คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 156 ตาย

หลังจินเฟยเหยาออกจากเมืองวั่นเซียนสุ่ย ไม่มีสถานที่ที่อยากไป โลกระดับวิญญาณกว้างใหญ่ คาดว่ามีพืชและสัตว์ปิศาจที่ไม่เคยพบเห็นจำนวนไม่น้อย นางจึงวางแผนออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ไปทั่ว

ถึงอย่างไรตนเองก็ไม่มีเรื่องอะไรจะทำ เร่งรีบทั้งวันก็ไม่มีความหมาย ไยไม่ออกท่องเที่ยวให้ทั่วสักรอบ แล้วจดบันทึกสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินตลอดการเดินทางลงไป เขียนบันทึกท่องเที่ยวของตนเองสักเล่ม

ไม่รู้ว่าเรื่องของจอมมารจะทำให้คนเหล่านี้ค้นหาตนเองนานเพียงใด จินเฟยเหยาจึงตัดสินใจหาที่ซ่อนตัวสักระยะหนึ่ง

สุดท้ายนางก็หาถ้ำธรรมชาติที่มีปราณวิญญาณเบาบางแต่กลับงดงามเป็นพิเศษแห่งหนึ่งในภูเขาที่สูงใหญ่ ถ้ำมีขนาดไม่ใหญ่นัก ทางเข้าอยู่บนหน้าผาสูงชัน รอบด้านไม่มีเส้นทางสัญจร สามารถป้องกันคนธรรมดาบุกรุกเข้ามาได้

ภายในถ้ำมีป่าหินประหลาดตั้งอยู่มากมาย ภูมิประเทศไม่ราบเรียบ ทว่ามีพื้นที่โล่งจำนวนไม่น้อย จินเฟยเหยาจึงแต่งเติมอีกนิดหน่อย ใช้ของวิเศษตัดบนพื้นเอียงเป็นบันไดศิลา ใช้หินประหลาดที่ตั้งอยู่มากมายในถ้ำตัดเป็นสิ่งของจำพวกโต๊ะ เตียง และเก้าอี้ศิลาบนพื้นที่โล่ง

ภายในถ้ำมีสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่ง มีรอยแตกหินขนาดใหญ่ ตรงส่วนที่กว้างที่สุดกว้างสี่ฉื่อกว่า ตรงส่วนที่แคบที่สุดกว้างไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ แสงอาทิตย์ยามกลางวันสามารถสาดส่องผ่านพุ่มพฤกษ์บนยอดเขาลงมา ทำให้ภายในถ้ำอบอุ่นและคนไม่รู้สึกชื้นแฉะ

ในถ้ำยังมีสถานที่มากมายที่มีน้ำใต้ดินผุดออกมา ไม่ต้องไปค้นหาแหล่งน้ำอีก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่พักอาศัยที่ดีแห่งหนึ่ง

ห่างจากที่นี่หนึ่งชั่วยามกว่า มีเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรหนึ่งถึงสองหมื่นคน ถ้าจะซื้อสิ่งของพวกเกลือน้ำมันซีอิ๊วน้ำส้มก็สะดวกสบาย ในเมืองไม่มีผู้บำเพ็ญเซียน มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนสองคน ช่วยตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนดูแลการค้าในเมือง ไม่มีแรงคุกคามต่อจินเฟยเหยา

“ต้านิว ค่ำวันนี้พวกเรากินกระต่ายตุ๋นเห็ดกันเถอะ” จินเฟยเหยานั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ ลืมตาพลางเอ่ยอย่างช้าๆ

หลังสิ้นเสียงนาง ตรงปากถ้ำมีเสียงไม้กระทบก้อนหิน ลิงไม้สองตัววิ่งเข้ามา ในมือของลิงไม้ตัวหนึ่งหิ้วกระต่ายสีเทาตัวใหญ่ ส่วนลิงไม้อีกตัวหนึ่งแบกถุงผ้าใส่เห็ดเข้ามา

พวกมันสูงแค่เข่าของจินเฟยเหยา ทว่ามือไม้คล่องแคล่ว ด้านหลังยังมีหางซึ่งทำจากเอ็นสัตว์เส้นหนึ่ง เคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงกับลิงจริงๆ เพียงแต่พวกมันหาหมัดไม่เป็นและไม่มีก้นสีแดง

ลิงไม้วิ่งมาหยุดลงข้างจินเฟยเหยา ส่งมอบสิ่งของในมือให้ต้านิว จากนั้นก็นิ่งไม่ขยับเขยื้อน

จินเฟยเหยาถอนหายใจเบาๆ “การรับรู้ของข้าย่ำแย่เกินไป ได้แต่ควบคุมลิงสองตัวให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว คิดจะควบคุมตัวที่สาม ความเคลื่อนไหวกลับไม่ว่องไว หุ่นเชิดเหล่านี้ใช้อย่างไรกันแน่นะ เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนไม่ถูกต้อง”

เก็บลิงไม้สองตัวใส่ถุงเฉียนคุน จินเฟยเหยาเดินมาหน้าโต๊ะศิลา ขยับไม้วิญญาณบนโต๊ะ

ในช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว นางครุ่นคิดเรื่องหุ่นเชิดเหล่านี้มาตลอด เวทหุ่นเชิดของพานหยวนเป็นเพียงแค่ขั้นเบื้องต้น อีกทั้งวิธีใช้ก็ไม่เหมือนกับที่จินเฟยเหยาใช้

ผู้อื่นใช้การรับรู้ทำให้หุ่นเชิดขยับ จากนั้นให้ทำเรื่องง่ายๆ และตายตัว เช่นมีคนก้าวเข้ามาในเขตพื้นที่ หุ่นเชิดก็จะโจมตีผู้บุกรุก ทว่าขอเพียงคนเหล่านั้นจากไปหรือหนีออกนอกพื้นที่ หุ่นเชิดก็จะไม่โจมตีอีก

ส่วนจินเฟยเหยากลับนึกว่าหุ่นเชิดทำได้เหมือนร่างแยก ใช้การรับรู้ควบคุมความเคลื่อนไหว จากนั้นตอนพบศัตรู นางสามารถนำหุ่นเชิดที่ใช้วัสดุอย่างดีหลอมสร้างหลายตัวหรือหลายสิบตัวโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ นางคิดเพ้อฝันนัก คิดจะใช้หุ่นเชิดเป็นผู้ช่วยแทนคนที่มีชีวิต หุ่นเชิดเหล่านี้ไม่ต้องดื่มกินและเชื่อฟังคำสั่งโดยสมบูรณ์ ดีกว่าเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่ทั้งกินทั้งถ่ายและไม่เชื่อฟังมากนัก

นางฝึกฝนอยู่นาน ในที่สุดก็ควบคุมลิงไม้สองตัวล่าสัตว์ป่าธรรมดาบนภูเขาทั้งยังแบ่งจิตออกมาหาผักผลไม้ป่าในภูเขาได้

สิ่งเหล่านี้ในตำราเดิมทีเป็นเพียงลิงไม้ที่ใช้สำหรับเล่นสนุก ถูกนางติดตั้งเล็บสัตว์จำพวกแมวที่นางเคยหลอมสร้างบนขาทั้งสี่ข้าง สัตว์ป่าบนภูเขาเหล่านี้โดนตบไม่กี่ทีก็ถูกลิงไม้ฆ่าตาย พวกมันท่องไปในป่าทั้งวันแทนนาง

บอกว่าแทน ที่จริงยังต้องพึ่งพาการรับรู้ของจินเฟยเหยามาควบคุม ลิงไม้สองตัวออกไปทำกิจกรรมคนละอย่าง นางอยู่ในถ้ำก็ทำอย่างอื่นไม่ได้ ได้แต่นั่งขัดสมาธิรวมจิตใจ คำนวณดูแล้ว ยังสิ้นเปลืองพลังมากกว่านางออกไปเองอีก

จินเฟยเหยาเพียงเห็นเป็นของเล่น ต้องควบคุมลิงไม้ออกไปเดินวน แล้วแวะนำสิ่งของบางอย่างกลับมา มีหลายครั้ง นางยังเคยทดลองใส่การรับรู้บนร่างงูไม้ แล้วชอนไชเข้าไปในรูขนาดเท่ากำปั้น จับหนูออกมาฝูงหนึ่ง

หุ่นเชิดที่แตกต่างกันให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันแก่นาง ที่นางกำลังทำอยู่ในมือตอนนี้คือหุ่นเชิดที่บินได้ เหยียบอาวุธเวทเหาะบนฟ้าทุกวัน ถ้ากลายร่างเป็นนกน่าจะรู้สึกแตกต่างออกไป

จินเฟยเหยาเล่นไม้บนโต๊ะศิลาไปพลางเอ่ยกับเนี่ยนซีที่เอนพิงบนเตียงไม่ไกลนัก “ข้าว่านะเนี่ยนซี เจ้ายิ่งเกียจคร้านขึ้นทุกที ขนาดกินข้าวยังคร้านจะเดินมา ต้องการให้ข้าทำโต๊ะเล็กๆ เดินได้แบบใส่ศิลาวิญญาณก็ทำงานได้ ใช้ส่งอาหารให้เจ้าโดยเฉพาะหรือไม่?”

นางกลับล้อเลียนอยู่ด้านข้าง ทว่าเนี่ยนซียังคงนั่งพิงบนเตียงราวกับรอบด้านไม่มีใครดังเดิม จินเฟยเหยารู้ พูดกับนางไปก็เปลืองแรงเปล่า เชาวน์ปัญญาต่ำ

“หวาซี!”

ทันใดนั้นเนี่ยนซีพลันกระโดดขึ้น ร้องเรียกเสียงดัง

เสียงของนางทำให้จินเฟยเหยาตกใจ ยืนขึ้นรีบมองไปรอบด้าน “อยู่ที่ไหน! เหตุใดเขาเข้ามาข้าจึงไม่รู้?”

จากนั้นภายในถ้ำหนึ่งคนสองกบก็จ้องตากัน ไม่พบเห็นคนอื่นและไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่าสายตาของเนี่ยนซีมองไปข้างหน้า ปากตะโกนเรียกชื่อของหวาซีไม่หยุด ยื่นมือไปเบื้องหน้าราวกับจะหาอะไรสักอย่าง

“เจ้าทำอะไรน่ะ? คิดจะทำให้คนตกใจหรือ!” การกระทำของเนี่ยนซีแปลกประหลาดเกินไป นางไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน ทำให้จินเฟยเหยามองนางอย่างงุนงง

เนี่ยนซีเดินไปข้างหน้าหลายก้าว ขาสั่นเทาล้มลงบนพื้น ทว่านางยังยื่นมือออกมา พยายามเรียกชื่อหวาซีอย่างสุดชีวิต นางคลานอยู่บนพื้นพลางร้องตะโกน ทำให้คนเกิดลางอัปมงคล

“รีบลุกขึ้นมา อย่าคลาน ตรงนั้นไม่มีใคร” จินเฟยเหยาได้สติคืนมา รีบพุ่งไปหาคิดจะพยุงนางขึ้น

ทว่าร่างกายของเนี่ยนซีหนักอึ้ง ยื่นมือออกมาและเบิกตามองไปยังสถานที่แห่งหนึ่งไม่หยุด ทำให้จินเฟยเหยาอดสงสัยไม่ได้ ราวกับหวาซีอยู่ในถ้ำจริงๆ

นางเกิดความระแวดระวัง ไฟนรกลุกไหม้ขึ้นตามทิศทางที่เนี่ยนซีชี้ กลับไม่พบว่ามีคน จินเฟยเหยาไม่ถอดใจ ให้ไฟนรกลุกไหม้ขึ้นรอบด้าน ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ

“หรือว่านี่คือคะนึงหาหลายปีจนปัญญาอ่อน ในที่สุดก็เป็นบ้า?” เห็นเนี่ยนซีในอ้อมกอดพยายามดิ้นรนจะไปฉุดดึงอะไรบางอย่างแบบสุดชีวิต จินเฟยเหยาอดคาดเดาไม่ได้

ในยามนี้เอง ร่างของเนี่ยนซีพลันอ่อนยวบ หยุดการดิ้นรน นางมีน้ำตาคลอหน่วย คว้าเสื้อผ้าจินเฟยเหยาแน่น ตะโกนเรียกชื่อหวาซีไม่หยุด เสียงค่อยๆ เบาลงทุกที สุดท้ายแทบไม่ได้ยิน

ในขณะที่จินเฟยเหยานึกว่านางสงบลง และหยุดบ้าคลั่ง

ดวงตาของเนี่ยนซีก็ปิดลง คลายมือ และสิ้นลมไป

จินเฟยเหยานั่งอยู่บนพื้นอย่างเหม่อลอย ในอ้อมอกยังกอดร่างของเนี่ยนซีที่ยังอบอุ่น ครู่ต่อมา นางจึงพึมพำ “ตายแล้ว?”

“ไม่จริงน่า ตายไปแบบนี้?” จินเฟยเหยามองใบหน้าอันงดงามเป็นเอกของเนี่ยนซี แล้วยื่นมือไปตบแก้มนางเบาๆ

ไม่ต้องตรวจดูลมหายใจ ฟังเสียงหัวใจเต้น อาศัยเพียงประสบการณ์สังหารคนมานานหลายปีของนาง จินเฟยเหยามั่นใจอย่างยิ่ง เนี่ยนซีที่ติดตามนางกินเปล่าดื่มเปล่ามาห้าสิบปีตายไปแบบนี้เอง

จินเฟยเหยาวางศพของเนี่ยนซีลง มองพั่งจื่อและต้านิวที่ยังมองเหม่ออยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกัน หลังจากครุ่นคิดก็เอ่ยกับพวกมันว่า “หลายวันนี้ทุกคนกินอาหารแบบเดียวกัน ไม่น่าจะโดนพิษเพราะกินเห็ดพิษ คำนวณดูนางอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว แปดส่วนคือแก่ตาย มิน่าเล่าหลายวันมานี้จึงเห็นนางเกียจคร้าน ที่แท้ใกล้จะตายแล้ว”

“พูดอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อครู่เป็นภาพหลอนก่อนตาย เห็นหวาซีที่อยากพบมาตลอด? จริงๆ เลย ตายก็ยังไม่บรรลุความปรารถนา” จินเฟยเหยายืนอยู่ในถ้ำ ลูบศีรษะอย่างลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี นี่คือต้องจัดงานศพสินะ หรือใช้ไฟเผาขจัดปัญหา คิดจะหาคนมาปรึกษาด้วย ทว่ามองกบสองตัวทางด้านข้าง ไม่มีทางปรึกษาได้แน่

จินเฟยเหยาตั้งใจคิดจะบีบน้ำตาออกมานิดหน่อย แต่กลับพบว่าตนเองไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจสักนิด ครุ่นคิด นอกจากกินด้วยกันอยู่ด้วยกันแล้ว เนี่ยนซีก็ราวกับเมฆที่ล่องลอย ไม่เคยพูดอะไรกับพวกนาง ลำบากใจจริงๆ

“เฮ้อ…” จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว ดีดนิ้วเบาๆ ไฟนรกดวงหนึ่งผุดขึ้นมาจากใต้ร่างเนี่ยนซีและเริ่มลุกไหม้

จินเฟยเหยามองเนี่ยนซีถูกไฟนรกกลืนกินพลางเอ่ย “ถือว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันห้าสิบปี ข้าจะเหลือเถ้ากระดูกให้เจ้า ความปรารถนาของเจ้า ข้าจะช่วยทำให้ลุล่วง เรื่องนี้ข้าน่าจะตามหาหวาซี นี่เรียกว่าอะไรนะ ทิ้งไว้ห้าสิบปีโดยไม่สนใจ”

จากนั้น นางค้นในถุงเฉียนคุนได้ขวดหยกลายดอกไม้สีสันสดใส เก็บไฟนรกกลับคืน บนพื้นเหลือเพียงเถ้ากระดูกของเนี่ยนซี จินเฟยเหยาเก็บเถ้ากระดูกทั้งหมดลงในขวดหยก และใส่ขวดหยกไว้ในถุงเฉียนคุน จากนั้นเอ่ยกับพั่งจื่อและต้านิวที่มองนางเผาศพตลอดเวลา “ถ้าพวกเจ้าสองคนอยากจะร้องไห้ ก็ร้องสักหน่อยเถอะ ร้องไห้พอแล้วก็เก็บของ พรุ่งนี้พวกเราจะไปคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ถ้าหาเจ้าสารเลวนั่นไม่พบ ก็ไปหาตระกูลของพวกเขาคุยเรื่องฝากเลี้ยง”

พั่งจื่อฟังคำพูดของจินเฟยเหยา หลังกระพริบตาก็หมุนตัวเดินไปหน้าโต๊ะกินข้าว ตะโกนใส่ต้านิวที่ยังเหม่อลอย “อ๊บ”

ต้านิวโดนเรียก ก็พุ่งไปหน้าเตาทันที ยกกระต่ายตุ๋นเห็ดขึ้นโต๊ะ จากนั้นยืนอยู่ด้านข้างมองพั่งจื่อกินเนื้อกระต่ายคำโตๆ อย่างพึงพอใจ

จินเฟยเหยามองพวกมันสองตัวแล้วอดด่าทอไม่ได้ “เจ้าพวกไร้หัวใจ ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว โดยเฉพาะเจ้า ต้านิว เจ้าอยู่กับเนี่ยนซีตลอด ตอนนี้นางตายแล้ว คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าสองตัวยังมีอารมณ์กินอาหาร ข้าเดาการกระทำของพวกเจ้าสองตัวหลังจากข้าตายได้เลย ต้องไม่สนใจข้าแน่นอน เลี้ยงเสียเปล่าจริงๆ”

นางด่าของนาง พั่งจื่อยังกินกระต่ายตุ๋นเห็ดดังเดิม ส่วนต้านิวมีปฏิกิริยา แต่มันแค่มองนางด้วยใบหน้าโง่งมอย่างไม่เข้าใจ “ถุย! ข้านี่โง่จริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะพูดเรื่องมนุษยธรรมกับกบสองตัว เกรงว่าข้าจะบ้าไปแล้ว” จินเฟยเหยาส่งเสียงถุยอย่างแรงแล้วไปนั่งหน้าโต๊ะกินข้าว

……………………………………….

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset