จอมมารแค่อยากเป็นคนดี – ตอนที่ 132 ลางวิกฤตของสถาบันเซนต์แมเรียน

บทที่ 132 ลางวิกฤตของสถาบันเซนต์แมเรียน
บทที่ 132 ลางวิกฤตของสถาบันเซนต์แมเรียน

ในเวลากลางคืนและเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสิบ

เมื่อดาร์กออกมาจากห้องสมุด เขาก็พบกับผู้คนจำนวนมากที่กลับมาจากทางลับ มีสปิริตอัดแน่นอยู่เต็มท้องฟ้า เร่งเร้าให้นักเรียนกลับไปที่หอพักราวกับว่ากำลังคุ้มกันนักโทษ

‘ความกระตือรือร้นพวกนี้ เมื่อไหร่จะผ่านพ้นไปนะ?’ ดาร์กส่ายหัว จากนั้นหันไปทางหน้าต่าง และรอให้ฝูงชนเดินผ่านไป

แสงจันทร์ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่นิด มันยังคงบริสุทธิ์และใสสะอาดราวกับน้ำ

ดาร์กเงยหน้าขึ้น และเห็นเวอร์เธอร์กับโรเบิร์ตวิ่งผ่านสะพานด้านนอกไปพอดี

“ฉันจำได้ว่าครั้งล่าสุดก็เป็นตรงนี้หลังจากคาบดาราศาสตร์นี่?”

ความทรงจำเลือนรางแวบเข้ามาในหัวของดาร์ก แต่แล้วเขาก็ส่ายหัวทันที

วันถัดมาเป็นวันศุกร์

ณ บ้านขุนนาง ในห้องนั่งเล่นรวม

ดาร์กเพลิดเพลินกับอาหารเช้าที่รุกกี้เดวิมอนนำกลับมาเช่นเคย

ในที่สุดเดลี่เสจของเช้าวันนี้ ก็รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในสถาบันเซนต์แมเรียน

แม้ว่าทางสถาบันจะใช้ความพยายามแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นหัวข้อข่าวของเดลี่เสจ โดยมีรูปภาพของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ปรากฏอยู่ในหน้าแรก

เพียงแต่ว่ามุมมองในเหตุการณ์นี้แตกต่างไปจากที่ดาร์กคิดไว้เล็กน้อย

เสียงประณามภูตตัวน้อยไม่รุนแรงอย่างที่คิด

ภาพจำที่ว่าสำนักพิมพ์นี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนั้น ดูจะทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นสิ่งปกติจนผู้คนไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่นัก

มีเพียงผู้ปกครองบางคนที่ประหลาดใจว่าสถาบันแต่งตั้งภูตเป็นศาสตราจารย์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ‘สนธิสัญญาพันธมิตรร้อยเผ่าพันธุ์’ ที่ลงนามในช่วงสงคราม จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เหล่าขุนนางของอาณาจักรจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผยจากมุมมองทางการเมืองของพวกเขา

และผู้คนก็โล่งใจมากขึ้นเมื่อได้ยินว่า นักเรียนที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดปลอดภัยแล้ว

สถาบันได้ยื่นรายชื่อนักเรียนที่เกี่ยวข้องให้กับทางศาล แต่ศาลไม่ได้เผยแพร่ออกมาเนื่องจากกฎข้อบังคับการรักษาความลับ มีเพียงชื่อคุณปลาดาวเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ในเอกสารสาธารณะ

เหตุการณ์นั้นเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนตลอดทั้งวัน แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงที่สุดออกมาจากทางฝั่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เลยแม้แต่น้อย

นอกจากนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เป็นตัวแทนของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อนข้างแปลกเช่นกัน เขากล่าวหาอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ว่าดูหมิ่นเทพดวงจันทร์!

เมื่อเห็นสิ่งนี้ดาร์กก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

คำว่า ‘เทพดวงจันทร์’ เป็นคำทั่วไป

เทพเจ้าทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘เทพแห่งดวงจันทร์’

หนึ่งในนั้น เทพที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่าตัวตนอื่นใดก็คือ ‘เทพธิดาผู้ไล่ล่าดวงจันทร์’ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้เอง

ในตำนานและเรื่องเล่าโบราณ เทพบางองค์ที่ลงมายังโลกเคยอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์

สายเลือดของพวกเขาได้รับการถ่ายทอดผ่านการสืบพันธุ์แบบปกติ แม้ว่ามันจะเจือจางจากรุ่นสู่รุ่น แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีความบริสุทธิ์สูง

อาจารย์ใหญ่อาร์เต้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน

ตัวแทนของโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์คนนั้นจะวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใดก็ได้ แต่ไม่อาจกล่าวหาทายาทของเทพดวงจันทร์ว่า ‘ดูหมิ่น’ เทพดวงจันทร์ได้ นี่มันฟังดูงี่เง่ามากจริง ๆ

ดาร์กเปิดอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป ก็เห็นแต่บทความชี้แจงเกี่ยวกับการพาดหัวข่าวของเมื่อวานในมุมเล็ก ๆ

ในบทความ นักข่าวคนหนึ่งได้กล่าวขอโทษสำหรับ ‘เรื่องไร้สาระ’ ของเขา และชี้แจงว่าบุตรแห่งดัชเชสไม่ได้มีสัญญาหมั้นหมายที่จะแต่งงานกับเจ้าหญิงของราชวงศ์

“ปรากฏว่าข่าวลือได้เป็นพาดหัว ส่วนชี้แจงขอโทษมีค่าได้แค่อยู่ตรงหัวมุมเท่านั้น!”

หลังจากเห็นมัน ดาร์กก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้มาทันที เขามองย้อนกลับไปที่รายงานเหตุการณ์เทพดวงจันทร์ แล้วก็ครุ่นคิดชั่วครู่

“ถ้าอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ออกไปข้างนอกจนถึงตอนดึกของเมื่อคืนนี้ แล้วใครที่สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ตอนบ่ายเมื่อวานนี้ล่ะ?”

“มันคงไม่ใช่สปิริตของเธอหรอกใช่ไหม?”

เวลาวิ่งผ่านไปประดุจแสงวาบ

ดาร์กเพิ่งจะวางหนังสือพิมพ์ลง แต่จู่ ๆ การ์ดคัดสรรในซองก็สั่นขึ้นมา

หลังจากหยิบออกมาดู ดาร์กพบว่าเป็นการแจ้งเตือน ‘เปลี่ยนสถานที่เรียนวิชาการประลอง’

วิชาการประลองมักจะจัดขึ้นในห้องเรียน แต่บางครั้งก็ถูกเปลี่ยนเป็นโถงการประลอง

และทุกครั้งที่เปลี่ยนห้องเรียน ศาสตราจารย์โจนส์จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

“สงสัยจริง ๆ ว่าศาสตราจารย์โจนส์จะพูดถึงอะไรในวิชาการประลองวันนี้?”

ความคาดหวังของดาร์กในคาบการประลองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังจากผ่านการต่อสู้กับเทพธิดาดวงจันทร์มาอย่างดุเดือด

ทว่าเมื่อนักเรียนชั้นปีหนึ่งจากสี่บ้านเข้ามาในโถงประลอง สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือ ชั้นเรียนออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง!

ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์โจนส์จะคิดว่า สมรรถภาพทางกายที่ย่ำแย่ของนักเรียนไม่เพียงพอต่อการรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือไม่ เธอก็แค่คิดว่าพวกเขามีพลังงานมากเกินไปและไม่มีที่ระบายออกมา…

กล่าวโดยสรุป ในคาบเรียนนี้ เธอพานักเรียนปีหนึ่งออกกำลังอย่างหนัก

และสำหรับนักเรียนที่ร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คาบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับไปทัวร์นรก

บางคนกัดฟันเพื่อยืนหยัดต่อไป บางคนก็พยายามดิ้นรน จนเป็นภาพที่ดูน่ารักไม่น้อย

แน่นอนว่ามีคนประท้วงแต่พวกเขาก็ถูกเพิกเฉยไป

กระทั่งจู่ ๆ มีนักเรียนสองคนหมดสติไปกลางคาบเรียน ศาสตราจารย์โจนส์จึงให้หยุดการออกกำลังชั่วคราว และส่งนักเรียนสองคนไปยังห้องพยาบาลโดยเร็วที่สุด

ประมาณสิบห้านาทีต่อมา ศาสตราจารย์โจนส์กลับมาที่ชั้นเรียน

นักเรียนจากบ้านขุนนางประณามวิธีการสอนที่ไร้มนุษยธรรมของเธอด้วยเสียงอันดัง และได้รับรางวัลเป็นเพิ่มการฝึกเป็นสองเท่า

ศาสตราจารย์โจนส์ขมวดคิ้ว

มีนักเรียนอีกหลายคนถามเธอถึงอาการของนักเรียนสองคนที่ถูกส่งตัวไปที่ห้องพยาบาล

ศาสตราจารย์โจนส์งุนงง “แปลกมาก ซิสเตอร์คาไลด์บอกว่าพวกเขาเป็นลมเพราะขาดสารอาหารเป็นเวลานาน แต่โรงอาหารของเราดูแลโดยเชฟลูกครึ่ง พวกเขาจะขาดสารอาหารได้ยังไง? นี่พวกเขาไม่ได้กินข้าวเลยเหรอ?”

