ตอนที่ 169 องค์ชายสอง
ตอนออกว่าราชการในเช้าวันรุ่งขึ้น จู่ๆ หลานอวี่ก็คุกเข่าลงไปอย่างจริงจัง ให้ฮ่องเต้อุทธรณ์เพื่อแก้ไขความผิดแทนองค์ชายสอง
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะต้องช่วยคืนความยุติธรรมให้องค์ชายสองนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น องค์ชายสองไม่ใช่ว่าพอเกิดมาก็เสียชีวิตไปแต่เด็กแล้วมิใช่หรือ” ฮ่องเต้ไม่เข้าใจ
“หลายวันมานี้หม่อมฉันได้ยินเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นที่พระชายาหลิ่วให้กำเนิดองค์ชายสอง ที่จริงยังไม่สิ้นพระชนม์พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ตาย แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฮ่องเต้มีความตื่นเต้นเล็กน้อย
“ตอนนั้นพระองค์โปรดปรานรักใคร่พระชายาหลิ่ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงกลัวว่าองค์ชายสองจะมีผลคุกคามต่อตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท จึงให้คนใช้วิธีแมวดาวแลกองค์รัชทายาท[1] อุ้มองค์ชายสองออกไป โดยมีศพเด็กแลกกลับมา
อีกทั้งยังให้คนบีบคอองค์ชายสองจนสิ้นพระชนม์ แต่เพราะแม่นมผู้นั้นเห็นองค์ชายสองน่ารักทำให้คนเอ็นดู จึงไม่อาจทำใจลงมือได้ ส่งองค์ชายสองไปยังหน้าประตูจวนตระกูลอวี่
หลายปีมานี้ องค์ชายสองเติบโตขึ้นมาในตระกูลอวี่อย่างปลอดภัย หม่อมฉันเองก็เพิ่งได้ทราบข่าวเมื่อไม่นานมานี้ ขอให้ฮ่องเต้ได้โปรดให้ความยุติธรรมแก่องค์ชายสองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่มั่วพูดอย่างจริงจังเปี่ยมไปด้วยบารมี ทำให้ฮ่องเต้ต้องเชื่ออย่างเลือกไม่ได้ การตายขององค์ชายสองในตอนนั้นทำให้เขารู้สึกละอายใจต่อพระชายาหลิ่ว เรื่องมาถึงตอนนี้ยังสามารถชดเชยได้ ถือว่าดีเป็นอย่างมาก เขาย่อมต้องเชื่อด้วยแท้
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” แต่ฮ่องเต้ยังคงถามรายละเอียดกับหลานอวี่อีกครั้ง
“หม่อมฉันบังเอิญพบหญิงชราที่เป็นขอทานระหว่างทาง จึงนำนางกลับมาที่จวน ดูแลอย่างเอาใจใส่ จากนั้นหญิงชราผู้นั้นก็เล่าเรื่องในตอนนั้นให้ฟังพ่ะย่ะค่ะ
บอกว่าตอนนั้นฮองเฮาเพื่อที่จะฆ่าคนปิดปาก จึงคิดจะบีบคอนางให้ตาย นางพยายามหนีออกมาอย่างสุดชีวิต ถึงได้รักษาชีวิตเอาไว้ได้ หลังจากนั้นก็หลบหนีจนมาถึงที่ดินแห่งนี้ หญิงชราผู้นั้นหม่อมฉันได้พานางมารออยู่ข้างนอก หากฮ่องเต้ไม่เชื่อ ได้โปรดอนุญาตให้หม่อมฉันเรียกนางเข้ามาถามพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา”
หญิงชราผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าลงบนพื้น พูดว่าทรงพระเจริญ ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจนางเท่าไรนัก เพียงแค่ให้นางเล่าเรื่องในตอนนั้นออกมาตามความเป็นจริง
หญิงชราผู้นั้นพูดออกมาเหมือนกับที่หลานอวี่พูดอย่างไม่มีผิดแผก ฮ่องเต้เชื่ออย่างถึงที่สุดแล้ว
“อ้ายชิง[2] เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน” อารมณ์ของฮ่องเต้ร้อนรนเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้ว อยากพบเด็กคนนั้นอย่างกระวีกระวาดร้อนใจ
“องค์ชายสองรออยู่ที่ด้านนอกวังพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบเรียกเข้ามา” เสียงของฮ่องเต้เพิ่งจบลง อวี่มั่วก็เดินเข้ามาจากด้านนอก ที่จริงแล้วได้พบบิดาของตนเองยังรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก แม้คนอื่นจะไม่ได้ประเมินบิดาของตนเองดีเท่าไรนัก
อวี่มั่วใส่ชุดสีขาวปลอด สง่างามดูดีมีระดับ และสะท้อนความเป็นผู้นำออกมาให้เห็นอยู่บ้าง ฮ่องเต้เห็นอวี่มั่วก็ตื่นเต้นจนทนต่อไปไม่ไหว
“ลูก อวี่มั่ว เข้าเฝ้าเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” อวี่มั่วทำความเคารพขนานใหญ่ ทำให้ฮ่องเต้ตื่นเต้นจนลุกเดินลงมาจากด้านบน ประคองอวี่มั่วให้ลุกขึ้น ฮ่องเต้พูดอย่างตื้นตันใจ
“รีบลุกขึ้น เหมือนเสียเหลือเกิน เหมือนพระชายาหลิ่วเหลือเกิน เด็กน้อย หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
“ลูกอกตัญญู หลายปีมานี้ไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเสด็จพ่อ ลูกมีความผิดสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของอวี่มั่วแดงชื้น ทำให้คนมองไม่เห็นอารมณ์อื่น
“กลับมาก็ดีแล้วๆ”
“ยินดีกับฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ยินดีกับองค์ชายสองพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางบุ๊นบู๋ทั้งราชสำนักคุกเข่าลงแสดงความยินดีแก่คนสองคน
“นับแต่วันนี้ไป องค์ชายสองพระนามว่าฉีมั่ว กลับเข้าตระกูลบรรพบุรุษ สิ่งที่สมควรจะมีตั้งแต่เกิดมิอาจขาดไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว ฮองเฮาสกุลชิว ส่งเข้าตำหนักเย็น ลดขั้นเหลือคนธรรมดา”
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ มิอาจกระทำเช่นนี้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ หากฮองเฮาถูกลดขั้นเป็นคนทั่วไป ทางตระกูลเยี่ยไม่มีทางยิมจบเรื่องนี้เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ เพื่อชาวประชาราษฎร ขอให้พระองค์ช่วยตรึกตรองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
มีขุนนางใหญ่ออกมาพูดกล่อมฮ่องเต้ ฮ่องเต้ครุ่นคิดพิจารณา สุดท้ายก็ประกาศกักบริเวณฮองเฮา ซักถามด้วยตัวเขาเอง
หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็พาอวี่มั่วไปยังวังอวี้หลิง พระชายาหลิ่วแสร้งทำท่าไม่รู้จัก
——
[1] แมวดาวแลกองค์รัชทายาท (狸猫换太子) เป็นนิทานพื้นบ้านของประเทศจีน โดยหมายถึงในช่วงรัชสมัยซ่ง มีองค์ชายองค์หนึ่งถือประสูติขึ้น ถูกกุ้ยเฟยในตอนนั้นใช้แมวดาวมาสลับตัวไป
[2] อ้ายชิง (爱卿) แปลตรงตัวว่าขุนนางที่รัก เป็นคำสรรพนามที่ฮ่องเต้ใช้เรียกขุนนางที่โปรดปราน
ตอนที่ 170 ลูกของข้า
หลังจากมาถึงวังอวี้หลิงแล้ว ฮ่องเต้ไม่ได้ให้คนรายงาน เขาพาอวี่มั่วเข้าไปเงียบๆ ก่อนที่จะก้าวผ่านประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงพูดคุยจากภายใน
“เหนียงเหนียงเพคะ เหตุใดพระองค์ถึงทรงพระกันแสงขึ้นมาเล่าเพคะ”
“เฮ้อ เห็นองค์ชายองค์หญิงเหล่านั้นภายในวังหลวง ก็คิดถึงลูกที่มีชีวิตรันทดของข้า เจ้าว่าตอนนั้นเหตุใดลูกข้าถึงได้มีชีวิตที่น่ารันทดเช่นนั้น เพิ่งเกิดมายังไม่ได้เรียกเสด็จแม่สักคำก็จากไปเสียแล้ว”
“หากว่าองค์ชายยังมีพระชนม์ชีพ เกรงว่าคงแต่งพระชายาแล้ว ไม่แน่ว่าพระองค์คงได้อุ้มพระนัดดาแล้วด้วยเพคะ”
“เฮ้อออ” พระชายาหลิ่วถอนหายใจยาง ฮ่องเต้พาอวี่มั่วบุกเข้าไปข้างใน
“หลิงเอ๋อร์ มาดูซิว่าใครมา”
“ฮ่องเต้!” พระชายาหลิ่วรีบเช็ดน้ำตาตรงหางตา
“ฮ่องเต้ทรงพระเจริญ” ฮ่องเต้ไม่สนใจข้ารับใช้ข้างกายพระชายาหลิ่ว ข้ารับใช้ย่อมถอยออกไปเอง
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าดูเร็ว นี่คือลูกของเราใช่หรือไม่ เขายังไม่ตาย”
“นี่เกิดอะไรขึ้นเพคะ” พระชายาหลิ่วตอบออกมาด้วยความตกใจ
ฮ่องเต้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนออกว่าราชการเช้าวันนี้ให้นางฟัง พระชายาหลิ่วมองอวี่มั่วอย่างไม่คิดเชื่อ
“เจ้าเป็นลูกข้าจริงหรือ” พระชายาหลิ่วลูบใบหน้าอวี่มั่วด้วยอาการสั่นสะท้าน
“ลูกเข้าเฝ้าเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ” อวี่มั่วคุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้น ก้มหัวต่ำ น้ำตาคลอ
“ลูก ลูกของข้า แม่คิดถึงเจ้าเหลือหลาย ทำไมเจ้าถึงเพิ่งกลับมา มาให้แม่ดูเจ้าดีๆ เสียหน่อย” พระชายาหลิ่วคุกเข่าลงกอดอวี่มั่วร้องไห้เสียงดัง
“เสด็จแม่ ลูกมาช้าเกินไป” รอจนทั้งสองคนสงบลงแล้ว ฮ่องเต้ พระชายาหลิ่ว และอวี่มั่วจึงนั่งลงอย่างพร้อมหน้า พระชายาหลิ่วถามคำถามอวี่มั่วไม่หยุด อวี่มั่วเองก็ตีสีใส่ไข่ตอบนาง
“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้กับลูกข้า หลายปีมานี้กลับต้องมาเจอกับความลำบากมากมายเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะตอนนั้นแม่ไม่ดีเอง ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้”
“ต้องโทษข้าด้วย หากไม่ใช่เพราะข้าใจกว้างต่อฮองเฮามากเกินไป นางเองคงไม่กล้าทำเรื่องเลวทรามอย่างอาจหาญเหิมเกริมเช่นนี้”
“ฮ่องเต้คิดจะจัดการกับฮองเฮาอย่างไรเพคะ”
“แต่เดิมข้าคิดจะลดชั้นนางเหลือเป็นชาวบ้าน แต่อย่างไรนางก็เป็นคนตระกูลเยี่ย ข้าจัดการกับหัวหน้าแม่ทัพไปแล้ว หากว่าไปยุ่งกับนางอีก ตระกูลเยี่ยจะต้องไม่ยอมให้เรื่องจบเป็นแน่” ฮ่องเต้มีสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ฮ่องเต้เพคะ หรือพระองค์อยากโดนตระกูลเยี่ยควบคุมเช่นนี้อยู่ไปตลอดเพคะ หลายปีมานี้หม่อมฉันเห็นพระองค์วุ่นวายเพราะเรื่องตระกูลเยี่ยอยู่ทุกวัน หม่อมฉันทนเห็นไม่ไหวเพคะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ เหตุใดจึงไม่ฉวยโอกาสนี้จัดการขับไล่คนตระกูลเยี่ยทั้งหมดลงไปเล่าเพคะ เช่นนี้ก็จะไม่ถูกตระกูลเยี่ยควบคุมอีก” อวี่มั่วที่นั่งอยู่อีกฝั่งพูดสมทบ
“ข้าจะเอาไปคิด” พระชายาหลิ่วเห็นฮ่องเต้มีท่าทีเช่นนี้ ก็ส่ายหน้าออกมาด้วยความผิดหวัง ฮ่องเต้ประเภทนี้ ตระกูลเยี่ยช่างเลือกคนเป็นเสียจริง ตอนนี้มีโอกาสอันดี ก็ยังไม่กล้าลงมือง่ายๆ ดูท่าทางคงเหมือนกับที่ท่านประมุขตระกูลพูด คนในวังจินหลวนแห่งราชสำนักจำต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้ว
พระชายาหลิ่วมองฮ่องเต้ แล้วมองอวี่มั่ว ยิ่งรู้สึกได้ว่าอวี่มั่วมีท่าทางเป็นผู้นำมากกว่า แต่ตอนแรกที่ส่งเขาออกไปก็เพื่อที่จะไม่ให้เขาเข้ามายุ่งกับเรื่องในราชสำนัก ตอนนี้เมื่อดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องหรือไม่
เวลากลางวันได้คุยกับเทียนซีไปแล้ว เด็กคนนั้นเข้าใจเรื่องราว และสนับสนุนอวี่มั่วเป็นอย่างมาก เป็นเด็กที่ดีจริง หากไม่ใช่เพศชายก็คงจะสมบูรณ์มากกว่านี้ ตอนนี้มาพูดเรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ดูท่าทางคงจะไม่ได้อุ้มหลานแล้ว
“หลิงเอ๋อร์ เหนื่อยมาแล้วทั้งวัน มั่วเอ๋อร์เองก็เหนื่อย ให้เขาไปพักก่อนดีกว่า” ฮ่องเต้เอ่ยปาก
“ฮ่องเต้ตรัสถูกต้องแล้วเพคะ ฮ่องเต้เองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว หม่อมฉันปรนนิบัติพระองค์พักผ่อนก็แล้วกันเพคะ”
“ลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากรอจนอวี่มั่วจากไป หลานเยี่ยที่อยู่ชั้นใต้วังอวี้หลิงก็เริ่มลงมือ