สุดท้าย ได้มีผู้หญิง1คนได้หายไปจากฮาเร็ม
เป็นการสละตำแหน่งครั้งแรก ในเลิฟคอมเมดี้ของริวซากิเลยรึป่าวนะ
“…….”
อาสึสะนั่งอยู่ที่นั่งหลังสุดติดหน้าต่าง เธอนั่งอยู่ที่นั่งที่ถูกเรียกว่าเป็นที่นั่งของพระเอก และก็ก้มหน้าลงไปดูเหมือนกำลังท้อแท้
เมื่อกี้เธอได้พยายามตอบกลับคิราริไป คงจะทำให้เหนื่อยล่ะมั้ง
ขอบคุณที่เหนื่อยนะ…..อาสึสะทำได้ดีแล้วล่ะ
ผมคิดแบบนั้นในใจ ถ้าหากเป็นไปได้ ก็อยากจะส่งเสียงบอกเธอไป แต่ว่า ถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวริวซากิจะพุ่งเป้ามาทางนี้อีก
ตั้งแต่เหตุการณ์ตอนเข้าค่าย ถึงหมอนั่นจะไม่เคยพูดกับผมเลย แต่ก็ยังคงระแวดระวังอยู่อย่างเห็นได้ชัด พูดตรงๆผมรู้สึกไม่ดีเลย เพราะถูกจ้องมาขนาดนี้ทำให้รู้สึกได้
ตอนนี้ สิ่งที่อาสึสะไม่อยากเห็นมากที่สุด ก็คงเป็นริวซากินั่นแหละ
เพราะอย่างงั้น ผมจึงทำได้เพียงเฝ้ามองจากที่ไกล
“น่า คิราริ……คุยอะไรกับอาสึสะ?”
“ไม่มีอะไร ไม่ได้เกี่ยวกับริวคุงหรอก”
“อาระระ……อยากจะเล่นกับโคเคชิจังมากกว่านี้อีกแท้ๆน้า”
“อะไรเล่า จะบอกว่าไม่พอใจเรารึไง?”
เอาเถอะ พวกริวซากิก็ค่อนข้างหยาบๆแบบนั้น ด้วย อาสึสะคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ผมคิดแบบนั้น และกลับไปที่นั่งตัวเอง
แต่ว่า พอเห็นอาสึสะดูท้อแท้แล้ว ผมก็เริ่มกังวลอย่างช่วยไม่ได้
ในเวลานั้นเอง
“อก…….! อะ อรุ อรุณ”
ทันใดนั้น ไหล่ของผมก็ถูกจับ พอหันไปก็เห็นคนที่มาจวนเจียเกือบสายพอดี ขิโฮะนั่นเอง
…….บางทีคงเพราะไม่ได้มานานโรงเรียนนาน คงจะกังวลสายตาเพื่อนร่วมห้องละมั้ง เธอที่ทำตัวหน้าสงสัย พูดออกมาไม่เป็นคำ
เป็นยัยบ๊องขี้อายไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ
ทั้งๆที่อยู่บ้านผม ทำตัวได้ใจขนาดนั้นๆแท้ๆ เป็นจุดต่างที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
“มะ ไม่ได้ ตื่น”
ฮุมุฮุมุ เข้าใจแล้ว
‘ไม่ได้นอนตื่นสายนะ สุดยอดเลยใช่มั้ย’
ถ้าลองแปลดู ก็น่าจะประมาณนั้นแหละมั้ง
“…..ตื่นเช้าได้สินะ ชิโฮะเก่งมากเลย”
เพราะดูเหมือนอยากให้ชมพอส่งคำชมให้ เธอก็อารมณ์ดีทันที
“อุฟุฟุ♪”
เธอเอามือไว้ที่ปากและยิ้มออกมาอย่างงดงาม จากนั้นก็นั่งลง
ที่นั่งมุมห้องติดระเบียง ค่อยๆกลายเป็นที่ประจำของเธอไปแล้ว
ดูเหมือนอาจารย์ซุซุกิจะติดใจการทำฉลากเปลี่ยนที่นั่งของชิโฮะ เธอก็ให้ทำมาจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นมา เธอก็ใช้วิธีขี้โกงมาตลอด ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเธอนั่งอยู่ทีเดิม นั่งข้างผมเหมือนเดิม อยู่ห่างจากริวซากิเหมือนเดิม ทุกอย่างล้วนไม่ใช่ดวง แต่เป็นผลจากการโกงของชิโฮะทั้งนั้น
ตรงส่วนที่ยืนกรานมั่นแบบนั้นก็เป็นเสน่ห์ของเธอเหมือนกัน ชิโฮะเนี่ยยังน่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ
“……อะ”
ได้คุยกับผมนิดหน่อย…..ไม่สิ ถึงจะเรียกว่าคุยกันไม่ได้ แต่เพราะได้คอมมิวนิเคชั่นกัน ความอึดอัดของชิโฮะเลยดูจะดีขึ้น พอเป็นข้างหูผมแล้ว เธอก็พูดเป็นคำขึ้นมาทันที
“จะไปทักทายน้องสาวนะ เพราะเป็นโอเน่จังไงล่ะ*
หลังจากพูดและถอนหายใจนิดๆ ชิโฮะก็ลุกขึ้นและไปหาอาสึสะ
“ฟุกิ้ว…”
อะ ล้มล่ะ เธอมองผมพร้อมน้ำตาซึม ไม่นะ ถึงผมจะเห็นแต่ก็ไม่ทำอะไรหรอก ระ หรือว่าต้องทำอะไรซักอย่างหรอ ก่อนอื่นผมส่งแรงเชียร์พยายามเข้าให้เธอ และชิโฮะก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นอีกรอบ จะว่าไงดี เหมือนกำลังเชียร์เด็กให้หัดเดินครั้งแรกเลย
ーชิโฮะเนี่ย พิเศษจริงๆนั่นแหละนะ
พอมองเธอแล้วผมก็คิดแบบนั้นอย่างลึกซึ้ง
ก็เพราะ เมื่อกี้นั้นบรรยากาศซีเรียสแผล่กระจายไปทั่วแท้ๆ แต่พอเธอมาก็นำเอาสายลมแห่งลอยยิ้มเข้ามาด้วย
เหมือนกับท้องฟ้ามืดครึ้มที่อยู่ดีๆก็อยู่ดีๆก็ปลอดโปร่งตอนไหนก็ไม่รู้
ผมรู้สึกได้ถึงแสงอาทิตย์ที่สว่างขึ้นมาจากตัวชิโฮะ
และเหมือนจิตใจที่้ย็นชาของอาสึสะ จะถูกละลายด้วย
“เดี๋ยว อะไร? จู่ๆก็มากระซิบข้างหู……เอ๊ะ? อรุณสวัสดิ์? แค่นั้นหรอ? มะ ไม่ได้หมายความว่าอยากพูดเรื่องอื่นด้วยซักหน่อย……ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าอยากให้โอเน่จังเอาใจซักหน่อย! เอ้ย ชิโมสึกิซังไม่ใช่โอเน่จังหรอกนะ!”
อาสึสะที่ดูซึมเศร้ากลับมาส่งเสียร่าเริงอีกครั้ง
ถึงหน้าจะบอกว่าไม่ชอบ……แต่ท่าทางที่ดูซึมนั้นก็กลับมาร่าเริงได้แล้ว
ผมรู้ดี อาสึสะตอนนี้นั้น เป็นเพราะชิโฮะเธอเลยรู้สึกเหมือนได้ถูกช่วยเหลือเอาไว้
ครั้งนึงผมก็เคยจมดิ่งอยู่ในความโศกเศร้าตลอดเวลา เกลียดตัวเองที่เป็นตัวประกอบ และเอาแต่ดูถูกตัวเองอย่างเดียว
ในตอนนั้น ผมได้ชิโฮะอยู่เคียงข้าง เธอชวนผมคุยมากมาย และแบ่งความร่าเริงมาให้
ถึงมันจะเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน……แต่ผมก็ไม่เคยลืมความรู้สึกตอนนั้นเลย
ชิโฮะทำร้ายความรู้สึกซีเรียสออกไป พอได้คุยกับเธอหัวใจผมก็เริ่มคิดบวกตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
เพราะอย่างงั้น อาสึสะต้องไม่เป็นไรแน่นอน
(ชิโฮะ ขอบคุณนะ)
ผมส่งคำขอบคุณไปให้อยู่ในใจ
ขอบคุณที่ทำให้อาสึสะรู้สึกดีขึ้น ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นเลย
ทำไมเธอถึงได้เป็นคนดีขนาดนี้นะ?
ถ้าเลี้ยงดูด้วยวิธีตรงไปตรงมา ไม่มีทางที่เธอจะเติบโตมาเป็นคนน่ารักแบบนี้ได้หรอก
เสน่ห์ของชิโฮะ มันมาจากที่ไหนกันแน่นะ
เรื่องนั้น ผมก็รู้สึกคาใจ…….