ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 301: พิธีอัญเชิญมหาสมบัติ (3)

บทที่ 301: พิธีอัญเชิญมหาสมบัติ (3)

เงียบ

มีใครบ้างที่ไม่เคยเข้าร่วมการประชุมในแดนมนุษย์ ?

มีใครบ้างที่ไม่รู้ถึงคำพูดกลวง ๆ และไร้น้ำหนักในสุนทรพจน์ของพวกนักการเมือง ?

ทุกคนรู้ดีว่าในพิธีการสำคัญ ๆ และสุนทรพจน์เปิดนั้นไม่มีอะไรไปมากกว่าการทำตามพิธีการ เมื่องกระทรวงศึกษาไปเยี่ยมชมตามโรงเรียนต่าง ๆ คำถามที่เหล่านักเรียนถามพวกเขาต่างก็เป็นประเด็นที่ได้รับการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่นเดียวกับการตรวจสอบโรงงานที่มักจะเห็นส่วนหน้าที่เสแสร้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชน พวกเขาทุกคนต่างรู้สึกเบื่อหน่ายกับคำพูดทางการและไม่จริงใจเหล่านี้ ดังนั้นมันถึงไม่มีใครคิดว่าจ้าวนรกแห่งยมโลกจะข้ามสิ่งเหล่านั้นและเอ่ยอย่างตรงประเด็น

ไม่มีเรื่องไร้สาระ เขารีบเอ่ยคำสัญญากับประชาชนทันที มันเป็นวิธีการเข้าถึงที่สดใหม่พอสมควร

เคร้ง ! โนบูนางะ มุไรซาดาคัตสึและทหารม้าอีกกว่าพันนายที่รวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูนรกคุกเข่าลงและตะโกนออกมาพร้อมกัน “ชีวิตของเราถวายแด่ยมโลก !!”

เสียงร้องของพวกเขาเป็นเหมือนกับกระแสน้ำอันทรงพลังที่สาดซัดเข้าฝั่ง และมันก็ดังก้องสลับกับเสียงชาวเมืองโดยรอบ

ใบหน้าของหยินเซี่ยงหนานแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นและเขาก็ชูแขนขึ้นกลางอากาศ “ข้าสมัครเข้ากองทัพวิญญาณ ! ข้าลงชื่อเข้ารับการเกณฑ์ทหารแล้ว !”

แต่เขาก็เป็นเพียงน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทรเท่านั้น มีผู้คนอีกหลายหมื่นที่กำลังทำสิ่งเดียวกัน และพวกเขาทั้งหมดต่างก็ชูมือขึ้นในอากาศ ทุกอย่างเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและไม่ได้รับการเตรียมการมาก่อน แต่ภาพของผู้คนนับพันที่ชูมือขึ้นบวกกับทหารม้าที่คุกเข่าตรงหน้าของฉินเย่และประกาศว่าจะจงรักภักดีต่อเขานั้นได้ทำให้ความรู้สึกของผู้ที่มาเข้าร่วมพิธีทั้งหมดก้าวขึ้นไปอีกขั้น

“ชีวิตของเราถวายแด่ท่านจ้าวนรก !!”

“ชีวิตของเราถวายแด่ท่านจ้าวนรก !!”

“ชีวิตของเราถวายแด่ท่านจ้าวนรก !!”

เสียงตะโกนประกาศความจงรักภักดีดังก้องไปทั่ว

หลังจากถูกเหยียบย่ำมากว่าหลายร้อยปี ผู้ใดจะไม่ต้องการให้ชาติของตนฟื้นคืนจากเถ้าถ่านและกลับมามั่นคงและแข็งแกร่งอีกครั้งกัน ? [1]

วิญญาณทั้งหมดต่างปรารถนาจากใจจริงที่จะให้จ้าวนรกอันเป็นที่รักของพวกเขามีอำนาจในการปกครองสูงสุด ไม่ว่าในประเทศหรือนอกประเทศ !

นี่คือความหวังที่ไม่ได้เอ่ยออกไปของวิญญาณทุกตนโดยรอบ มันคงจะเป็นการโกหกหากจะอธิบายว่าแผ่นดินจีนเป็นพวกรักสงบ หากพูดตามประวัติศาสตร์แล้ว จีนคือหนึ่งในประเทศที่มีแนวโน้มที่จะเกิดสงครามและความขัดแย้งมากที่สุด ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก ที่พวกเขาถูกบังคับให้ก้มหน้าและใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็เพราะว่าสถานการณ์ที่เข้มงวด แดนมนุษย์กำลังซื้อเวลาและดำเนินชีวิตอย่างเฉื่อยชา แต่ยมโลก… ที่นี่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีกฏห้ามไม่ให้พวกเขาแสดงความคิดของตัวเอง !

ความต้องการแก้แค้นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในแดนมนุษย์ ! พวกเขาต้องการปกครองโลกใต้พิภพทั้งหมด !

ช่างน่าทึ่งเหลือเกินที่แดนมนุษย์และโลกใต้พิภพนั้นคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้

“เอาล่ะ” ฉินเย่พยักหน้าอย่างพอใจ “ข้าดีใจที่พวกเจ้าทั้งหมดต่างมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะพัฒนายมโลก รัฐบาลของเราจะไม่ทำให้พวกเจ้าผิดหวัง”

“สำหรับตอนนี้ พวกเจ้าคงเข้าใจแล้วว่ายมโลกนั้นไม่ได้เหมือนกับแดนมนุษย์ มันอาจจะมีสิ่งที่คล้ายกันบ้าง แต่มันก็แตกต่างกันเช่นกัน พวกเจ้าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความแตกต่างพวกนี้มากขึ้นเมื่อกระทรวงศึกษาธิการเริ่มทำงาน แต่สำหรับตอนนี้ สิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องรู้ก็คือยมโลกมีมหาสมบัติพื้นฐานอยู่ทั้งสิ้นสามชิ้น ตราบใดที่พวกเราสามารถรวบรวมมหาสมบัติพื้นฐานทั้งสามชิ้นกลับคืนมาได้ ข้ารับรองเลยว่าจะไม่มีผู้ใดกล้ามาท้าทายยมโลกอีก !”

“วันนี้ พวกเราจะทำการอัญเชิญหนึ่งในมหาสมบัติพื้นฐานทั้งสาม สมุดแห่งความเป็นตายมาสู่ยมโลกแห่งใหม่ กระจกส่องกรรม !”

ทันทีที่เขาเอ่ยจบ แสงสว่างจ้าก็พุ่งออกมาจากด้านบนสุดของประตูนรก และสมุดโบราณที่มีคำว่า ‘สมุดแห่งความเป็นตาย’ เขียนเอาไว้ที่หน้าปกก็ค่อย ๆ ลอยออกมาจากลำแสงนั้น

หลังจากนั้นไม่นาน สมุดที่มีขนาดหนึ่งฟุตก็กางออกกลางอากาศ พลิกไปมาด้วยตัวของมันเอง จากนั้น รายชื่อสีทองมากมายก็เริ่มลอยออกมาจากสมุดในรูปของผีเสื้อที่บินไปในอากาศก่อนจะกลายเป็นดอกบัวที่จางหายไปในความมืด เห็นได้ชัดว่ามันคือวัตถุหยินระดับสูงและดูเหมือนจะมีพลังมหาศาลจนไม่อาจหยั่งถึง

ฟึ่บ… ระลอกคลื่นสีทองกวาดไปทั่วดินแดนขณะที่วิญญาณจำนวนมากมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง นี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นให้เห็นในแดนมนุษย์ ผีเสื้อที่บินออกมา ดอกบัวสีทองปรากฏขึ้นโดยปราศจากที่มาที่ไป และหมอกสีทองที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ร่างเงาของผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากปรากฏขึ้นและจางหายไปอย่างไม่หยุด ในขณะที่รายชื่อมากมายยังคงลอยออกมาเรื่อย ๆ

“พระเจ้า…” หยินเซี่ยงหนานครางออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทาขณะที่เงยหน้ามองฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย วิญญาณทั้งหมดที่อยู่โดยรอบต่างมีสีหน้าตกตะลึงฉายชัดอยู่บนหน้า ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ไม่ต่างอะไรกับเรื่องที่เล่าต่อกันมาเลยสักนิด !

“นั่นมัน… เหลือเชื่อเกินไปแล้ว…”

“มหาสมบัติ ? สมุดแห่งความเป็นตายคือมหาสมบัติของยมโลกจริง ๆ! มันไม่ใช่เรื่องโกหก !”

“นี่มันน่าทึ่งมาก… ใครจะไปคิดว่าสมุดแห่งความเป็นตายที่พวกเรามักจะเห็นในโทรทัศน์…จะแสดงพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้าของเราแบบนี้…”

ไม่มีใครมีร่องรอยของความสงสัยเลยแม้แต่น้อย

การแสดงอำนาจและพลังของสมุดแห่งความเป็นตายปกคลุมไปทั่วยมโลก ไม่ว่าแสงสีทองจะถ่ายผ่านไปที่ใด เหล่าวิญญาณจะรู้สึกราวกับมีดวงตาที่มองไม่เห็นกำลังจ้องทะลุจิตวิญญาณของพวกเขา เปิดเผยบุญกรรมที่พวกเขาได้ทำมาในชาติภพทั้งสิบก่อนหน้า…

แต่มันก็ไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัวเช่นกัน

แสงอันอบอุ่นของสมุดแห่งความเป็นตายทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกตนกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของผู้เป็นแม่ นึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชาติที่ผ่านมา

เสียงฉินเย่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง “ตำนานได้กล่าวเอาไว้ว่าโลกนี้ถูกปกครองด้วยหนังสือสามเล่ม หนังสือของสวรรค์ซึ่งคือสมุดของเหล่าเทพ หนังสือของผืนดินซึ่งคือตำนานภูผามหาสมุทร และหนังสือของมนุษย์ซึ่งก็คือสมุดแห่งความเป็นตาย ข้าขอยืนยันเลยว่าสมุดแห่งความเป็นตายนั้นมีพลังที่เหนือจินตนาการ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า สัตว์ มนุษย์ อสูรศักดิ์สิทธิ์ ปีศาจ ภูตผี หรือแม้แต่ผู้ที่สาบสูญไปแล้วเนื่องจากการดำเนินไปของเวลา ทั้งหมดยังคงมีชีวิตอยู่ในบันทึกของสมุดเล่มนี้”

“ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตที่เคยเกิดและเติบโตในพื้นที่ 9,600,000 ตารางกิโลเมตรของแผ่นดินจีน ทั้งหมดก็จะถูกบันทึกรายชื่อไว้ในสมุดแห่งความตายทั้งสิ้น ในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะถูกบันทึกเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถ… ถูกอัญเชิญมาได้ด้วย”

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “และตอนนี้ยมโลกแห่งใหม่ก็จะแสดงพลังของมันโดยการอัญเชิญหนึ่งในห้ากองทัพไร้เทียมทานที่เคยปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์จีน ทัพเกราะทมิฬ ออกมา ! พวกเขาจะเป็นหนึ่งในเสาหลักที่แข็งแกร่งที่สุดในการป้องกันยมโลก… อรากษส !”

“รับทราบ” โดยไม่เว้นช่วง อาร์ทิสรีบประสานมือเป็นสัญลักษณ์มากมาย มันซับซ้อนและใช้เวลาหลายนาทีกว่าที่นางจะทำเสร็จ แต่ถึงกระนั้น ทุกการเคลื่อนไหวของนางกลับทำให้ทั่วทั้งบริเวณสั่นไหวอย่างรุนแรง

ครืนนน… กลุ่มก้องพลังหยินจำนวนมากเริ่มพุ่งมาบรรจบกันบนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนพลังหยินขนาดใหญ่ที่ส่องสว่างด้วยลูกไฟนรกขำนวนมากที่ลอยอยู่ด้านใน สมุดแห่งความตายเองก็เริ่มพลิกหน้ากระดาษไปพร้อมกับสัญลักษณ์ที่ถูกทำขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป รายชื่อและร่างเงาที่ลอยออกมาจากสมุดแห่งความตายก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น จับต้องได้มากขึ้น… และเปลี่ยนไปมากขึ้น

ตอนแรกมันเริ่มต้นด้วยกลุ่มคนจากสมัยราชวงศ์ชิง ร่างเงาของชายและหญิงจำนวนมากที่ดูเหมือนจะถักเปียยาวปรากฏขึ้น พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่มีอิทธิพลและความสำคัญในยุคสมัยของตนเอง บางคนสวมเสื้อผ้าลายสก๊อตในขณะที่คนอื่น ๆ สวมผ้าโพกศีรษะสีแดงเข้ม แต่เมื่อหน้ากระดาษยังคงพลิกกลับไป ร่างเงาและรายชื่อทั้งหมดก็ค่อย ๆ หายไปราวกับเม็ดทราย

ต่อไป… ก็เป็นราชวงศ์หมิง จากนั้นก็ตามมาด้วยราชวงศ์หยวน เพียงไปนาน ร่างเงาของม้าศึกจำนวนมากก็กลายเป็นเพียงเม็ดทราย… เมื่อมาถึงราชวงศ์ซ่ง ดาบสีทอง ม้าศึกและกองกำลังมากมายก็ปรากฏขึ้น จนสุดท้าย… หน้าสมุดก็หยุดลงที่หน้าของรายชื่อสมัยราชวงศ์ถัง

ไม่มีวิญญาณตนใดกะพริบตาขณะที่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ ภาพที่กำลังเกิดขึ้นนั้นน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิกที่พวกเขาเคยดูเสียอีก คนทั้งหมดยังคงอ้าปากค้างขณะที่จ้องมองไปยังท้องฟ้าสีดำที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นผืนผ้าใบสำหรับการสำแดงพลังที่ยิ่งใหญ่ของสมุดแห่งความเป็นตาย ทันใดนั้นอาร์ทิสก็ประกบมือเข้าด้วยกันและเอ่ยออกมา “ก้าวข้ามวัฏจักรแห่งความเป็นและความตาย วิญญาณผู้กล้าหวนกลับ !!”

ฟึ่บ ! หน้ากระดาษของสมุดแห่งความเป็นตายที่พลิกอยู่หยุดลง และความว่างเปล่าเบื้องหน้าพลันสั่นไหว จากนั้นรายชื่อจำนวนนับไม่ถ้วนก็เริ่มปรากฏขึ้นก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ตัวสมุดเริ่มเปล่งแสงสีทองที่สุกใสมากยิ่งขึ้น หลังจากผ่านไปไม่นาน สมุดแห่งความเป็นตายทั้งเล่มก็เปล่งแสงสีทองที่สว่างไปทั่วทั้งยมโลก !

“เชี่ย !”

“อะไร ?! นี่มันเรื่องบ้าอะไร ?!”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?!”

วิญญาณแต่ละตนยมมือขึ้นปิดตาและปิดหน้าของตนขณะที่สายลมกระโชกแรงพัดผ่านไปทั่วทั้งดินแดน สมุดแห่งความเป็นตายลอยอยู่บนท้องฟ้าราวกับดวงอาทิตย์ ทั่วทุกมุมของยมโลกถูกปกคลุมไปด้วยประกายแสงสุกใส ยิ่งเวลาผ่านไป แสงดังกล่าวก็ยิ่งสว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง… แม้แต่สมุดแห่งความเป็นตายก็ถูกมันกลืนกินไปจนหมด

ซูตงเซวี่ยยกมือปิดตา “มหาสมบัติพื้นฐานได้กลับมาสู่ที่ ๆ ควรแล้ว…” ผิวหน้าของหมิงชีหยินเป็นประกายขณะที่มันสะท้อนความรุ่งโรจน์และความงดงามของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ “ภาพนี้… คือสิ่งที่แม้แต่ข้าก็ไม่ได้เห็นมานานนับพันปี…”

“ในที่สุด… ยมโลกก็เข้าสู่ก้าวแรกในการเริ่มฟื้นฟู ควบคุมวัฏจักรแห่งความเป็นและความตาย ทำหน้าที่เป็นประตูสู่การกลับชาติไปเกิดใหม่…”

ตู้ม ! แสงสว่างบนท้องฟ้ามาถึงจุดสูงสุดในที่สุด ก่อนที่มันจะดับไปอย่างรวดเร็ว หยินเซี่ยงหนานมองผ่านช่องระหว่างนิ้วของตนและมองไปรอบ ๆ

เหล่าประชากรคนอื่น ๆ เองก็เช่นกัน ท้องฟ้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเด็กหนุ่มมองลงมาที่ประตูนรก เขาก็แทบจะร้องออกมาด้วยความตกตะลึง

และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น วิญญาณตนอื่น ๆ ที่ลืมตาขึ้นมาต่างก็จ้องไปที่ประตูนรกด้วยความตกใจ

“พระเจ้า !! นะ นะ นี่มันอะไร ?!”

“ทะ ทหารวิญญาณ… ทหารวิญญาณใช่ไหม ?! นะ นะ นี่คือการปรากฏตัวของทหารวิญญาณแบบที่เราเคยเห็นในโทรทัศน์ ?!”

“บ้าน่า… นะ นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ ?!”

เสียงร้องด้วยความประหลาดใจดังออกมาในฝูงชนราวกับกระแสน้ำที่วุ่นวายและบ้าคลั่ง ในขณะนั้นเสาแห่งแสงก็ปะทุออกมาจากประตูนรกราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เปล่งแสงสว่างไปทั่วทั้งดินแดน หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที ทุกคนก็พบว่าตอนนี้มีสมุดโบราณเล่มหนึ่งตั้งอยู่เหนือหมิงชีหยิน หมุนไปรอบ ๆ ช้า ๆ ภายในเสาแห่งแสงขณะที่รายชื่อมากมายยังคงหลั่งไหลออกมาจากหน้ากระดาษราวกับน้ำพุ !

สายพลังสีทองกระจายตัวไปทั่วท้องฟ้าที่มืดมิด ส่องสว่างและสร้างความตกตะลึงให้กับวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ด้านล่าง

ไม่เพียงเท่านั้น วินาทีต่อมา รายชื่อที่ไหลอยู่ในสายพลังดังกล่าวก็พุ่งไปที่ร่างของฉินเย่อย่างรวดเร็ว ล้อมรอบร่างของเขาด้วยลูกบอลรายชื่อสีทอง และเสี้ยววินาทีต่อมา พลังหยินที่รุนแรงก็เริ่มก่อตัวขึ้นก่อนจะกลายเป็นชุดเกราะสีดำจำนวนมากที่ลอยอยู่กลางอากาศ !

ชุดเกราะพวกนี้ไม่ใช่ชุดเกราะธรรมดา แม้ว่าพวกมันดูเหมือนจะมีรอยแตก แต่มันก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้เกิดจากการผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพ กลับกัน พวกมันได้รับความเสียหายพวกนี้มาจากการเข้าร่วมสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน

ในความเป็นจริง หากลองสังเกตดี ๆ พวกเขาก็จะมาเห็นคราบเลือดแห้งกรังที่เกาะอยู่ที่ชุดเกราะสีดำเหล่านี้ รัศมีแห่งความดุร้ายและจิตสังหารที่รุนแรงที่แผ่ออกมานั้นชัดเจน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าผู้ที่เคยสวมเกราะพวกนี้จะต้องเป็นกองกำลังที่ไม่มีผู้ใดเทียบชั้นได้ เหล่าผู้มีฝีมือในหมู่ผู้มีฝีมืออีกที !

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา

เคร้ง… วิญญาณทั้งหมดต่างได้ยินเสียงโลกทัศน์ของพวกเขาพังทลายลงอีกครั้ง

แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะตกตะลึง เพราะทันทีที่ชุดเกราะดังกล่าวก่อตัวขึ้น พวกเขาก็มองเห็นเปลวไฟนรกสองดวงที่ลุกโชนขึ้นภายใต้หมวกนักรบของชุดเกราะแต่ละชุด

ชุดเกราะทั้งหมดมีชีวิตขึ้นมาในทันที พวกเขามองมือของตัวเองก่อนจะหันไปมองฉินเย่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางพวกตน วินาทีต่อมา ชุดเกราะทั้งหมดก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ทัพเกราะทมิฬตอบรับต่อคำเรียกของจักรพรรดิฉินและน้อมรับคำสั่งของเจ้าเหนือหัวองค์ใหม่ ! ชีวิตนี้เพื่อยมโลก !”

ทัพเกราะทมิฬ… ทัพเกราะทมิฬจริง ๆ!

เหล่าประชากรวิญญาณด้านล่างรู้สึกเหมือนพวกเขาเห็นดวงเต็มไปหมด และภายในหัวก็ตื้อด้วยความตกตะลึง

ในอดีต ชาวจีนเคยถูกเรียกว่าชาวถัง หรือชาวฮั่น

ทั้งราชวงศ์ถังและราชวงศ์ฮั่นต่างเป็นตัวแทนของยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของจีน พวกเขาเป็นเหล่าผู้ที่ทำให้แผ่นดินจีนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

มีใครไม่รู้จักทัพเกราะทมิฬแห่งราชวงศ์ถังอันยิ่งใหญ่บ้าง ? มีใครไม่รู้บ้างว่าพวกเขาคือกลุ่มกองกำลังชั้นยอดที่เก่งที่สุดในราชวงศ์ถัง ? มันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าทัพเกราะทมิฬเป็นหนึ่งในกองกำลังที่ทรงพลังมากที่สุดตลอดกาล !

ผู้ใดจะไปคิดว่ากองกำลังในตำนานนั้นจะมาปรากฏตัวต่อหน้าของพวกเขา !

แถมอีกฝ่ายยังปฏิญาณตนว่าจะปกป้องยมโลกแห่งใหม่ด้วยชีวิตอีก !

ยังต้องกลัวอะไรอีก ?

พวกเขายังต้องกลัวอะไรอยู่อีก ?

วิญญาณทั้งหมดรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจเมื่อได้เห็นการปรากฏตัวของทัพเกราะทมิฬ แต่มันก็ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีก่อนที่คลื่นความตื่นเต้นจะแพร่กระจายไปในใจของพวกเขา ซึ่งในไม่ช้าก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ !

“ท่านจ้าวนรกจงเจริญ !”

“ท่านจ้าวนรกจงเจริญ !”

“ยมโลกจงเจริญ !!”

“เยี่ยมไปเลย ! ด้วยกองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ปกป้องเรา มาดูกันว่าต่อไปนี้จะมีผู้ใดกล้าหาเรื่องเราอีก !”

“ทัพทมิฬแห่งราชวงศ์ถัง ! เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! พระเจ้า ข้าขนลุกไปหมดแล้ว !”

นี่เป็นการกลับมาอีกครั้งของตำนานแห่งยุคสมัยในอดีต

มันอยู่เหนือกาลเวลาและสถานที่

ยมโลกกำลังพุ่งทะยานขึ้นด้วยความเจริญเติบโตและความรุ่งโรจน์ และการปรากฏตัวของทัพเกราะทมิฬก็เป็นเหมือนกับกองกำลังป้องกันที่ทำให้ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้นต่อการรุกรานของกองกำลังภายนอก

เพราะอย่างไรแล้ว อาณาจักรจะไม่มีทางรู้สึกปลอดภัยหากปราศจากกองกำลังที่ยิ่งใหญ่

“ทัพเกราะทมิฬ… นี่มันทัพเกราะทมิฬจริง ๆ!” ศาสตราจารย์หลี่และศาสตราจารย์อันเอ่ยออกมาพร้อมกับ

แม้แต่เปลวไฟในดวงตาของโนบูนางะเองก็วูบไหวอย่างบ้าคลั่งเมื่อเขาเห็นกองกำลังทหารวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้า เขาแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

ทัพเกราะทมิฬ ! นี่คือทัพเกราะทมิฬแห่งราชวงศ์ถังอย่างไม่ต้องสงสัย !

ทหารวิญญาณแต่ละตนมีความสูงประมาณสองเมตร สวมทับด้วยชุดเกราะสีดำและผูกผ้าสีแดง แบกดาบเล่มใหญ่ไว้ข้างเอว นี่… คือกองกำลังชั้นยอดที่ปรากฏตัวอยู่ในจุดสูงสุดของราชวงศ์ถัง !

และกองทัพตรงหน้านี้ก็จะอยู่ภายใต้การบัญชาการของเขา ! อีกฝ่ายจะกลายเป็นกำลังรบหลักของยมโลกแห่งใหม่ กองกำลังที่ฟาดฟันและกำจัดปัญหาทั้งหมดก่อนที่มันจะหยั่งราก !

โอกาสเช่นนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่หากเขาตัดสินใจที่จะสวามิภักดิ์ต่อโลกใต้พิภพของญี่ปุ่น ?

“ดูเหมือนข้าจะคิดถูกแล้วที่ติดตามชายผู้นี้…” โนบูนางะข่มความรู้สึกตื่นเต้นภายในใจของตนขณะที่มองฉินเย่ด้วยแววตาล้ำลึก จากนั้นจึงหันไปมองทางทิศตะวันออกด้วยประกายจิตสังหารที่วาวโรจน์อยู่ในดวงตา

“อิซานามิ… ในขณะที่ยังมีชีวิต ข้าต้องการรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่ง และเมื่อตายไปแล้ว ข้าก็ต้องการวิญญาณภายในเมืองใต้พิภพ รอข้าก่อน… ข้ามั่นใจว่ามันจะใช้เวลาไม่เกินสองหรือสามทศวรรษก่อนที่ข้าจะนำกองทัพไปเด็ดหัวเจ้าด้วยตัวของข้าเอง !”

“ญี่ปุ่นสามารถมีจักรพรรดิได้เพียงแค่องค์เดียวเท่านั้น และนั่นก็ต้องเป็นข้า ราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 !”

[1] นี่น่าจะหมายถึงความเจ็บปวดที่จีนได้รับจากสงครามฝิ่นทั้งสองครั้งและอื่น ๆ

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

Status: Ongoing
ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset