ตอนที่ 161 พระชายาหลิ่ว
ยี่สิบปีก่อนนี้พระชายาหลิ่วยังคงเป็นคนตระกูลหลานนามว่า หลานหลิง ผ่านมาให้หลังเสนอนางตัวขอเป็นเส้นสายภายในราชสำนัก นับตั้งแต่นั้นมาตระกูลหลานก็ขาดคนชื่อหลานหลิงไปหนึ่งคน ในราชสำนักมีพระชายาผู้หนึ่งนามว่าหลิ่วหลิงเอ๋อร์เพิ่มขึ้นมา
ผู้ที่ไปเป็นเส้นสายภายในราชสำนักพร้อมกันยังมีบุรุษผู้หนึ่งนามว่า หลานอวี่ เขาไม่ได้เปลี่ยนชื่อ เพราะไม่ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เคยทิ้งร่องรอยของตนเองเอาไว้ และไม่เคยเปิดเผย อีกทั้งไม่ใช่แค่คนตระกูลหลานเท่านั้นที่จะใช้สกุลหลาน
เขาอาศัยอำนาจตระกูลหลาน และเส้นสายภายในราชสำนักก่อนนี้ปีนป่ายไปถึงตำแหน่งผู้ปรึกษาแคว้นได้โดยสำเร็จราบรื่น เขาและพระชายาหลิ่วช่วยเหลือตอบสนองตอบรับทั้งภายนอกและภายใน หลานหลิงเองก็ปีนมาถึงตำแหน่งพระชายาหลิ่วได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
ผ่านไปหนึ่งปีพระชายาหลิ่วตั้งครรภ์ ให้กำเนิดทารกชายผู้หนึ่ง พระชายาหลิ่วไม่อาจทนเห็นเขากลายเป็นเครื่องสังเวยของราชวงศ์ จึงส่งเขาออกไปข้างนอก มอบให้กับตระกูลอวี่ที่อยู่ในเมืองหลวง ตั้งชื่อว่าอวี่มั่ว บอกกล่าวกับราชสำนักว่าเด็กเสียชีวิตแต่เยาว์วัย หลังจากนั้นด้วยการสนับสนุนของพระชายาหลิ่ว ตระกูลอวี่ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตระกูลค้าขายที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง
หลานเฟิงพูดถึงตรงนี้ หลานเยี่ยกลับนิ่งอึ้งไป บิดาในความทรงจำปลอมของตนก็คือหลานอวี่ แท้จริงแล้วที่มู่หลีจัดการให้ตนเองไปอยู่จวนผู้ปรึกษาแคว้นเป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง แต่ทำไมหลานอวี่ที่ตนเองเห็นนั้นถึงมีทีท่าจงรักภักดีต่อราชสำนัก หรือว่าปิดบังต่อหน้าตนเอง
ไม่ ตนไม่เคยพบหลานอวี่มาก่อน ความทรงจำทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโกหก นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้เติมเต็มความทรงจำของตนเองก็เท่านั้น ความทรงจำของตนน่าจะเริ่มจากจิ่วหลิว
ระหว่างช่วงที่อวี่มั่วเติบโตขึ้นมานั้นก็พอจะเริ่มรู้สถานะของตนเอง พระชายาหลิ่วเองก็ไปพบเขาบ่อยครั้ง แม้จะรู้สึกโกรธบางเล็กน้อยที่พระชายาหลิ่วส่งตัวเองออกไป แต่เพราะหลังจากนั้นก็เข้าใจถึงความหวังดีที่แอบแฝงไว้ของพระชายาหลิ่ว
ด้วยเวลาที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ พระชายาหลิ่วเองก็ไม่เยาว์วัยอีกต่อไป พระชายาที่เข้ามาใหม่เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่พระชายาหลิ่วอาศัยวิธีของตนเอง ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่อาจล้มในวังหลังได้ตลอดไป
เพราะฮองเฮาของราชวงศ์ล้วนเป็นคนตระกูลเยี่ย ดังนั้นพระชายาหลิ่วจึงไม่อาจได้รับตราประทับพญาหงส์มาโดยตลอด แต่นางกลับให้ฮ่องเต้แย่งสิทธิ์อำนาจของฮองเฮามาแล้วมอบให้กับนาง
ฮ่องเต้ในปัจจุบันเป็นคนที่เลอะเลือนและบื้อใบ้ ฮ่องเต้ที่เป็นเช่นนี้สามารถยึดกุมได้ดีที่สุด ดังนั้นทุกครั้งที่คนตระกูลเยี่ยคัดเลือกคนล้วนเลือกคนประเภทนี้ขึ้นมาครองตำแหน่งต่อทั้งสิ้น
วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขเช่นนี้ นอกจากการแก่งแย่งชิงดีในวังหลังแล้วก็คืออวี่มั่ว หลังจากนั้นมาอวี่มั่วก็ได้พบกับเทียนซี ทั้งสองคนประสบพบเรื่องราวมามากมาย เพราะตระกูลเทียนเป็นคนเก่าแก่ของราชสำนัก มีความสัมพันธ์เชิงศัตรูกับตระกูลหลาน ตอนแรกพระชายาหลิ่วไม่เห็นด้วย อีกทั้งทางครอบครัวของเทียนซีเองก็ไม่เห็นด้วยกับการที่เทียนซีหาผู้ชายมา เพราะตระกูลเทียนมีเพียงเทียนซีเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทั้งสองคนฝ่าฟันความลำบากมากมายถึงได้อยู่ด้วยกัน เทียนซีไม่ได้กลับไปตระกูลเทียนอีก พระชายาหลิ่วเองก็ยอมรับ อวี่มั่วเปิดหอต้วนอวิ๋นที่เมืองหลวง เพราะประสบการณ์ความสัมพันธ์ของตน ดังนั้นเขาจึงคิดอยากช่วยเหลือคนให้มากขึ้น
วันเวลาที่สงบสุขถูกทำลายลงด้วยคำสั่งของมู่หลี พระชายาหลิ่วเคยได้ติดต่อกับเชียนจื๋อซือคนใหม่นี้มานานแล้ว สำหรับการเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันของมู่หลีกับรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่เล็กน้อย
มู่หลีถ่ายทอดความหมายของหลานเยี่ยให้นางทราบ หลังจากที่นางนิ่งสงบอยู่สิบกว่าปีก็เริ่มลงมืออีกครั้ง กาลเวลาแย่งชิงรูปลักษณ์ไปจากนาง แต่ไม่ละทิ้งนาง มอบลูกคนหนึ่งให้กับนาง
ในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ดีที่สุดของนางล้วนมอบให้กับตระกูลหลาน แต่นางก็ไม่เคยเกิดความเสียดายหรือตัดไม่ขาดใดๆ เลยแม้แต่น้อย หรือแม้แต่เสียใจภายหลัง เพราะช่วงเวลาที่ดีที่สุด คนที่รักที่สุดได้ไปอยู่ในโลกอีกใบแล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีคนที่นางรำลึกถึงอีกต่อไป
ตอนที่ 162 สถานการณ์
ราชสำนักในปัจจุบันแบ่งออกเป็นสองส่วน ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนองค์ชายรัชทายาท อีกฝ่ายสนับสนุนองค์ชายเก้า องค์ชายเก้าฉีจิ่งมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอันดีกับหัวหน้าทัพฝ่ายกำลังทหาร นามหลิวฉี หัวหน้าทัพฝ่ายกำลังทหารถืออำนาจทหารอยู่ในมือ มีกำลังคุกคามต่อองค์ชายรัชทายาทอย่างมาก
แต่ฉีเย่ว์กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ว่า ราชสำนักอย่างไรก็เป็นของคนอื่น ดังนั้นเวลาที่เขาอยู่ในราชสำนักจึงไม่ได้นานมากนัก เวลาส่วนใหญ่มักจะอยู่ข้างนอก
วันนี้ก็ออกว่าราชการเหมือนกับทุกวัน แต่กลับเกิดเรื่องที่ไม่เหมือนเดิมขึ้น
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรัชทายาทเป็นถึงผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งราชสำนัก แต่วันๆ ไม่ออกว่าราชการ ไม่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ทุกวันล้วนไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ช่างไม่เหมาะเป็นอย่างยิ่ง” หลิวฉีส่งฎีการ้องเรียนฉีเย่ว์ฉบับนหนึ่งในเวลาออกราชการ
“ข้าเองก็ไม่ได้พบองค์ชายรัชทายาทมาหลายวันแล้ว ไม่เหมาะสมจริงด้วย” ฮ่องเต้ทรงตรัส
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้องค์ชายรัชทายาทไม่เพียงเข้าใจวิชาการเป็นผู้นำจนคล่องแคล่ว อีกทั้งยังชำนาญวิชาการแพทย์ ช่วยเหลือประชาชนราษฎรที่อยู่ในความทรมานและลำบาก ช่วงเวลาหลายวันก่อนนี้ในเมืองหลวงเกิดโรคระบาด องค์ชายรัชทายาทขยันมุมานะ ศึกษาเทียบยาทั้งวันพ่ะย่ะค่ะ ปัจจุบันนี้โรคระบาดลดไปแล้ว องค์ชายรัชทายาทกลับเหนื่อยจนล้มลง ทั้งรักและเป็นห่วงประชาชนราษฎรเช่นนี้ ต่อให้พักผ่อนหลายวันเสียหน่อยก็ไม่มากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ท่านหัวหน้าแม่ทัพพูดถึงองค์ชายรัชทายาทเช่นนี้ หรือคิดจะแอบแผนชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ” ที่ปรึกษาแคว้นอวี่มั่วเอ่ยปากพูดโต้หลิวฉี
“การเป็นองค์ชายรัชทายาท ก็ควรจะทำหน้าที่ให้สมกับตำแหน่งที่เป็น ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร น่าจะรู้จักแบ่งแยกหนักเบา”
“เช่นนั้นขอถามท่านหัวหน้าแม่ทัพ มีเรื่องใดที่องค์ชายรัชทายาททำไม่ดีอย่างนั้นหรือ”
อวี่มั่วและหลิวฉีเปิดโต้วาทีขึ้นมาในโถงราชวัง
“ทิศเหนือของเมืองหลวงเกิดอุทกภัย แต่เดิมองค์ชายรัชทายาทควรออกหน้าไปจัดการด้วยตนเอง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาองค์ชายรัชทายาท เหมาะสมเสียที่ไหน”
“เกรงว่าท่านหัวหน้าแม่ทัพคงลืมไปแล้วกระมัง ตอนที่ทิศเหนือของเมืองหลวงอุทกภัย องค์ชายรัชทายาทเกิดประชวรหนัก นอนพักอยู่บนเตียง หรือท่านหัวหน้าแม่ทัพอยากให้องค์ชายรัชทายาทที่เป็นเช่นนี้ไปจัดการอุทกภัย มีความตั้งใจแอบแฝงเช่นไรกัน อีกทั้งอุทกภัยในเมืองหลวงองค์ชายเก้าเองก็ขออาสาจัดการ แต่กลับเกิดเหตุหักเก็บเงินทองบรรเทาภัยพิบัติ จนทำให้ราษฎรจำนวนมากตาย นี่ควรจะคิดเช่นไรดีหรือ”
“เจ้า…”
“ท่านหัวหน้าแม่ทัพวันนี้พูดกล่าวว่าองค์ชายรัชทายาทหลายครั้ง ไม่ใช่เพราะคิดจะเปลี่ยนแปลงผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งราชสำนักหรือ”
“ท่านที่ปรึกษาอย่าพูดคำบ้าคลั่งออกมา สิ่งที่ข้าทำทั้งหมดก็เพราะฮ่องเต้ เพราะราชสำนัก จะมีจิตใจเป็นอื่นได้อย่างไร”
“มีความคิดเช่นนี้หรือไม่ใจของเจ้ารู้ดี เมื่อวานซืนมีคนเห็นท่านหัวหน้าแม่ทัพแอบลอบพบองค์ชายเก้า เห็นพูดว่าจะส่งหนังสือฎีการ้องเรียนองค์ชายรัชทายาทเล่มหนึ่ง ให้ฮ่องเต้ปลดองค์ชายรัชทายาท เจ้ายังพูดว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก”
“เจ้าส่งคนติดตามข้า” หลิวฉีพูดจาโจมตีหลานอวี่ด้วยความร้อนรน
“สิ่งที่ข้าทำทั้งหมดล้วนเพื่อฮ่องเต้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนของข้าเห็นภาพเช่นนี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าจะหลอกลวงฮ่องเต้เช่นไร” หลานอวี่อย่างเต็มไปด้วยความชอบธรรม หันไปทางฮ่องเต้พูดด้วยความเคารพนบนอบ
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ท่านหัวหน้าทัพฝ่ายกำลังทหารหลิวฉีมีความคิดต่อต้าน สมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายเก้า คิดจะให้พระองค์ปลดองค์ชายรัชทายาท แต่งตั้งองค์ชายเก้าเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งราชสำนักใหม่ วันนี้เขาสามารถปลดองค์ชายรัชทายาทได้ วันพรุ่งนี้ก็สามารถก่อกบฏได้ ฮ่องเต้ได้โปรดพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลานอวี่คุกเข่าอยู่บนพื้น คิดพิจารณาเพื่อฮ่องเต้อย่างเคารพ
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่ได้คิดเช่นนั้น ล้วนเป็นหลานอวี่พูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ” หลิวฉีตกใจจนรีบคุกเข่าลง ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยปากถ่ายทอดราชโองการ
“หัวหน้าทัพฝ่ายกำลังทหารหลิวฉี วางแผนกระทำมิดีมิร้าย ถอดถอนออกจากตำแหน่งปัจจุบัน เก็บอำนาจทหาร มอบให้ที่ปรึกษาแห่งแคว้นดูแล องค์ชายเก้าฉีจิ่งมีเจตนาร้ายแอบแฝง กักบริเวณหนึ่งเดือน ไม่อนุญาตให้ออกจากจวน เลิกราชการ”
“ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” หลิวฉีพยายามพูดอธิบายเพื่อตนเอง หลานอวี่มองดูอยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา
“หลานอวี่ จะต้องมีสักวัน ข้าจะต้องทำให้เจ้าตายอย่างไร้แผ่นดินกลบหน้า”
หลานอวี่ไม่สนใจเขา เดินตรงออกไป