คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 157 เนี่ยนซีคนนี้มิใช่เนี่ยนซี

“คฤหาสน์กุ่ยเม่ย…อยู่ที่ไหนนะ? เหตุใดจึงมีเพียงแผนที่เมืองที่จัดทำอย่างละเอียด ส่วนแผนที่โลก ไม่ว่าจะเป็นโลกระดับดินหรือโลกระดับวิญญาณ ก็เพียงแค่ใช้พู่กันวาดคร่าวๆ หรือว่าไม่มีใครจัดทำแผนที่โลกฉบับละเอียด?” จินเฟยเหยานั่งมองแผนที่ในมือบนพรมบิน

ดูเหมือนนางจะหลงทางแล้ว ตามที่วาดไว้ในแผนที่ นางใช้เวลาสองเดือนกว่ามาถึงสถานที่ซึ่งทำเครื่องหมายไว้ ทว่ารอบด้านเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ไม่มีคฤหาสน์อะไรเลย

ได้ยินว่าตระกูลนี้ลึกลับมาก หรือว่าจะซ่อนตัวในอีกโลกหนึ่งตรงช่องว่างระหว่างภูเขา ถ้าเป็นเช่นนั้นปากถ้ำคงหายาก

จินเฟยเหยาลูบคางครุ่นคิด

ทันใดนั้น นางก็นึกขึ้นได้ คฤหาสน์กุ่ยเม่ยคงไม่ได้ใช้วงเวทปกคลุมคฤหาสน์ทั้งหมดนะ ภายนอกดูแล้วเป็นป่า ที่จริงด้านในคือสถานที่อยู่อาศัย

น่าเสียดายเครื่องหมายบนแผนที่เพียงบอกสถานที่คร่าวๆ จินเฟยเหยาได้แต่ร่อนต่ำลงมา บินเรียดยอดไม้ บางครั้งบางคราวยังแตะกิ่งไม้ คิดจะกระตุ้นวงเวท

นางเดาถูกจริงๆ หลังจากค้นหาทั่วภูเขารอบหนึ่ง เบื้องหน้าจินเฟยเหยาก็พร่าพราย ทิวทัศน์ป่าและภูเขารอบด้านเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ภาพมายาล่าถอยไปเผยให้เห็นทิวทัศน์ที่แท้จริง

ไหนเลยยังมีเทือกเขาทอดยาวต่อเนื่อง เห็นเมืองเล็กๆ โดดเดี่ยวตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งนา เชิงเขาเป็นเมืองเล็กๆ ที่คึกคัก ในเมืองและทุ่งนามีคนไปมา ราวกับเป็นเมืองในโลกมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรือง

ส่วนภูเขาสูงใหญ่ที่ห่างจากเมืองเล็กๆ ไม่ไกลนัก มีกำแพงล้อมรอบสูงห้าหกจั้งกั้นไว้ มีประตูเรือนสูงใหญ่สีแดงชาดตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพง ด้านหลังกำแพงเป็นบ้านอันงดงามและซับซ้อนอยู่ท่ามกลางดอกไม้และต้นไม้ เห็นบันไดศิลานำไปสู่ยอดเขาได้รางๆ

บนยอดเขาราวกับถูกตัดทิ้ง ปรากฏแท่นราบขนาดยักษ์ เหนือแท่นราบมียอดเขาเดิมของยอดเขานี้ลอยอยู่ ดอกไม้เบ่งบานและต้นไม้เขียวขจีบนยอดเขา เห็นเพียงชายคาโผล่ออกมามุมหนึ่งในพุ่มพฤกษ์

จินเฟยเหยาเคยเห็นเกาะลอยได้กลางอากาศ ทว่ากำแพงล้อมสูงห้าหกจั้ง ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกตกตะลึงไม่หาย นี่คือป้องกันใคร ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียน บินเข้าไปก็พอ คนธรรมดายิ่งไม่จำเป็น รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนอย่างเจ้าอาศัยอยู่ ใครจะกล้าไป

แต่ไม่รู้ว่านี่ใช่คฤหาสน์กุ่ยเม่ยหรือไม่ จินเฟยเหยาจึงบินไปสอบถามชายชราที่กำลังทำนาอยู่ “ท่านลุง ขอถามหน่อย ที่นี่คือที่ใด?”

ชายชราเห็นผู้บำเพ็ญเซียน รีบเอ่ยอย่างมีมารยาท “คารวะท่านเซียน นี่คือโลกของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย พวกเราเป็นคนธรรมดาที่อยู่ภายใต้คฤหาสน์”

“เป็นคฤหาสน์กุ่ยเม่ยจริงๆ ข้าอยากเข้าคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ไม่ทราบจะเข้าไปอย่างไร?” จินเฟยเหยาได้ฟังก็รู้สึกยินดี เป็นคฤหาสน์กุ่ยเม่ยจริงๆ ด้วย

“ท่านเซียนเพียงไปตรงประตูใหญ่สีแดงชาด ย่อมจะมีคนมารับรองท่านเซียนเอง” ชายชราเอ่ยตอบ

“ขอบคุณมาก” จินเฟยเหยาเอ่ยขอบคุณ จินเฟยเหยานั่งพรมบินเหาะไปตรงประตูใหญ่ ด้านล่างมีคนธรรมดาจำนวนไม่น้อย ในตลาดคึกคักอย่างยิ่ง

ครู่หนึ่งนางก็มาถึงประตูสีแดงชาด ยืนอยู่หน้าประตูและเงยหน้าขึ้นมอง ประตูสูงจนน่าตกใจจริงๆ กลางประตูใหญ่สีแดงชาดมีลวดลายสัตว์ บนประตูแขวนห่วงเคาะประตูสีทองเป็นประกายขนาดใหญ่เท่าตัวคนสองห่วง จินเฟยเหยามองไปรอบด้าน ข้างกำแพงยังมีคนตั้งแผงขายสินค้า ดูท่าคนธรรมดาเหล่านี้ไม่ค่อยกลัวคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยเท่าใด

แต่ดูไปดูมา ทั้งหมดเป็นคนธรรมดา ไม่เห็นเหมือนคนเฝ้าประตูสักคน จินเฟยเหยาครุ่นคิด ลอยตัวขึ้นกลางอากาศคว้าห่วงประตูแล้วฟาดตบ

“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังสะท้อนถึงชั้นเมฆ สั่นสะเทือนจนหูของจินเฟยเหยารู้สึกชา

รออยู่ครู่หนึ่ง ยอดกำแพงก็มีเสียงสอบถามดังมา “สหายเซียนท่านนี้ ไม่ทราบว่ามาคฤหาสน์กุ่ยเม่ยเราด้วยธุระอันใด?”

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมอง บนกำแพงมีบุรุษหนุ่มขั้นสร้างฐานช่วงปลายสวมชุดสีดำยืนอยู่ สีหน้าเย็นชา ดูแล้วเหมือนไม่ต้อนรับการมาเยือนของนาง

“สหายเซียนท่านนี้ ข้านัดพบกับหวาซีแห่งคฤหาสน์กุ่ยเม่ยของพวกเจ้า รบกวนเจ้าแจ้งให้หน่อย” จินเฟยเหยาไม่ได้ถามว่าหวาซีอยู่หรือไม่ ทว่าให้เขาไปแจ้งทันที เช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายนึกว่านางนัดกับหวาซีจริง ไม่อาจใช้ข้ออ้างว่าคนไม่อยู่มาขับไล่นาง

จริงเสียด้วย บุรุษหนุ่มผู้นี้มีสีหน้าสงสัย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “สหายเซียนมีนามบัตรหรือไม่ ข้าจะไปถามดูก่อน”

เจ้าสารเลวนี่ คิดไม่ถึงว่าจะกลับคฤหาสน์กุ่ยเม่ยแต่แรก ไม่มารับเนี่ยนซีจากข้าไปเสียที ไม่แน่ว่าลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะจัดการเขา

นามบัตร? สิ่งของนี้ทำให้จินเฟยเหยาตะลึงงัน ดูเหมือนตนเองไม่เคยทำของแบบนี้ ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าไม่มีนามบัตร เจ้าเพียงแต่เอ่ยชื่อของข้ากับเขาก็พอ ข้าชื่อจินเฟยเหยา มีความสัมพันธ์กับเขาไม่ธรรมดา เขาต้องพบข้าแน่”

ได้ยินคำพูดของนาง สายตาของบุรุษหนุ่มคนนี้ก็มองพินิจนางแปลกๆ หลายครั้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความหมาย จากนั้นก็ยิ้ม “อาสิบสามเพิ่งกลับมาไม่นาน ข้าจะไปแจ้งเขาเดี๋ยวนี้ แต่เจ้าต้องรอสักครู่ อาสิบสามไปจวนใน”

“ไม่เป็นไร ข้ารอสักครู่ได้” จินเฟยเหยายิ้ม อย่าว่าแต่ครู่เดียวเลย ข้ารอมาห้าสิบปีแล้ว ยังจะกลัวรอครู่หนึ่งหรือ

ในรอยยิ้มของบุรุษหนุ่มแฝงบางอย่างที่ไม่ชัดเจน ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกไม่สบายใจ เหมือนตนเองเป็นญาติจนๆ ที่มาเกาะเศรษฐี

จินเฟยเหยานั่งรอบนพรมบินอย่างสงบนิ่ง รอนานจริงๆ ตอนนางมาเพิ่งเที่ยงวันเท่านั้น ตอนนี้ย่ำค่ำแล้ว หวาซียังไม่ปรากฏตัว

“คฤหาสน์กุ่ยเม่ยบ้าบอนี่มันยังไงกันนะ หรือว่าคนเหล่านี้เดินลงมาจากข้างบน ต่อให้ต้องรอนานปานนี้ ก็สมควรเชิญข้าเข้าไปรอในห้องรับแขกแล้วยกน้ำชามามิใช่หรือ? ข้าเกลียดสำนักใหญ่พวกนี้ที่สุด มองเห็นคนอื่นต่ำต้อย ไม่มีมารยาทเลยสักนิด” จินเฟยเหยารอจนหงุดหงิด นั่งบนพรมบินอุ้มแตงโมใบหนึ่งใช้ช้อนตักเนื้อกินพลางพูดอย่างไม่พอใจ

“สหายเซียนจิน ไม่ได้พบกันเสียนาน เจ้ายังเป็นเช่นนี้ ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดจริงๆ” ในที่สุดเหนือกำแพงก็มีเสียงพูดดังมา

จินเฟยเหยาถ่มเมล็ดแตงโมใส่ห่วงประตูบนประตูใหญ่ จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “สหายเซียนหวา เจ้าใช้ชีวิตอย่างเอ้อระเหย ทั้งยังขี้ลืมจริงๆ”

จากนั้นนางเงยหน้าขึ้น อึ้งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ที่แท้สหายเซียนหวาเจี๋ยตันแล้ว มิน่าเล่าความจำจึงได้ย่ำแย่นัก คิดว่าตอนเจี๋ยตันคงเกิดความผิดพลาดจนธาตุไฟเข้าแทรก”

“สหายเซียนจินล้อเล่นแล้ว เจี๋ยตันเป็นเรื่องเมื่อสองร้อยปีก่อน ข้าเพิ่งกลับมาจากโลกระดับดิน หลังจากคลี่คลายเรื่องราวกำลังเตรียมจะไปหาเจ้า คิดไม่ถึงว่าสหายเซียนจินจะมาหาถึงบ้านที่โลกวิญญาณเป่ยเฉิน ทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ” หวาซีสวมชุดสีดำทั้งตัวยืนอยู่บนกำแพง ดูแล้วคึกคักเปี่ยมพลัง คงอยู่ดีมีสุขไม่เลว

อีกทั้งเขายังบอกว่าตนเองเจี๋ยตันเป็นเรื่องเมื่อสองร้อยปีก่อน เช่นนั้นตอนอยู่โลกระดับดิน เขายังมีพลังการบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นฝึกปราณ คำนวณเวลาดูแล้ว ทั้งสองคนเพิ่งพบกันได้ไม่ถึงหกสิบเจ็ดสิบปี หมายความว่าไม่รู้ว่าหมอนี่ใช้วิธีอะไร จึงทำให้พลังการบำเพ็ญเพียรลดลงเป็นขั้นฝึกปราณ

“ลดพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเอง บ้าจริงๆ ด้วย” จินเฟยเหยานึกถึงเรื่องนี้ได้ก็ด่าอย่างไม่พอใจ

มาครั้งนี้เพราะเรื่องของเนี่ยนซี ไม่ได้มาสนทนาเรื่องความหลังในอดีดกับเขา จินเฟยเหยาหยิบขวดเถ้ากระดูกของเนี่ยนซีออกมาพลางเอ่ยว่า “ข้ามาหาเจ้าเพราะเรื่องของเนี่ยนซี คาดว่าเจ้าคงเตรียมใจไว้นานแล้ว”

“เนี่ยนซี…ใครกัน? ข้าไม่รู้จัก” หวาซีเอ่ยอย่างสงสัย

“เจ้า!” จินเฟยเหยาเพิ่งคิดจะด่าเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะเปลี่ยนท่าทีไม่ยอมรับ นางพลันนึกขึ้นได้ เนี่ยนซีเป็นชื่อที่ตนเองตั้งให้ภายหลัง หวาซีจึงไม่รู้จัก

ดังนั้นนางจึงเก็บโทสะของตนเองและเรียบเรียงความคิดใหม่ เพิ่งคิดจะเอ่ยปาก ก็เห็นด้านหลังหวาซีมีเด็กหญิงอายุห้าหกขวบคนหนึ่งปรากฏขึ้น

“ท่านพ่อ พี่สาวคนนี้คือใคร?”

“เจ้า! เจ้าคือเนี่ยนซี? ไม่ถูกสิ คือเนี่ยนซีตอนเด็ก!” จินเฟยเหยาอ้าปากค้างมองเด็กหญิงผู้งดงามที่ยืนอยู่ข้างหวาซีและฉุดดึงชายเสื้อของเขา พลางโผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมาดูนาง

“อ้อ ที่แท้เจ้าตั้งชื่อให้นางว่าเนี่ยนซี คิดๆ ดูก็ห้าสิบปีแล้ว ต้องรบกวนเจ้าจริงๆ” หวาซีเข้าใจทันที ยิ้มและเอ่ยอย่างมีความสุข

จินเฟยเหยาจ้องมองเด็กหญิงที่เหมือนเนี่ยนซีอย่างไรอย่างนั้นแน่วนิ่ง ไม่ปัญญาอ่อน ฉลาดเฉลียว อีกทั้งในอ้อมกอดของเด็กหญิงยังอุ้มสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีดำตัวหนึ่ง นั่นเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวเล็ก มีขนาดเพียงลูกแมว ทว่าก็ลบล้างความจริงที่มันเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณไปไม่ได้

“เจ้าอธิบายข้ามาให้ชัดเจน เด็กหญิงคนนี้กับเด็กหญิงที่เจ้ามอบให้ข้ามีความสัมพันธ์อะไรกัน!” จินเฟยเหยาเดือดดาล เหินร่างขึ้นกำแพง ไม่สนใจว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมหรือไม่ ชี้หน้าหวาซีพลางคำรามลั่น

หวาซีลูบศีรษะของเด็กหญิงด้วยสีหน้ารักใคร่ จากนั้นเอ่ยว่า “นี่คือท่านแม่ของข้า ข้าใช้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณคืนชีพนาง”

นี่คือมารดาของเขาที่เป็นอนุภรรยา ทว่าสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณคืนชีพเฉพาะคนในตระกูลมิใช่หรือ? นางอดเอ่ยถามไม่ได้ “ไหนบอกว่าสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณคืนชีพได้เฉพาะคนในตระกูล ท่านแม่ของเจ้าเป็นคนนอกตระกูล เพราะเหตุใดจึงคืนชีพนางได้”

“ตามกฎตระกูลแน่นอนว่าทำไม่ได้” หวาซียิ้มอย่างเจิดจรัส “ดังนั้นข้าจึงไปโลกระดับดิน ใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมของสตรีในโลกระดับดินป้อนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกนางและโลหิตปฐมของข้ามาคืนชีพท่านแม่ เกือบร้อยปีแล้ว แน่นอนว่าตอนนั้นใช้โลหิตปฐมมากเกินไป พลังการบำเพ็ญเพียรของข้าจึงลดฮวบ ทว่าสุดท้ายก็ทำให้นางมีความสามารถเรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณได้สำเร็จ พลังการบำเพ็ญเพียรของข้าก็ฟื้นฟูถึงขั้นหลอมรวม ส่วนท่านแม่ของข้าก็สามารถเข้าสู่สายอนุภรรยาของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ต่อไปก็มีคุณสมบัติบ่มเพาะวิญญาณคืนชีพใหม่ได้”

“นี่คือท่านแม่ที่คืนชีพของเจ้า แล้วคนที่ฝากข้าไว้คือใคร!” จินเฟยเหยาถามอย่างไม่เข้าใจ

หวาซีถอนหายใจยาวอย่างเศร้าสร้อย “มารดาของข้าไม่มีสายเลือดตระกูลหวา ดังนั้นไม่แน่ว่าจะเพาะเลี้ยงวิญญาณสำเร็จ ต่อให้มีโลหิตปฐมของข้า ก็ปรากฏคนที่ด้อยสติปัญญาหรือร่างกายไม่สมบูรณ์ ถ้าเป็นสิ่งของชั้นต่ำที่ร่างกายไม่สมประกอบหรือด้อยสติปัญญา ข้าจะป้อนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณทันที ส่วนที่มีร่างกายสมประกอบ สติปัญญาไม่มีปัญหา แต่ไม่มีพลังวิญญาณฝึกบำเพ็ญไม่ได้ ข้าก็จะเลี้ยงพวกนางจนเติบโต ให้อยู่เป็นเพื่อนข้าหลายสิบปี”

หลังหยุดเล็กน้อย หวาซีก็ลูบเด็กหญิงทางด้านข้างอีก “ตอนที่ข้าไปหาเจ้า นางเพิ่งเกิด ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง แต่กลับไม่มีพลังวิญญาณ ดังนั้นข้าจึงตัดใจป้อนนางให้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกินไม่ลง นึกว่าเดี๋ยวก็ไปรับนางกลับมาจึงฝากเจ้าไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าภายหลังเจ้าจะไปจากเมืองลั่วเซียน ข้าจึงหาเจ้าไม่พบมาตลอด”

“เจ้าคืนชีพทั้งหมดกี่คน?” หลังจินเฟยเหยาเงียบงันไปนาน จึงถามขึ้นอย่างช้าๆ

หวาซีครุ่นคิดแล้วเอ่ย “น่าจะประมาณสี่สิบกว่าคน สิ่งของชั้นต่ำมีสามสิบกว่าคน มีเพียงหกคนที่อยู่เป็นเพื่อนข้าชั่วชีวิต ทว่าคนที่สำเร็จอย่างแท้จริง มีเพียงคนนี้”

“หวาซี! เจ้าคนวิปริต!” หลังจากจินเฟยเหยาฟังจบ ก็ด่าทออย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

………………………………………

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset