ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 300: พิธีอัญเชิญมหาสมบัติ (2)

บทที่ 300: พิธีอัญเชิญมหาสมบัติ (2)

ท่วงทำนองโบราณช่วยสร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังให้กับสถานที่ ในวินาทีต่อมา เปลวไฟนรกพลันลุกโชนขึ้นรอบตัวของพวกเขาราวกับกลุ่มดาวที่ส่องแสงในยามราตรี ส่องแสงสลัวลงมายังยมโลก

แต่ถึงอย่างนั้น หยินเซี่ยงหนานไม่ได้ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย การเปิดพิธีอย่างลึกลับนั้นยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นให้เขามากกว่าเดิม ลูกไฟนรกในท้องฟ้าดูไม่ต่างอะไรกับแสงไฟบนเวทีคอนเสิร์ต ครู่ต่อมา วิญญาณทั้งหมดก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง …แน่นอนว่านั่นรวมถึงหยินเซี่ยงหนานด้วยเช่นกัน

กริ๊ก เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นเบา ๆ หมิงชีหยินก็พลันส่องแสงสว่างออกมา จากนั้นพื้นที่ตรงหน้าของพวกเขาก็เกิดการกระเพื่อมราวกับผิวน้ำ และเสาพลังหยินที่มีความสูง 10 เมตรก็ปรากฏขึ้นจากพื้น ก่อตัวเป็นหน้าจอภาพที่สามารถทำให้มองเห็นพิธีการที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน เวทีหลังก็ยกตัวสูงขึ้นที่หน้าประตูนรก ในเสี้ยววินาทีนั้น พวกเขาพบว่าในเวลานี้ประตูนรกได้รับการตกแต่งด้วยผ้าไหมสีแดงขาว เงินกระดาษมากมายล่องลอยอยู่เต็มไปหมด มันเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่และสุดยอดอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้

ดวงตาของพวกเขาหันกลับไปมองพื้นที่รอบ ๆ กระถางธูปที่ตั้งอยู่หน้าประตูนรก ซึ่งวิญญาณหยินจำนวนกว่าร้อยตนได้ยืนเรียงกันอยู่ พวกเขาไม่ได้สวมเสื้อและใส่เพียงกางเกงแบบดั้งเดิม เข็มขัดสีแดงและรองเท้าสีดำเท่านั้น แต่ละตนต่างมีกลองขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้า ผู้นำของพวกเขาโบกธงไปรอบ ๆ ในขณะที่วิญญาณตนอื่นยังคงตีกลองต่อไปอย่างแข็งขัน

ตึ้ง !

เสียงกลองดังก้องไปทั่วยมโลกแห่งใหม่ และในเวลาเดียวกันกับที่เสียงกลองจังหวะแรกดังขึ้น ลูกไฟนรกสีเขียวหยกทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด

“พระเจ้า…” หยินเซี่ยงหนานอ้าปากกว้าง นี่เป็นแค่การแสดงแสงสีเสียงและเวทมนตร์รวมกันเท่านั้น ในความเป็นจริง มันน่าตกตะลึงยิ่งกว่าทั้งหมดที่เขาได้เห็นมาในแดนมนุษย์เสียอีก ! นี่เป็นการรวมตัวกันของวิญญาณนับแสน ดูพิธีการอันยิ่งใหญ่ด้วยปากที่อ้าค้างขณะที่ลูกไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนลอยไปมาอยู่บนฟ้าอย่างน่าขนลุก และมันก็ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าการอยู่ในยมโลกนั้นหมายความว่าอย่างไร

มันอาจจะคล้ายกับแดนมนุษย์ แต่มันไม่เหมือนกัน

การเปิดพิธีการได้สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อมุมมองของพวกเขาที่มีต่อยมโลก มันไม่มีไฟฟ้า ไม่มีลำโพง ไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ …ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเวลาน้อยล้วนเกิดจากการมีอยู่ของพลังหยิน !

และมันก็ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น วิญญาณที่อยู่โดยรอบทุกตนต่างมองดูภาพพิธีการที่ถูกฉายอยู่บนหน้าจอแสงด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เสียงอุทานดังออกให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง

“พวกเขาทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไรกัน ?”

“พลังหยิน… หรือ ? ไม่ใช่ว่าท่านซูเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้หรอกหรือว่าแม้แต่วิญญาณธรรมดาก็สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการบ่มเพาะพลังหยิน ?”

“บ้ามาก… นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว… ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือสมัยใหม่ แถมการจัดวางทั้งหมดยังดูดั้งเดิมกว่าที่เราจะสามารถเห็นได้ในแดนมนุษย์ แต่ทุกอย่างกลับดูอลังการกว่าเป็นพันเท่า !”

หวูดดด… เสียงเป่าแตรยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ปกคลุมเสียงพูดคุยของเหล่าผู้ชมทั้งหมดในบัดดล จากนั้น เสียงตีกลองรอบที่สองก็ดังขึ้น หากบอกว่าเสียงกลองในครั้งแรกนั้นช้าและเป็นจังหวะเหมือนกับเสียงเต้นของหัวใจ เสียงกลองในครั้งนี้ก็คงจะเร็วและรุนแรงราวกับสายฝนที่ตกกระหน่ำ แต่กลับมีความพร้อมเพรียงอย่างไม่น่าเชื่อ

ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง !! เสียงกลองดังสนั่นราวกับต้องการจะประกาศว่ายุคสมัยแห่งความเกียจคร้านได้สิ้นสุดลงแล้ว มีเพียงยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์เท่านั้นที่กำลังรอเราทุกคนอยู่ ! ไม่มีการเว้นจังหวะใด ๆ บางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ !

เสียงกลองที่ยิ่งใหญ่ยังคงดังก้องไปทั่วทุกมุมของนรก ทั่วทั้งสถานที่สั่นไหว ลูกไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนวาวโรจน์ตามจังหวะ เปลี่ยนสีจากสีดำที่รกร้าง ไปเป็นสีขาวก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในท้ายที่สุด แสดงให้เห็นถึงสีแห่งความตายทั้งสามที่ปกคลุมไปทั่วยมโลก

“ไม่เลวนี่” ฉินเย่ที่ยืนอยู่ด้านบนของประตูนรกเอ่ย ซูตงเซวี่ยยืนอยู่ทางด้านขวาของเขาและนางก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงด้วยความตื่นเต้นกับคำชมนี้ ฉินเย่แย้มยิ้มบางออกมาและกลับหลังหัน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเรียนรู้จากการจัดคอนเสิร์ตบนแดนมนุษย์สินะ ? เป็นการผสมผสานที่ดีมากทีเดียว”

“ขอบพระคุณสำหรับคำชม !” ซูตงเซวี่ยโค้งคำนับอีกฝ่ายด้วยความเคารพขณะที่คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น “เป็นอย่างที่นายท่านว่า ข้าได้ดูคอนเสิร์ตมาบ้าง และเขาก็พบว่าเราสามารถจำลองเอฟเฟกต์เหล่านั้นได้โดยเพียงแค่ควบคุมพลังหยินให้ดี ยมโลกนั้นไม่มีเหมือนกับแดนมนุษย์ พิธีการเปิดเหล่านี้อาจจะดูใหญ่โตเกินไป แต่มันก็สามารถดึงดูดความสนใจของวิญญาณทั้งหมดที่อยู่โดยรอบได้อย่างไม่ต้องสงสัย”

ฉินเย่พยักหน้า มันมีทั้งความจริงจังและความโออ่าอยู่ในเวลาเดียวกัน แต่นั่นก็ไม่ได้มีความหมายเท่าไหร่นัก

เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งเดียวที่เขาต้องการในวันนี้ก็คือความสนใจจากพลเมืองทั้งหมดของยมโลก !

เขาจะมอบการแสดงจะติดตรึงอยู่ในใจของคนทั้งหมดไปตลอดกาล เขาต้องการจะบอกอีกฝ่ายว่า พวกเขาได้ทั้งหมดได้ตายไปแล้ว

โลกที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้คือโลกหลังความตาย ไม่ว่าจะคล้ายกับแดนมนุษย์มากเพียงใด พวกเขาก็ยังต้องปรับตัวและปรับเปลี่ยนมุมมองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ

นี่คือโลกที่หลักการของพลังงานไอน้ำและเวทมนตร์วิ่งควบคู่ไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน ข้าราชการ หรือนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์ …ต้องตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่ภายในใจตลอดเวลา

เสียงแตรดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้ โทรเสียงของมันเต็มตื้นไปด้วยความปีติยินดีที่มาพร้อมกับความคาดหวัง ราวกับปูทางให้กับสิ่งที่กำลังจะตามมา มันเหมือนกับแสงอาทิตย์ทำให้เกิดประกายแวววาวเหนือสายน้ำ ราวกับกำลังประกาศให้วิญญาณทั้งหมดรู้ว่าอนาคตได้มาถึงแล้ว และมันก็รุ่งโรจน์ งดงาม และไม่มีทางทำให้พวกเขาผิดหวัง !

ตึ้ง !! เสียงกลองหยุดลงท่ามกลางเปลวไฟนรกที่ลุกโชติช่วง วินาทีนั้น เกิดความเงียบขึ้นอย่างกะทันหัน

ปากของหยินเซี่ยงหนานยังคงอ้าค้าง เขาพูดคุยกับวิญญาณสวมแว่นที่อยู่ข้างตนด้วยความตื่นเต้นก่อนจะตระหนักได้ว่าทุกอย่างโดยรอบพลันเงียบเสียงลงอีกครั้ง ไม่มีเสียงใดดังออกมาจากปากของเขาเลยแม้แต่น้อย ในเวลานี้ เปลวไฟนรกทั้งหมดที่ลอยอยู่บนฟ้าล้วนเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท

“ฟู่วว…” เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด มันกำลังจะเริ่มแล้ว… ในที่สุดมันก็กำลังจะเริ่มแล้ว… แต่การเปิดพิธีเมื่อครู่นั้นทำให้เขาตื่นเต้นจริง ๆ!

เสียงกลองดังอย่าอึกทึก

เสียงที่ดังขึ้นเป็นจังหวะทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจของเขาเต้นตามไปด้วย ส่งผลให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง อันที่จริง มีวิญญาณบางตนที่เผลอยกมือขึ้นมาตบตามจังหวะของกรลองและตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น เห็นได้ชัดเลยว่าการแสดงกลองได้สอดผสานเข้ากับเหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบ มันราวกับขจัดความรู้สึกมากมายในตัวเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมาและให้ความมั่นใจพวกเขาในสิ่งที่กำลังจะมาถึง

“มัน… สุดยอดจริง ๆ …ดูเหมาะว่าการตายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก…” เมื่อความดีใจค่อย ๆ หายไป เด็กหนุ่มก็จ้องไปที่หน้าจอแสงอีกครั้ง

ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบ และทันใดนั้น พื้นที่ว่างตรงหน้าและเปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มสั่นไหว ก่อตัวกันและหมุนไปรอบ ๆ จนเกิดเป็นหลุมที่มีความกว้างประมาณสิบเมตร พลังหยินที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบพลันส่งเสียงหวีดหวิวออกมาและหมุนรอบรูปดังกล่าวราวกับตาของพายุ และในที่สุด พร้อมกับการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ร่างของอาร์ทิสก็ก้าวออกมาจากหลุมนั้น

ครั้งนี้นางแต่งกายอย่างเต็มรูปแบบ

นางรู้ดีว่าตนนั้นไม่เหมาะกับการปกครอง ดังนั้นนางเลือกที่จะเชื่อใจฉินเย่ในเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางได้รับสิทธิ์ในการได้เห็นร่างที่แท้จริงของนางเป็นครั้งที่สองแน่ และนี่ก็เป็นรูปลักษณ์ที่นางเคยมีเมื่อปีที่แล้ว ในหุบเหวใต้สะพานไน่เห่อในยมโลกแห่งเก่า

“พระเจ้าช่วย…” รูปลักษณ์ของนางสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าวิญญาณทั้งหมดทันที แม้แต่หยินเซี่ยงหนานเองก็ไม่เว้น และสิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงสบถออกมาเสียงดัง

“ตัวอะไรน่ะ ?!”

“สวรรค์ทรงโปรด ! นั่นผี… ผีร้ายใช่ไหม ?!”

“หนีเหรอ ? เราควรหนีหรือเปล่า ?! นะ นะ นี่มันผีร้ายชัด ๆ!”

“แต่… พวกเราก็เป็นผีเหมือนกัน…”

เสียงตะโกนมากมายดังขึ้น แต่มันก็ถูกกลบโดยเสียงคำรามในอากาศที่มาพร้อมกับศีรษะงดงามที่มีขนาดหลายสิบเมตร ริมฝีปากแดงเผยให้เห็นฟันที่แหลมคม รวมถึงสายตาของเทพเจ้าแห่งสงครามที่แฝงอยู่ในแววตา ที่สำคัญที่สุดผมสีดำสนิทของนางดูไม่ต่างอะไรกับงูจำนวนมากที่กระจัดกระจายเต็มท้องฟ้าเลยแม้แต่น้อย

นี่คือร่างที่แท้จริงของขั้นตุลาการนรก !

วิญญาณจำนวนมากเริ่มถอยห่างจากประตูนรก ในขณะที่วิญญาณตอนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาด้วยความกลัวขณะที่ยืนแน่นิ่งไปในที่สุด การเคลื่อนไหวของอาร์ทิสก็หยุดลง ศีรษะของนางลอยอยู่บนฟ้าขณะที่เอ่ยปากและพูดว่า “จงอยู่ในความสงบ”

ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง

แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็สามารถบอกได้ว่าวิญญาณจำนวนมากเริ่มมีแววตาที่ซับซ้อนปรากฏขึ้นให้เห็น

มันเหมือนกับว่าในที่สุดพวกเขายอมรับความจริงแล้วว่าตนนั้นตายไปแล้ว

ภาพทั้งหมดนี้ทำลายโลกทัศน์ของพวกเขาที่มีต่อยมโลก ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มตนของความประหลาดใจทั้งหมดที่รอพวกเขาอยู่เท่านั้น

“ประชากรวิญญาณแห่งยมโลกทุกตน” อาร์ทิสมองไปรอบ ๆ “ไม่ต้องหวาดกลัวไป พวกเราจะก่อตั้งสถาบันแห่งยมโลกขึ้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หากพวกเจ้าฝึกฝนอย่างหนัก มันก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเจ้าทั้งหมดจะได้รับพลังที่เก่งกล้าอย่างที่ข้ามี”

“ข้าหาใช่ผู้ใดอื่นแต่เป็นรัฐมนตรีของยมโลกแห่งใหม่ อรากษส ชาวจีนส่วนใหญ่มักจะรู้จักข้าในชื่อของรากษส สำหรับตอนนี้ ข้าขอประกาศเริ่มพิธีอัญเชิญมหาสมบัติอย่างเป็นทางการ ก่อนอื่น เชิญพวกเจ้าทุกตนปรบมือต้อนรับท่านจ้าวนรกของยมโลกแห่งใหม่ ท่านฉิน !”

ตู้ม ! ลำแสงสีขาวระเบิดออกมาจากผิวหน้าของหมิงชีหยินและส่องไปที่ร่างของฉินเย่ทันที เด็กหนุ่มก้าวออกมาอย่างยิ่งใหญ่พร้อมกับเส้นผมที่ยาวสยายอยู่ด้านหลัง เรียกสายตาจากประชากรทั้งหมดอย่างง่ายดาย

มันสามารถพูดได้ว่าการเปิดพิธีเมื่อครู่นั้นยังมีความคล้ายคลึงกับงานคอนเสิร์ตในสมัยปัจจุบ้านอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้คงไม่มีใครสามารถพูดได้แล้วว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นยังคงคล้ายคลึงกับแดนมนุษย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นในตอนนี้สามารถหาดูได้ในแดนมนุษย์

หากพูดตามตรง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้สามารถเรียกได้ว่าปาฏิหาริย์ในแดนมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย

ซูตงเซวี่ยมองเหล่าวิญญาณตรงหน้าที่นิ่งเงียบไปอย่างไม่เข้าใจ นางขมวดคิ้วยุ่ง นี่มันไม่ถูกต้อง… ตลอดสองสามวันที่ผ่านมานางได้ทำแบบสำรวจสาธารณะ และมันก็แสดงให้เห็นว่าประชากรที่ยอมรับเขามีสูงถึง 97.52% แล้วเหตุใดถึงไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเลย ?

“พวกเขาอาจจะยังตกตะลึงอยู่ก็เป็นได้” หนึ่งในลูกน้อยของนางเอ่ยขึ้น “ท่านซู พวกเราควรเข้าไปแทรกหรือไม่ ?”

ซูตงเซวี่ยพยักหน้า และลูกน้องของนางก็แทรกตัวไปอยู่ในฝูงชนทันที จากนั้น หลังจากผ่านไปประมาณสามวินาที ใครบางคนก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “ท่านฉินสุดยอดไปเลย !”

เสียงตะโกนเมื่อครู่ตามมาด้วยเสียงตะโกนขอบคุณและสนับสนุนมากมายจากส่วนต่าง ๆ ของฝูงชน “ท่านฉินจงเจริญ !”

“ขอบคุณที่ท่านพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเรา !”

“ข้าไม่คิดเลยว่าชีวิตหลังความตายจะเป็นแบบนี้… ท่านได้นำเราออกจากช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ! ขอบคุณ !”

มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องนำพาประชาชนไปตามทางที่ถูกต้อง

โชคดีที่คะแนนเสียงของฉินเย่นั้นสูงมาตลอด

ดังนั้นเสียงตะโกนของผู้สนับสนุนที่แฝงตัวเข้าไปจึงเป็นเหมือนตัวกระตุ้นที่เปิดประตูระบายน้ำ และเสียงชื่นชมมากมายก็หลั่งไหลออกมาจากหมู่วิญญาณจำนวนมาก

สามวินาทีผ่านไป… ห้าวินาทีผ่านไป… และในที่สุดวิญญาณตนแรกก็ตะโกนออกมา “ขอบคุณ ! ท่านฉิน ! ขอบคุณ ! ท่านจ้าวนรกจงเจริญ !”

“ขอบพระคุณท่านฉิน ! ขอบคุณจริง ๆ!”

“พวกเราจะสนับสนุนท่านในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ! เราจะแต่งตั้งให้ท่านได้เป็นผู้ปกครองยมโลกต่อไป !”

“ขอบคุณที่มอบความหวังให้กับเรา !”

“ทุกอย่าง… ทุกอย่างเริ่มก้าวไปข้างหน้าแล้วจริง ๆ …ข้ารอเวลานี้มานานเหลือเกิน ! ขอบพระคุณท่านฉิน ! ขอบคุณรัฐบาลยมโลก !”

หนึ่งตามมาด้วยสอง แล้วก็สาม…จากนั้นก็พันก่อนจะกลายเป็นหมื่น ! หนึ่งนาทีต่อมา วิญญาณนับหมื่นตนก็ตะโกนออกมาสุดเสียง

“ท่านฉินสุดยอด ! รัฐบาลยมโลกเก่งที่สุด !”

“เราจะสนับสนุนท่านต่อไป !!”

“ท่านได้พาเราเข้าสู่โลกใบใหม่ !”

“พวกเรามาไกลขนาดนี้ภายในปีเดียว ! พวกเราขอบคุณท่านและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดอย่างใจจริง !”

เสียงตะโกนดังกล่าวดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นสายลมอ่อน ๆ ที่พัดไปทั่วทั้งดินแดน

นี่คือเสียงจากใจของประชากรของเขา… ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้าเพื่อข่มความรู้สึกมากมายขณะที่มองภาพที่น่าเหลือเชื่อตรงหน้า เขาไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงชื่นชมและขอบคุณสำหรับความพยายามของเขาเลยสักนิด คำชมทั้งหมดนี้เป็นเหมือนกับถั่วเซียนในการ์ตูนดราก้อนบอลที่ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่สั่งสมมาตลอดหนึ่งเดือนได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดที่เหลืออยู่มีเพียงความพึมพอใจ ความเต็มตื้น ความหวัง และ… ความมุ่งมั่นที่จะทำให้ยมโลกพัฒนาขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

เสียงตะโกนพวกนี้เป็นเหมือนกับกระแสน้ำที่สาดซัดเข้าที่หัวใจของเขาและคงอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมาจนถึงตอนนี้รู้สึกคุ้มค่าในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เขาได้สูญเสียอะไรหลาย ๆ อย่างไปเพื่อเส้นทางที่ตัวเองได้เลือก หนทางข้างหน้านั้นยังอีกยาวไกลและยากลำบาก แต่อันตรายที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ความเฉื่อยชาของเขา

แต่ฉินเย่ก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ ความพยายามของเขาได้รับการตอบแท้แล้ว ในที่สุดเขาก็ได้รับการยอมรับจากประชากรทั้งหมด

เมื่อมองย้อนกลับไป เขายังจำวินาทีที่ตัวเองเกือบจะทิ้งภาระทุกอย่างที่แบกเอาไว้และหนีไปได้อย่างชัดเจน หากพูดกันตามความจริง หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าตี้ทิงยังคงนอนอยู่ใต้ยมโลก ฉินเย่ก็อาจจะหนีไปยังสุดขอบโลกไปแล้วก็เป็นได้

แต่สำหรับตอนนี้… มันยังมีตัวเลือกอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ?

ฉินเย่ยังคงมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนโบกมือให้เขาเพื่อส่งกำลังใจ นี่คือคนของเขา… มันอาจจะดูน่าหงุดหงิดและน่ารำคาญไปบ้าง แต่…เหล่าประชากรวิญญาณตรงหน้าก็คือพลเมืองที่น่ารักของเขา

โดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันรู้ตัว หัวใจของเขาได้เปลี่ยนจากการตั้งคำถามว่าการหลบหนียังเป็นทางเลือกอยู่หรือไม่เป็นการเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่าเขาจะไม่มีทางหันหลังให้กับประชาชนของตัวเองเป็นอันขาด

หัวใจของเขาไม่เคยแก่ ดังนั้น… เขาจึงพร้อมที่จะทำทุกอย่างและทุ่มสุดกำลัง

ฉินเย่ยกมือขึ้นและทำท่าราวกับกดอะไรบางอย่างในอากาศ เสียงโห่ร้องค่อย ๆ เบาลงก่อนจะจางหายไป ภาพของเขาถูกถ่ายทอดบนหน้าจอแสงทั้งหมด หนึ่งนาทีต่อมา เขาค่อย ๆ กวาดสายตาไปมองประชากรวิญญาณทั้งหมด จากนั้นจะกระแอมออกมาเบาก่อนจะเอ่ยว่า “ทุกคน วันนี้เป็นวันแรกที่ประชากรนรกทั้งหมดได้มารวมตัวกันที่สถานที่แห่งนี้ และไม่ใช่การประชุม แต่เพื่อการเฉลิมฉลอง ! นี่อาจจะเป็นครั้งแรก แต่ข้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย !”

เขาโบกมือไปยังกลุ่มก้อนพลังสีดำ “ขณะที่เรายังคงพัฒนา ยมโลกเองก็จะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน และเมื่อเวลาผ่านไป อำนาจของเราก็จะขยายไปยังสุดขอบโลก !”

“เรายังมีความหวัง ! เราทั้งหมดจะทำงานเพื่อเป้าหมายเหล่านี้ร่วมกันจนกว่าฝันของเราทั้งหมดจะเป็นจริง !”

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

Status: Ongoing
ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset