมันก็สนุกกว่าที่คิด เพราะงั้นต่อกันอีกครั้งหน้านะ?”
ไอ้จดหมายที่เหมือนของเด็กประถมนั่น ดูเหมือนจะมาจากความสามารถทางภาษาของชิโมสึกิ จะว่าไปเมื่อวาน พูดไว้ว่ามังงะกับนิยายมีประโยคอยู่เลยอ่านไม่ได้สินะ…..หืม? ยัยนี่ หรือว่าค่อนข้างจะโง่อยู่พอตัวเลย???
เพราะหน้าตาดี เลยคิดไปเองว่าหัวน่าจะดีด้วย
บ่อยครั้ง ก็ได้กลิ่นความบ๊องออกมาจากตัวเธอ
“แต่ว่า เก่งมากนะ ที่พูดขอโทษได้อย่างชัดเจน อืม ยกโทษให้ก็ได้ ครั้งหน้าก็แคร์กันมากกว่านี้อีกนะ? เพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่คุยกันเยอะๆไม่ได้นะ? ค่า ถ้าเข้าใจก็ดีแล้วล่ะ การอบรมจบเท่านี้”
แล้วก็ดูเหมือนจะโดนเทศน์อยู่
เข้าใจละ สายตาระหว่างคาบเรียความจริงแล้วคือไอ้นี่นี่เอง คงอยากจะเทศนามาตลอดเลยสินะ…..ชิโมสึกิที่พูดอะไรหลายๆจบแล้ว ทำหน้าผ่อนคลาย
ยัยสาวเงียบคนนั้น อาจจะเป็นคนที่อยากถูกแคร์จนทำเอาลำบากใจก็เป็นได้
แต่ว่า ตรงส่วนนั้นเองก็เป็นสเน่ห์ อย่างน่าแปลกเหมือนกัน…..