WDS Chapter 110 แฟกซัล
แดนีลรออยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆจากในประตู
เขาสงสัยว่า สหายของเขานอนหลับแล้วหรือไม่ แต่นี่ก็เพิ่งจะเวลา 21.00 น. ในวันนี้ หลังจากที่เหล่าฑูตออกจากห้องบัลลังก์ไป พวกเขาก็ได้ปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับระบบที่เกี่ยวข้องกับการลงโทษคนชั้นสูงกันตลอดทั้งวัน
ด้วยการตัดสินใจของราชาองค์ก่อนเมื่อครั้งที่เกิดการช่วงชิงอำนาจภายในราชอาณาจักร เหล่าคนชั้นสูงเกือบทั้งหมดถูกเรียกตัวกลับมายังพระราชวังและถูกสั่งให้อยู่แต่ในนั้น วันหลังจากเหตุการณ์ต่างๆที่ทำให้แดนีลได้ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งนี้ได้ช่วยเขาในทางอ้อม เพราะเขาเพียงแค่ต้องใช้รูปแบบในการดักจับพวกเขาทั้งหมดเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นแล้ว หลายคนคงจะพยายามหลบหนี หลังจากที่เห็นแดนีลฆ่าริชาร์ด ในความเป็นจริง พ่อค้าและผู้มีอิทธิพลหลายคนในราชอาณาจักรที่มีส่วนร่วมกับเหล่าคนชั้นสูง ได้เริ่มออกไปจากราชอาณาจักรแล้ว
แม้หลายคนจะถูกสะกัดและจับกุมเนื่องจากคำสั่งที่รวดเร็วของเหล่าผู้บัญชาการ แต่ก็ยังคงมีบางคนที่สามารถจะหลบหนีไปได้ ไม่ว่าอย่างไร มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปิดกั้นพื้นที่ทั้งหมดรอบๆเมืองหลวง วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือ ใช้การตรวจจับการเทเลพอร์ตระยะไกล และจัดทีมย่อยเพื่อหยุดความพยายามหลบหนีของพวกเขา คนที่หลบหนีไปได้ คือเหล่าคนที่มีความมั่งคั่งอย่างมาก ที่วางแผนการหลบหนีเอาไว้ล่วงหน้า และมีจอมเวทย์หลายคนรอช่วยเทเลพอร์ตพวกเขาออกไป ทรัพสินย์ของคนเหล่านี้รวมถึงของเหล่าคนชั้นสูง จะถูกยึดมาเป็นส่วนหนึ่งในคลังสมบัติของราชอาณาจักร
หลังจากศาลทำการดำเนินคดีแล้ว แดนีลก็จำเป็นจะต้องทำการตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนเบี้ยชดเชยที่แน่นอน ซึ่งในการประชุมราชสำนักจัดเช่นในครั้งนี้ เขาได้ทำการปรึกษาหารือและตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของราชอาณาจักรร่วมกับเหล่าข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ
โดยรวมแล้ว การเป็นราชาไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย อย่างไรก็ตาม แดนีลก็สามารถจะจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว และมาที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาสามารถจะทำได้ ตอนนี้ ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขารู้สึกเป็นกังวลด้วยเหตุผลบางอย่าง และเขากลัวว่า มันจะสายเกินไปหากเขาชักช้าแม้เพียงเล็กน้อย
แดนีลหวังว่าความรู้สึกของเขาจะไม่ถูกต้อง เขายกมือเตรียมจะเคาะอีกครั้ง แต่หยุดลงเมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตู
แฟกซัลที่เปิดประตูแสดงสีหน้าเฉยชาเช่นเคย เขาพยักหน้าและเดินกลับเข้าไปข้างใน
ขณะที่แดนีลกำลังจะกล่าวทักทาย เขาก็ได้หยุดตัวเองลงและกลืนคำกล่าวนั้นลงคอไป เพราะเขาสังเกตเห็นบางอย่างที่ทำให้เขาหวาดกลัวเล็กน้อยในดวงตาของสหายเขา
ในความเป็นจริง แดนีลไม่สามารถจะบอกได้ว่า ความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไร สิ่งที่ทำให้เขากลัวก็คือ ความรุนแรงของมัน มันทำให้เขาสงสัยว่า มีสาเหตุอะไรที่ทำให้แฟกซัลมีอารมณ์เป็นเช่นนั้น
เขาเดินเข้าไปข้างในอย่างเงียบๆ นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ด้านหน้าเตียงที่แฟกซัลเพิ่งจะนั่งอยู่
หลังจากนั้นชั่วครู่ แดนีลก็อ้าปาก ถามสิ่งที่ทำให้แฟกซัลเป็นเช่นนี้
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถาม แฟกซัลก็ได้ขว้างสิ่งของขนาดเล็กชิ้นหนึ่งไปที่แดนีล ให้เขาหยุดและรับมันไว้
มันเป็นกาดำขนาดเล็กขนาดเท่าครึ่งกำปั้นของเขา คล้ายกับที่เบวิสมอบให้เขาในก่อนหน้านี้ แม้ว่ามันจะมีขนาดเล็ก แต่รายละเอียดการสลักในกระบวนการสร้างมันขึ้นมา ทำใหเขาสังสัยว่า จะต้องใช้ทักษะชนิดใด ถึงจะสามารถหลอมวัตถุที่ดูเหมือนมีชีวิตเช่นนี้ได้
เลือดถูกหยดลงบนกา ทำให้มันเลืองแสงสีแดงและร้อนขึ้น แดนีลจึงต้องนำมันให้ห่างออกไปจากใบหน้าของเขา
แผงหน้าจอขนาด 20 นิ้วปรากฎขึ้นต่อหน้าเขา มันทำให้แดนีลตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่คิดว่า จะได้เป็นสิ่งที่ปรากฎขึ้น
เครื่องประดับเวทมนต์แผงหน้าจอมักจะมีลักษณะบ่งบอกที่แน่นอน ตัวอย่างเช่น แผงหน้าจอที่แดนีลพัฒนาและหลอมขึ้นอย่างระมัดระวังเมื่อ 3 ปีก่อน มันใกล้เคียงกับแผงหน้าจอทั่วๆไป ในตอนนั้น เนื่องจากการต่อสู้เพื่อช่วงชิงบัลลังก์ดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เขาจึงไม่พอที่จะปรังปรุงมันมากนัก และเขาก็ได้มุ่งเน้นไปที่จำนวนมากกว่าคุณภาพ
แต่เครื่องประดับเวทมนต์ชิ้นนี้แตกต่างออกไป ในความเป็นจริง หากเป็นคนอื่นหยิบมันขึ้นมา พวกเขาก็คงจะไม่รู้ว่า มันเป็นเครื่องประดับเวทมนต์ แม้แต่ตัวเขาเอง ในฐานะจอมเวทย์ ก็ไม่สามารถที่จะตรวจพบความผันผวนของอนุภาค ที่ควรจะรู้สึกได้เมื่อทุกคนที่มีหน่อจอมเวทย์ถือเครื่องประดับเวทมนต์เอาไว้ในมือของพวกเขา นี่เป็นสิ่งที่น่าตกใจอย่างแท้จริง เพราะเขาไม่เคยได้ยินเลยว่า มีวิธีที่สามารถจะทำให้ เครื่องประดับเวทมนต์ดูเหมือนกับวัตถุธรรมดา ขณะที่เขาตกตะลึงกับเครื่องประดับเวทมนต์นี้ แดนีลก็ไม่ลืมที่จะมุ่งเน้นไปยังภาพที่ปรากฎขึ้นบนแผงหน้าจอ
ชายร่างใหญ่ที่มีผมยาวสีดำ มองมาที่แดนีลด้วยใบหน้าที่น่ากลัว ผ่านแผงหน้าจอ
รูปลักษณ์ของเขาดูคล้ายกับแฟกซัล โดยมีหน้าผากกว้างและหน้าแคบเหมือนกัน
ตูม!ตูม!ตูม!ตูม!
นั่นเป็นเสียงที่เขาได้ยิน ก่อนที่ชายคนนั้นจะเริ่มกล่าว
“ลูกชายข้า ข้าไม่มีเวลาพอที่จะอธิบาย สิ่งที่เจ้าจำเป็นจะต้องรู้ก็คือ โลหิตแห่งกาดำ ไหลผ่านอยู่ในร่างของเจ้า ข้าไม่สามารถจะช่วยพ่อของข้าจากการถูกตระกูลสาขาที่ต้องการเข้ายึดอำนาจสังหารได้ แต่อย่างน้อย ข้าก็สามารถที่จะรักษาสายเลือดที่แท้จริงสุดท้ายของกาดำเอาไว้ได้ ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากทำให้ร่ายของเจ้าได้รับความเสียหาย เพื่อลดศักยภาพของเจ้า…ผู้ดูแลของเจ้าจะอธิบายส่วนที่เหลือ และมันเป็นทางเลือกของเจ้า ที่จะลืมเกี่ยวกับบรรพบุรุษของเจ้าและใช้ชีวิตตามปกติ หรือหาวิธีเพื่อยึดคืนสิ่งที่สมควรจะเป็นของเจ้ากลับมา หากเจ้าเลือกอย่างหลัง ก็จงจำไว้ว่า มีเพียงสายเลือดที่แท้จริงของกาดำเท่านั้น ที่สามารถจะเชื่อมต่อกับทายาทโดยตรงของสัตว์ร้ายเทพเจ้าได้ จงรู้ไว้ว่า ครอบครัวของเจ้ารักเจ้า และพวกเราก็ยังคงสนับสนุนเจ้าเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินในเช่นใดก็ตาม และแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้แล้วก็ตาม”
ตูม!
“ลาก่อน ลูกชายข้า”
สิ่งสุดท้ายที่แผงหน้าจอแสดงออกมาก็คือ รอยยิ้มโศกเศร้าบนใบหน้าของชายคนนั้น ก่อนที่ภาพจะจางหายไปกลายเป็นว่างเปล่า
แดนีบตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นกล่าว
แม้มันจะเป็นเพียงข้อความสั้นๆ แต่ผลกระทบจากคำกล่าวเหล่านั้น ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของแดนีล
ในช่วงเวลานั้น แดนีลอ้าปากค้าง พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาได้รู้
หากสิ่งที่เขาได้ยินเช่นเรื่องจริง สหายของเขาก็เป็น…ทายาทที่แท้จริงของราชอาณาจักรกาดำ?
แดนีลคิดถึงความเงียบขรึมของแฟกซัล ทั้งๆที่มีหลายครั้งที่บรรยากาศรอบๆเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาสงสัยเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังทัศนคติของแฟกซัล แต่เขาก็ไม่เคยที่จะถาม
ในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าเพราะเหตุใด สหายของเขาจึงมักจะเงียบขรึมอยู่ตลอดเวลา
“10 ปีก่อน ราชาหนุ่มได้ขึ้นครองบัลลังก์ หลังจากที่เขาเอาชนะราชาองค์ก่อน และจัดการสังหารเขาในการต่อสู้ระหว่างพวกเขา ราชาองค์ก่อนมีภรรยา, ลูกชาย และหลานชาย ตามรายงาน พวกเขาถูกสังหารทั้งหมดโดยมือสังหาร เบวิสเป็นหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหารครั้งนั้น”
ในที่สุด แฟกซัลก็เปิดปากและกล่าวออกมา แล้วก็เป็นเช่นเคย น้ำเสียงของเขาปกติทั่วไป ราวกับเขาเพิ่งรายงานเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอะไรกับตัวเขา
อย่างไรก็ตาม แดนีลเข้าใจความรู้สึกของสหายเขาดี และรู้ว่าเขากำลังอดกลั้นอารมณ์ทั้งหมดของตัวเองไว้ในหัวใจของเขา
ในที่สุด แดนีลก็ได้รู้เรื่องราวของแฟกซัล
มันน่าหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
หงุดหงิดจากอ่อนแอเกินกว่าจะสามารถแก้แค้นให้กับครอบครัวของเขาได้
หงุดหงิดที่เขาทำได้เพียงยืนมองชายที่เป็นผู้สนับสนุนการสังหารทั้งครอบครัวของเขากล่าวสิ่งต่างๆตรงหน้า
เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นความหงุดหงิดและความสิ้นหวัง เพราะในสายตาของเขา เขาไร้ประโยชน์และไร้ค่าโดยสมบูรณ์