ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1069 ไล่ล่า

แม้ทั้งร่างของเหลิ่งเหมิงจะถูกเยือกแข็ง แต่สองตายังทอประกายเย็นเยียบ อีกทั้งเวลานี้บนร่างยังปรากฏแสงสีเลือดชั้นหนึ่งออกมาเลือนราง ธงผืนใหญ่สีเลือดเหนือศีรษะทอแสงสีเลือดเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดอยู่พักหนึ่ง

เมื่อแสงสีเลือดไหลวน ผลึกน้ำแข็งสีฟ้าที่ปกคลุมอยู่ด้านบนก็ปรากฏรอยปริที่เล็กจนแทบมองไม่เห็นทีละเส้น แล้วลามออกไปด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า

บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าเห็นสถานการณ์เช่นนี้ย่อมหน้าถอดสี จากนั้นกัดฟัน แสงสีดำสว่างขึ้นในมือ ยันต์สีดำขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งปรากฏออกมา

เขาทำหน้าตัดใจไม่ลงอยู่ชั่วครู่ แต่หลังจากมุมปากก็กระตุกวูบหนึ่ง ในที่สุดก็เผยสีหน้าตัดสินใจได้

ปากท่องมนตร์แผ่วเบาพร้อมสะบัดมือ ยันต์สีดำกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งไปถึงข้างกายเหลิ่งเหมิง

“ปุ้ง” ยันต์ระเบิด คลื่นสั่นสะเทือนล่องหนชั้นหนึ่งแผ่ออกมาล้อมอาณาเขตสิบกว่าจั้งรอบด้านไว้ด้านใน

ทุกสิ่งในขอบเขตที่ยันต์ล้อมอยู่หยุดนิ่งในพริบตา นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดยิ่งนัก แม้แสงสีเลือดบนร่างของเหลิ่งเหมิงยังอยู่ แต่นับจากนาทีนี้มันกลับไม่ขยับแม้แต่นิด

แสงสีแดงบนธงจิตวิญญาณสีเลือดก็เช่นกัน รอยแตกที่แผ่ไม่หยุดบนผิวผลึกน้ำแข็งฉับพลันหยุดทันใดด้วย

“นี่มันยันต์อะไรกัน เหมือนจะผนึกมิติบริเวณหนึ่งได้! หากไม่มีพลังมากพอจะทำลายมิติออกมา ชั่วครู่ชั่วยามคงอย่าได้คิดออกมาจากด้านใน…” หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างออกไปถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกตะลึงจนตาหวิดจะถลนออกมา

ยันต์กักขังที่มหัศจรรย์เช่นนี้ แม้แต่ในตำราเก่าแก่ของนิกายยอดบริสุทธิ์ เขาก็ไม่เคยอ่านพบมาก่อน

หลังจากบุรุษร่างยักษ์ชุดสีฟ้าทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น สีหน้าก็ผ่อนคลายลงทันที แสงเรืองรองสีฟ้าโผล่ออกมาใต้ร่างยกตัวเขาลอยขึ้นเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

เหลิ่งเหมิงถูกขังอยู่ที่เดิม สองตานิ่งไม่ขยับ เบิ่งตามองบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าเหาะจากไป แววตาบ้าคลั่งปรากฏขึ้นเลือนรางลึกลงไปในดวงตา

ในตอนนี้เองหลิ่วหมิงที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งด้านหลังเหลิ่งเหมิงพลันกลายเป็นเงาสีน้ำเงินอ่อนสายหนึ่ง เหาะออกจากด้านหลังศิลายักษ์ อ้อมหลบสายตาของเหลิ่งเหมิงไล่ตามไปยังทิศที่บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าหนีไป

บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าหนีพ้นเขารกร้างแห่งนี้ก็กลายเป็นลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

ตลอดทางเขาไม่กล้าหย่อนความระวังแม้แ ต่น้อย หากมีลมพัดหญ้าไหวแม้แต่นิดในระยะร้อยลี้เขาก็จะเปลี่ยนทิศทางทันที

เปลี่ยนทิศทางหลายครั้งหลายหนเช่นนี้จนเหาะออกมาไกลหลายพันลี้ เขาจึงร่อนลงบนหุบเขาชันที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาแห่งหนึ่งใกล้ๆ หุบเขาสิ้นสูญ

บุรุษร่างยักษ์เพิ่งจะร่อนลงพื้นก็หอบหายใจแผ่วเบาทันที จิตสัมผัสกวาดไปรอบด้าน เมื่อพบว่าปลอดภัยจึงดีดนิ้วระรัว แสงสีฟ้าหลายสายทยอยร่วงลงรอบด้านวางค่ายกลชั้นจำกัดง่ายๆ อันหนึ่งขึ้นมา

เมื่อทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น บุรุษร่างยักษ์ถึงพรูลมหายใจออกมา เขาพลิกมือเรียกโอสถสีฟ้าครามเม็ดหนึ่งออกมากิน หลังจากโคจรพลังเวทกระจายฤทธิ์ยา สีหน้าจึงดีขึ้นอยู่บ้าง

ในตอนนี้เองแสงกระบี่สีเทาสายหนึ่งพลันดีดออกมาจากกองหินระเกะระกะซึ่งอยู่ห่างไปสามสิบกว่าจั้ง แล้วพุ่งแทงบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าอย่างเร็วจี๋

ชั้นจำกัดที่บุรุษร่างยักษ์วางไว้พริบตาเดียวก็ถูกแสงกระบี่โจมตีพังทลายดังกึกก้อง

บุรุษร่างยักษ์ถูกลอบเล่นงานซ้ำหลายครั้งย่อมเป็นนกตื่นธนูอยู่ก่อนแล้ว เวลานี้เห็นการโจมตีที่โผล่มากะทันหันนี้จึงไม่สนใจภาพลักษณ์ กลิ้งตัวกับพื้นหนีออกไปสิบกว่าจั้งประหนึ่งปลาว่ายน้ำทันที

“เปรี้ยง!”

เงากระบี่สีเทาสายหนึ่งแทงเข้าไปในพื้นตรงที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะระเบิดจนกลายเป็นหลุมยักษ์

แม้บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าจะหลบได้ว่องไว แต่แขนข้างซ้ายก็ยังถูกเสี้ยวแสงกระบี่หลังระเบิดฟันเป็นแผลเส้นหนึ่ง เลือดไหลรินออกมาอย่างรวดเร็ว

“ผู้ใด กล้าลอบโจมตีข้า จงออกมารับความตาย!”

เพียงครู่เดียวบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าก็เหาะขึ้นฟ้า เรียกร่มยักษ์สีขาวคันหนึ่งออกมาปกป้องร่างกายไว้ ปากตวาดเสียงเหี้ยม ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองไปรอบด้านอย่างเร็วไว สีหน้าตกตะลึงยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้า

ผลปรากฏว่าทันทีที่กระบี่บินสีเทาเล่มนั้นโจมตีพลาดเป้าก็เลี้ยวอย่างว่องไว พุ่งเข้าใส่บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าอีกครั้ง แสงส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง มันพลันกลายเป็นเงากระบี่สีเทาขมุกขมัวมากมายถี่ยิบนับไม่ถ้วนล้อมเข้ามามืดฟ้ามัวดิน

บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าแผ่จิตสัมผัสนานแล้ว แต่สัมผัสตำแหน่งเจ้าของกระบี่บินสีเทาเล่มนี้ไม่ได้ เมื่อเห็นเงากระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งเร็วรี่เข้ามาอีกครั้ง เขาจึงได้แต่โบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งควบคุมร่มสีขาวเหนือศีรษะให้เข้าไปประจันหน้า

เงากระบี่นับไม่ถ้วนแทงลงบนร่มสีขาว โจมตีผิวร่มจนส่องสว่างวูบวาบ สั่นไหวอย่างต่อเนื่อง

ร่มสีขาวคันนี้เป็นเพียงต้นแบบอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง พลังด้อยกว่าอาวุธยมโลกมุกเหมันต์สลัวอยู่ไกลนัก แต่ตอนนี้มุกล้ำค่าระเบิดตัวเองไปแล้ว ตอนนี้บุรุษร่างยักษ์จึงได้แต่ใช้ร่มสีขาวคันนี้ป้องกันศัตรู

เมื่อเงากระบี่ร่วงลงมา พลังมหาศาลสายแล้วสายเล่าพลันส่งผ่านผิวร่มยักษ์สีขาวมายังร่าง ทำให้หลานซวี่ผู้พลังปราณเสียหายหนักอยู่แล้ว สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวสลับไปมาอยู่พักหนึ่ง แต่ยังดีที่ในที่สุดก็ต้านไว้ได้อย่างหวุดหวิด

หลังจากเงากระบี่สีเทานับไม่ถ้วนโจมตีอย่างบ้าคลั่งแต่ไร้ผลลัพธ์อยู่พักหนึ่ง แสงสีเทาก็กะพริบวูบหนึ่งแล้วพากันพุ่งถอยกลับไปทันที

บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้ารู้สึกว่าร่างกายได้พักวูบหนึ่งจึงยินดียิ่ง คิดจะเรียกอาวุธเวทป้องกันออกมาอีกชิ้นหนึ่งเพื่อซื้อโอกาสพักหายใจต่ออีกนิด

ทว่าเงากระบี่สีเทาที่อยู่ไกลๆ กลับส่งเสียงดังกังวาน พริบตาเดียวผสานรวมกันเป็นหนึ่งกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเทาขนาดสิบกว่าจั้งเล่มหนึ่งฟันลงมาหาบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันนี้ด้านหลังบุรุษร่างยักษ์พลันมีเสียงอสนีบาตดังขึ้น แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า แสงสีม่วงสว่างวูบหนึ่งก่อนจะกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีม่วง บนผิวมีอสรพิษอสนีบาตรายล้อมส่งเสียงเปรี๊ยะดังสนั่น

อึดใจต่อมากระบี่ยักษ์สีเทาเล่มหนึ่งกับสีม่วงเล่มหนึ่งก็ฟันตัดกันประหนึ่งกรรไกร ฟันเข้าใส่ร่มยักษ์สีขาวพร้อมกัน

เสียงผืนผ้าฉีกขาดดังขึ้น ร่มยักษ์สีขาวถูกสะบั้นขาดในพริบตา

“ฟึบ!”

เงาคนสีฟ้าร่างหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากใต้กระบี่ยักษ์สองเล่ม บุรุษร่างยักษชุดฟ้านั่นเอง แขนข้างหนึ่งถูกฟันขาดเสมอไหล่ เลือดทะลักออกมาจากหัวไหล่

บุรุษร่างยักษ์สีหน้าซีดเผือดยิ่งนัก เขาไม่สนใจบาดแผลบนร่างแม้แต่น้อย ปากท่องมนตร์อย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงสีฟ้าดวงหนึ่งลอยออกมาจากทุกตำแหน่งบนร่างล้อมร่างกายของเขาไว้แล้วเหาะไปไกลอย่างรวดเร็ว

ดูจากทิศทางนั่น เขามุ่งหน้าไปด้านในหุบเขาสิ้นสูญ!

เสียงแหวกอากาศดังขึ้นครั้งหนึ่ง เงาคนสีน้ำเงินร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากพื้นดินห่างร้อยจั้ง หลิ่วหมิงนั่นเอง

เพราะเขากริ่งเกรงว่าอีกฝ่ายจะมียันต์ผนึกมิติชนิดนั้นอีก ดังนั้นตั้งแต่เริ่มแรกจึงไม่ปรากฏตัว เดิมคิดว่าจะอาศัยกระบี่บินสองเล่มจัดการอีกฝ่ายได้ แต่สุดท้ายก็พลาดไปก้าวหนึ่งไม่สำเร็จดังหวัง ตอนนี้จึงใช้วิชาขี่กระบี่ไล่ตาม

พริบตาที่บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าเหาะเข้าไปในหุบเขาสิ้นสูญ เพลิงสีฟ้าก็ลุกโหมหุ้มทั่วร่าง แต่สีหน้ากลับค่อยๆ แดงระเรื่อ ลำแสงเร็วขึ้นเรื่อยๆ ดิ่งลงไปยังหุบเขาสิ้นสูญ

หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยจนลำแสงชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไล่ตามเข้าไปเช่นเดียวกัน

จากคำพูดของเหลิ่งเหมิง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าที่ตัวบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าตนนี้จะมีของบรรณาการที่เมืองหานสุ่ยจะมอบแด่ราชายมโลก ตอนนี้คนผู้นี้กำลังอ่อนแอ เสียพลังเวทไปมาก โอกาสดีเช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมปล่อยผ่าน

นอกจากนี้ปราณสิ้นสูญที่อยู่ในหุบเขาสิ้นสูญ แม้จะอันตรายต่อเผ่ายมโลกและเผ่าภูตผียิ่งนัก แต่เขาเป็นเผ่ามนุษย์ น่าจะไม่เป็นอุปสรรคมาก

ปรากฏว่าทันทีที่เข้าไปในหุบเขาสิ้นสูญ หลิ่วหมิงก็สัมผัสได้ทันทีถึงความแตกต่างของสถานที่แห่งนี้

ด้านในหุบเขาอันเวิ้งว้างมีปราณยมโลกอยู่น้อยยิ่งนัก แต่มีลมปราณอย่างอื่นหลายชนิดปะปนกันยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง

เวลานี้หลิ่วหมิงไม่มีเวลาขบคิดมากนัก มือทำท่าเคล็ดกระบี่ ปีกเนื้อสีเงินโผล่ออกมาบนแผ่นหลัง ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกเกือบครึ่ง ย่นระยะห่างเข้าไปใกล้บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าผู้มีเปลวเพลิงสีฟ้าลุกโชนรอบร่างหันกลับมามองแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าร้อนรนทันที

เมื่อครู่เขาใช้วิชาต้องห้ามของเผ่ายมโลกอย่างไม่เสียดาย แผดเผาอายุขัยไปไม่น้อยกว่าจะฝืนฟื้นพลังเวทไม่น้อยคืนมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ อีกทั้งเพื่อสลัดอีกฝ่ายเขายังเสี่ยงอันตรายหนีเข้ามาในเขตอันตรายอย่างหุบเขาสิ้นสูญ

ใครจะคิดว่าคนด้านหลังจะกล้าตามเข้ามา

ตอนนี้มุกเหมันต์สลัวอาวุธยมโลกของเขาระเบิดตัวเองไปแล้ว แม้ที่ตัวจะยังมีอาวุธอยู่อีกชิ้นสองชิ้น แต่เมื่อนึกถึงพลังของกระบี่ยักษ์สองเล่มนั้นเมื่อครู่ ในใจก็ยังหวาดผวา เขาทบทวนแล้วว่าต่อให้เรียกอาวุธทั้งหมดออกมาก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานได้

สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือเมื่อกวาดจิตสัมผัสไปหาอีกฝ่าย เขากลับพบว่าไม่อาจสัมผัสระดับพลังของอีกฝ่ายได้

เขาขบคิดเร็วจี๋แล้วกระตุ้นเคล็ดวิชาที่มือ ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วนทันที ต่อจากนั้นก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศ พยายามสุดกำลังไม่ให้แสงกระบี่ด้านหลังไล่ตามทัน

ทั้งสองคนเหาะเร็วปานสายฟ้าอยู่ในหุบเขาสิ้นสูญ พริบตาเดียวก็เหาะผ่านมาหลายพันลี้เข้าไปลึกในหุบเขาสิ้นสูญมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าจะเลี้ยวเปลี่ยนทางนับร้อยหน แต่ก็ยังถูกหลิ่วหมิงผู้ขี่กระบี่และเรียกปีกเนื้อสีเงินออกมาไล่ตามมาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เขาเลี้ยวเปลี่ยนทิศอ้อมยอดเขาสูงชันสีดำมืดลูกหนึ่ง แล้วพบว่าตรงกลางระหว่างยอดเขาสองลูกเบื้องหน้ามีหุบเขาชันมืดสลัวแห่งหนึ่งที่มีเสียงน้ำไหลดังเลือนรางออกมาจากด้านใน

บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าเห็นเช่นนี้พลันดีใจยิ่งนัก

วิชาที่เขาฝึกคือวิชาธาตุน้ำ หากในหุบเขาชันมีธารน้ำใต้ดิน เขาย่อมดำดิ่งลงไปแล้วอาศัยวิชาหลบหนีผ่านสายน้ำสลัดการไล่ล่าเบื้องหลังไปได้

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขากลายเป็นแสงมืดหม่นสีฟ้าสายหนึ่งเหาะพรวดเข้าไปในหุบเขาชัน

เวลานี้หลิ่วหมิงที่ไล่ตามมาเห็นการกระทำของบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าเข้าก็ร้อนรนทันที

หากปล่อยให้บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าผู้นี้หลบลงไปในธารน้ำใต้ดินได้จริง แม้เขามีเคล็ดวิชาเกราะอสูรที่เชี่ยวชาญการล่องสายน้ำสนับสนุนก็ไม่แน่ว่าจะสังหารคนผู้นี้ได้ เขาเพิ่มพลังเวททันที กระบี่บินสีเทาใต้เท้ามีแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมาล้อมรอบร่างจนกลายเป็นแสงกระบี่สีเทาเส้นหนึ่ง เหาะตามบุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าเข้าไปในหุบเขาชันอย่างติดๆ

ทันทีที่เข้ามาในหุบเขา หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าอากาศรอบด้านสั่นไหว แรงดึงดูดไร้ที่มาเล่นงานร่างกายของเขา อาศัยพลังเวทในตอนนี้ของเขา ร่างกายสะท้านวูบหนึ่งก็ดิ่งลงไปทิศหนึ่งของหุบเขาชันอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้

เขาตกตะลึง แต่ยังไม่ทันตอบสนองอย่างใด เบื้องหน้าก็พลันมืดสนิท เมื่อแสงสว่างกลับคืนมาอีกครั้ง ทิวทัศน์รอบด้านก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! ยังมีหุบเขาชันที่ไหนอีก เขามาปรากฏตัวในห้องศิลามหึมาขนาดร้อยกว่าจั้งแห่งหนึ่งแล้ว

“หุบเขาชันแห่งนั้นเมื่อครู่เป็นวิชามายา แล้วยังเป็นชั้นจำกัดอันยอดเยี่ยมอย่างยิ่งด้วย!”

มาจนถึงตอนนี้ ไหนเลยหลิ่วหมิงจะยังไม่เข้าใจว่าตนเองล่วงล้ำเข้ามาในชั้นจำกัดประหลาดอันหนึ่งของหุบเขาสิ้นสูญอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว

ไกลออกไปหลายสิบจั้งเบื้องหน้า บุรุษร่างยักษ์ชุดฟ้าก็ตาโตอ้าปากค้างยืนอยู่ที่เดิมเช่นกัน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ
Status: Ongoing
เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset