ทั้งสองวิ่งหอบแฮกๆ ขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน จากนั้นจี้ซูก็พูดว่า “นายลากฉันมาทำไมเนี่ย ฉันยังดูไม่เสร็จเลย”
เป๋ยเจี่ยนกลุ้มใจเล็กน้อย จี้ซูเหมือนเด็กมาก ไม่รู้จักอายบ้าง
“ไม่มีอะไรน่าดูหรอกครับ แค่ทะเลาะกันเฉยๆ”
จี้ซูฮึดฮัด “ไม่ได้ทะเลาะกันแล้วสักหน่อย ฉันอยากจะรู้ว่าคนอย่างพี่จะง้อผู้หญิงยังไง เพราะนายคนเดียวเลยที่ทำให้ฉันอดดู”
เธอพูดไป เอามือจิ้มอกของเป๋ยเจี่ยนไป
เขายืนนิ่งไม่ได้ขยับหนี “เอาล่ะๆ กลับไปพักผ่อนเถอะครับ”
“น่าเบื่อ!”
พูดจบเธอก็เดินฟึดฟัดออกไป ทางที่เธอเดินทั้งมืดทั้งหนาว แถมเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอเพิ่งหกล้มไป เป๋ยเจี่ยนคิดได้ดังนั้นก็ไม่สบาย จึงเดินตามไปด้วย
เขาเป็นคนพูดน้อย
อยู่ที่บ้านจี้มาตั้งนาน
จี้ซูจึงรู้จักเขาดี เธอเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เย็นลง จากนั้นก็หันหน้าไปมองเป๋ยเจี่ยน จากนั้นก็จ้องไปที่หูแดงๆของเขา “มีอะไรเหรอครับ?”
“เปล่า” จี้ซูมองเขาด้วยตาเป็นประกาย “แค่อยู่ๆก็รู้สึกว่านายโตแล้ว”
“คุณหนูครับ ผมแก่กว่าคุณสามปี”
“อ่อ ดูไม่ออก”
เขารู้ดีว่าเธอเป็นพวกชอบทะเล้นแลละหยอกล้อ จึงไม่ได้ไปต่อปากต่อคำกับเธอ
จี้ซูเดินไปต่อ ทันใดนั้นก็หยุด จากนั้นหันมามองเป๋ยเจี่ยนและถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เป๋ยเจี่ยน นานแค่ไหนแล้วที่นายไม่ได้เจอครอบครัว?”
เขาอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เรื่องพวกนี้ค่อนข้างเซนซิทีฟสำหรับเขา จะหยิบยกหรือพูดขึ้นมามั่วๆไม่ได้
แต่เป๋ยเจี่ยนก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาก้มหน้าลง และค่อยๆเดิน
จี้ซูรับรู้ถึงบรรยากาศ จึงทำตัวไม่ถูก เธอยิ้มแหยๆออกมา “ฉันก็แค่ถามไถ่ดูน่ะ นายคิดถึงพวกเขาไหม?”
“คิดถึงครับ” เป๋ยเจี่ยนไม่ได้เดินไปข้างหน้าต่อ ในที่แห่งนี้ ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ไหน ก็ไม่ใช่ปลายทางของเขา “คิดถึงมาโดยตลอด”
ตั้งแต่ครอบครัวของเขาได้ล้มหายตายจากไป ก็ไม่เคยมีสักวันที่เขาจะไม่คิดถึง
ตอนนั้นเป๋ยเจี่ยนยังไม่ถึงสิบขวบ พ่อแม่เขาทิ้งไป และคนของบ้านจี้ก็มารับเลี้ยงเขา
ผ่านมาไม่ถึงอาทิตย์ ข่าวสองผัวเมียฆ่าตัวตายก็ได้ยินมาถึงหูเขา ตอนนั้นแม่ของจี้ผิงโจวกอดและปลอบเขาว่า “เจี่ยน ต่อไปก็อยู่กับน้านะ อยู่เล่นกับโจวโจวกับน้องนะ ดีไหม?”
เขารู้ว่าเขาไม่มีพ่อและแม่แล้ว แต่ก็พยายามข่มอารมณ์พยักหน้าตอบรับไป
ถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว
เขาก็ค่อยๆยอมรับโชคชะตาของเขาแล้ว
ตอนกลางคืนหิมะหยุดตกแล้ว แต่พอถึงตอนเช้าหิมะก็ตกลงมาใหม่ พื้นรอบๆขาวโพลน นุ่มนิ่มแล้วราวกับสายไหม แค่เป่าเบาๆก็ทำให้ปลิวลอยไปได้
ฟ้าสว่างแล้ว เหอเจิงก็เดินขึ้นตึกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ช่วงเวลาที่อยู่บ้านตระกูลจี้มา
ทุกๆเช้าเธอจะต้องเตรียมอาหารเช้าไว้ให้จี้ผิงโจว
เพราะแบบนี้ทำให้เธอชินกับการตื่นเช้า แม้ว่าเธอจะอยากนอนต่อแค่ไหน แต่ก็นอนไม่หลับ
ขณะที่เธอเดินลงมา ก็เจอกับพี่เฉินพอดี
มองเห็นเหอเจิง สายตาท่าทางเหมือนมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูด แต่ก็ไม่กล้าพูด
แต่เมื่อเห็นว่าเหอเจิงไม่พูด เธอเองก็ไม่ได้ถาม
เมื่อนั่งลง เธอก็รินนมและยื่นให้เหอเจิง “ดื่มอะไรก่อนค่ะ ทานโจ๊กหรือขนมปังคะ?”
“อะไรก็ได้ ไม่ต้องอะไรมากค่ะ”
“โอเคค่ะ”
เธอรู้สึกสงสารเหอเจิงมาก ที่เป็นแบบนี้
เหอเจิงจัดการนมที่อยู่ตรงหน้า ไม่นานพี่เฉินก็ยกขนมปังและไข่มาให้ ตอนที่ยกมาให้ขอบตาของเธอดูแดงๆ เธอรู้สึกว่าถ้าไม่พูดออกมาคงไม่ได้แล้ว
“เหอเจิง ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณนิดหน่อยค่ะ”
คนใช้ของบ้านจี้ค่อนข้างที่จะเฉยเมยและไม่สนใจเหอเจิง
ทุกคนต่างก็เรียกเธอว่าคุณฟาง
มีแต่พี่เฉินเท่านั้น ที่บางครั้งจะเรียกชื่อของเหอเจิงเลย ให้ความรู้สึกสนิทสนม
“มีอะไรเหรอ?”
พี่เฉินอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปดูว่าจี้ผิงโจวมาหรือยัง เมื่อเห็นว่าเขายังไม่มา จึงรีบบอกว่า “คุณปู่บอกให้คุณไปที่นั่นคืนนี้ค่ะ พาคนในครอบครัวคุณไปด้วย พี่ชายคุณก้ได้”
“คุยเรื่องหย่าเหรอ?”
เธอถามตรงไปตรงมา
จนทำให้พี่เฉินอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาพูดต่อว่า “จริงๆแล้วคุณกับโจวโจวอยู่ด้วยกันแล้วมาก ดีจนไม่น่าจะมาหย่ากันได้ ถ้าคุณไม่อยากหย่า โจโจวก็ยอมที่จะไปสู้กับบ้านของคุณปู่นะคะ”
“พี่เฉิน” เหอเจิงกล่าว จากนั้นก็วางมือบบนโต๊ะ เธอยิ้มออกมาและพูดว่า “อันนี้หอมจัง ฉันอยากกิน”
อยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่อง ทำให้พี่เฉินถึงกับงง อันนี้ พร้อมกับตักแยมที่ถืออยู่ในมือออกมา “อันนี้เหรอคะ?”
“ใช่ ฉันขอลองหน่อย”
พูดจบ เธอก็อ้าปากกว้าง
น้อยมากที่จะเห็นเธอทำแบบนี้
พี่เฉินขำเบาๆก่อนจะตักแยมใส่ปากเธอ รสชาติเปรี้ยวๆหวานๆของมัน กลมกล่อมและอร่อยมาก แต่ผ่านไปไม่ถึงสองวิ เธอก็อ้วกออกมา
เธออ้วกใส่ที่รองจาน จากนั้นก็หยิบที่รองทิ้งลงถังขยะไป
เธอรีบดื่มน้ำตาม เพื่อลบล้างรสชาตนั้น
พี่เฉินตกใจมาก และไม่ได้ทาแยมบนขนมปังต่อ “เป็นอะไรไปคะ ไม่อร่อยเหรอ? เปรี้ยวไปเหรอ? ไม่น่าจะเป็นไปได้ ฉันเพิ่งทำเอง”
แถมข้างนอกยังมีหิมะตก เป็นไปไม่ได้ที่มันจะบูด
แต่พอเหอเจิงได้ลองกินเข้าไป ก็ไม่ชอบรสชาตของมันอย่างแรง เธอบ้วนปากหลายต่อหลายครั้ง เพื่อลบรสชาตของมัน
เธอยิ้มขำๆและบอกว่า “ไม่ได้เสียหรอก แค่ฉันไม่ชอบ”
เหมือนตอนแต่งงาน แม้ของๆนั้นยังไม่เสียมาก แต่เธอก็รับรสชาตมันไม่ไหวแล้ว
ถึงแม้คนภายนอกอาจจะมองว่ามันยังไปต่อได้อีก
แต่เธอรู้ดีว่าเธอไปต่อไม่ได้
พี่เฉินเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดก็เข้าใจ “เหอเจิง ฉันรู้ดีว่าไม่กี่ปีมานี้คุณลำบากมา””
“เปล่า” เหอเจิงยังคงล้อเล่นต่อ “แต่อย่างไรซะก็ต้องขอบคุณเธอ ที่คอยดูแลฉันมา”
ต่อไปเธอไม่อยู่แล้ว
บ้านนี้ก็คงจะมีนายหญิงคนใหม่เข้ามา และคงจะมีฐานะทางบ้านที่ดีกว่าเธอ อีกทั้งต้องเป็นคนที่หน้าตาในสังคมแน่ๆ
และตัวตนของเธอ ในฐานะภรรยาของจี้ผิงโจว ก็จะค่อยๆหายไป
พวกต้นไม้ตกแต่งต่างๆที่ตึกเหนือนี้ เหอเจิงเป็นคนจัดและแต่งเองกับมือ ต่อไปเธอไม่อยู่แล้ว ก็คงจะมีคนมาจัดการแทนเธอ
และเธอก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร
พี่เฉินอยากจะคุยกับเธอต่ออีกสักหน่อย แต่จี้ผิงโจวก็เดินลงมาพอดี จากนั้นเขาก็พูดเสียงเหมือนคัดจมูกว่า “ฉันไม่ทานนะ มีประชุม”
“ไม่สบายเหรอคะ?”
จากนั้นเขาก็เดินไปมองหน้าเหอเจิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนหน้าหนี
“ไม่มีอะไรมาก ไปทานยาที่โรงพยาบาลก็พอแล้ว”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ พี่เฉินก็วางใจ และในขณะที่เธอกำลังจะหันไปพูดกับเหอเจิง ว่าให้ไปส่งจี้ผิงโจว ก็เห็นเธอกำลังนั่งเขี่ยนโจ๊กด้วยท่าทีเบื่อหน่าย พี่เฉินจึงตัดสินใจไม่พูดอะไรออกมา
ถ้าคืนนี้ราบรื่น ทั้งสองคงได้หย่ากันจริงๆแล้ว
จึงไม่ต้องทำท่าทีอ่อนโยนและเป็นห่วงใดๆต่อกันแล้ว