ศาสตราจารย์โจนส์ยิ่งสับสนมากขึ้น เมื่อนักเรียนของบ้านอัศวินซึ่งสนิทกับนักเรียนคนหนึ่งที่เป็นลม บอกเธอว่านักเรียนคนนั้นเป็นนักกินตัวยง

อย่างไรก็ตาม เหล่าจอมเวทฝึกหัดก็ไม่รอดจากการฝึกต่อด้วยเหตุการณ์นี้

ไม่ใช่เพราะการฝึกที่ทำให้นักเรียนสองคนเป็นลม

เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นเรื่องลึกลับ และต่อมาก็ถูกรวมไว้ในเรื่องเล่าว่าด้วย ‘ชีวิตในสถาบันหลายแง่มุมที่ไม่สามารถอธิบายได้’

ในตอนท้ายของคาบเรียน ศาสตราจารย์โจนส์จัดการมอบหมายการบ้านหลังเลิกเรียน และสั่งให้นักเรียนเขียนเรียงความยาวเกี่ยวกับ ‘ความสำคัญของสมรรถภาพทางร่างกายในการประลองเวทมนตร์’

และในเวลาเดียวกัน เธอก็ประกาศว่าการประลองในชั้นเรียนครั้งที่สองจะจัดขึ้นก่อนวันคริสต์มาส

ไม่ว่าในกรณีใด วิชาการประลองของเช้านี้ก็ไม่เป็นที่พึงพอใจของเหล่านักเรียน

ทั้งสองคนที่หมดสติไป คนหนึ่งคือเอซิโคจากบ้านนักปราชญ์ และอีกคนหนึ่งคือแว็กเนอร์จากบ้านอัศวิน

แว็กเนอร์เป็นนักกินตัวยงที่มีชื่อเสียงของบ้านอัศวิน เขาแข็งแรง สุขภาพดี และดูไม่มีอาการ ‘ขาดสารอาหาร’ เลย!

ดังนั้น นักเรียนบางคนจึงคิดว่ามันเป็นข้อแก้ตัวที่ศาสตราจารย์โจนส์อ้างเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ และเพื่อยืนยันเรื่องนี้ พวกเขาจึงรวบรวมกลุ่มเพื่อนร่วมชั้น ก่อนจะพากันไปที่ห้องพยาบาลเพื่อตรวจสอบนักเรียนที่เป็นลม

อย่างไรก็ตาม นักเรียนส่วนใหญ่สูญเสียแรงกายเนื่องจากการฝึกที่เข้มข้น และบางคนถึงกับนอนบนเตียงจนถึงบ่าย โดยไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยซ้ำ

ความแข็งแกร่งของดาร์กนั้นถือว่าเหนือกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวม แต่เขาก็เกือบจะหลับคาอ่างอาบน้ำ

ในที่สุด ไดแอนนากับโรเบิร์ตก็ได้แสดงจุดแข็งของพวกเขา กลายเป็นผู้อยู่รอดและยังมีชีวิตอยู่ดีหลังจากการฝึกฝน

กล่าวสั้น ๆ หลังจากเหตุการณ์นี้ดาร์กเริ่มพิจารณาว่า เขาควรเพิ่มการออกกำลังกายตอนเช้าในกิจวัตรประจำวันของเขาหรือไม่

เวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง

ดาร์กลากร่างที่เหนื่อยล้าของเขาไปที่โรงอาหาร แล้วกินบะหมี่ไปหนึ่งชาม จากนั้นเขาก็รอให้ถนนนักเดินทางเปิด

การเดินทางไปยังถนนนักเดินทางครั้งนี้ จำนวนคะแนนที่เขามีนั้นสูงกว่าเมื่อก่อนมาก

แต่สิ่งที่เขาต้องการซื้อก็มีมากกว่าที่เคยเช่นกัน

จอมมารแค่อยากเป็นคนดี

จอมมารแค่อยากเป็นคนดี

จอมมารแค่อยากเป็นคนดี
Status: Ongoing Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง จอมมารแค่อยากเป็นคนดีระหว่างทำพิธีคัดสรรเลือกบ้าน ในที่สุด 'ดาร์ก เดม่อน' ก็ได้รับความทรงจำของชีวิตก่อนกลับคืนมา ปรากฏว่าเขามาเกิดใหม่โลกของเกม ทั้งยังเป็นเกมที่ลอกเลียนแบบธีมภาพยนตร์และอนิเมะชื่อดังอีกด้วย! แต่เหมือนพระเจ้ายังไม่พอใจ เพราะบทบาทของ 'เขา' ในเกมนี้คือว่าที่ 'จอมวายร้าย' ที่ร้ายสุดในเกมนี้! ด้วยค่ามหาบาปทั้งเจ็ด [เกียจคร้าน ริษยา ราคะ ตะกละ โลภะ โทสะ และอัตตา] เมื่อค่าหนึ่งในเจ็ดบาปพวกนี้พุ่งทะลุหลอดตัวชี้วัด ดาร์กก็จะกลายร่างเป็น 'จอมมาร' ตลอดไป! หากเป็นยุคแห่งความโกลาหลก็คงไม่เป็นอะไรหรอก แต่ตอนนี้มันใช่ยุคนั้นเสียที่ไหนเล่า! ในยุคสมัยของเซนต์แมเรียนที่สงบสุขเช่นนี้ และจอมมารก็ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ไปนานแล้ว เขาที่กำลังโดนระบบจอมมารปั่นหัวให้กลายวายร้ายจะต้องทำเช่นไรล่ะทีนี้!?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset