ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 61 การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง

ตอนที่ 61 การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งสองลง เขาไม่ได้เหาะลงไปในทันทีแต่กลับวนเวียนอยู่รอบปีศาจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกระตุกแขน โซ่ตรวนวิญญาณตวัดออกไปจากมือ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ทำท่ามือไปด้วย

แสงสีดำกะพริบออกมาจากโซ่ตรวนวิญญาณ จากนั้นมันพันตัวแมงป่องกระดูกขาวอย่างแน่นหนา ราวๆ เจ็ดถึงแปดรอบ

หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์สีเหลืองอ่อนสี่ผืนปรากฏออกมา เขาส่งพลังเวทเข้าไปในนั้นแล้วกระตุกข้อมืออีกครั้ง

เสียงดัง “ฟิ้ว!”

ยันต์ทั้งสี่ผืนมีแค่ผืนเดียวที่กลายเป็นอักขระพุ่งลงด้านล่าง พอมันแวบผ่านไปแล้วก็ปรากฏแจ่มชัดอยู่บนหัวของแมงป่องกระดูกขาวราวกับว่ามันถูกสลักอยู่ที่นั่น

ร่างของแมงป่องกระดูกขาวค่อยๆ สั่นไหว แล้วก็สงบแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวอีก

“เจ้าคนขายปลิ้นปล้อน!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับตำหนิในใจไปหนึ่งประโยค

ตอนแรกศิษย์ผู้ที่ขายยันต์นี้ยืนกรานว่ายันต์ทุกผืนนั้นใช้การได้หมด แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาในตอนนี้คืออะไร

โชคดีที่เขาซื้อมาหลายผืนมิเช่นนั้นคงแย่แน่นอน

แต่เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็เหมือนจะวางใจได้ในที่สุด เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวบังคับเมฆให้ลอยลงห่างจากแมงป่องกระดูขาวจั้งกว่าๆ และเดินเข้าไปหามัน

ทันใดนั้น เข็มทิศหยินบนมือเขาก็ส่งเสียงดัง “หวึ่งๆ”

หลิ่วหมิงชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ครู่เดียวมือข้างที่สอดอยู่ใต้แขนเสื้อก็ยื่นออกมา มือเขาจับหน้าไม้สีเขียวขนาดเล็กยาวครึ่งฉื่อไว้มั่น บนนั้นยังมีลูกดอกสีแดงที่ติดตั้งไว้ก่อนแล้วสามดอก จากนั้นพุ่งยิงไปยังแมงป่องกระดูกขาวอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!”

พอลูกดอกทั้งสามปะทะโดนตัวแมงป่องกระดูกขาว ดอกหนึ่งดีดตัวออก อีกสองดอกกลับระเบิดออกมากลายเป็นเปลวไฟอันคุโชน

เปลวไฟเหล่านี้เป็นสีขาว ไม่เหมือนกับวิชากระสุนไฟที่หลิ่วหมิงใช้

เสียงร้องแปลกประหลาดดังขึ้น!

แมงป่องกระดูกขาวที่เดิมทีดูนิ่งสงบไม่ขยับเขยื้อน ตอนนี้กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากเปลวไฟ ในขณะเดียวกันหางตะขอของมันเพียงแค่สั่นเล็กน้อยแล้วก็กลายเป็นเส้นสีดำพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง

แต่ตอนนี้หลิ่วหมิง ได้ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์อย่างโล่สามดาวกันไว้ก่อนแล้ว เส้นสีดำที่กะพริบลงบนโล่แสงแค่ทำให้หลิ่วหมิงถอยหลังไปสองก้าว แล้วมันก็เก็บคืนกลับไป โดยที่หลิ่วหมิงไม่เป็นอะไรเลย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ตกใจอย่างใด แต่กลับดีใจเสียมากกว่า

เขาใช้พลังเวทไม่ค่อยมากในการประคองโล่แสงที่ยังอยู่ด้านหน้า และเก็บเข็มทิศหยินเข้าไป จากนั้นหยิบลูกดอกสีแดงออกจากตัวสามดอกวางไว้บนหน้าไม้อย่างรวดเร็ว และยิงพุ่งออกไปอีกครั้ง

ครั้งนี้กลับมีแค่ดอกเดียวที่ระเบิดอกมา

หลิ่วหมิงตำหนิขึ้นในใจอีกครั้ง แต่มือก็ยังหยิบลูกดอกออกมายิงเข้าใส่แมงป่องกระดูกขาวอย่างต่อเนื่อง

จนเขาใช้ลูกดอกยิงสุริยันบนมือหมดไปทั้งสิบสามดอก อักขระบนหัวของแมงป่องกระดูกขาวก็กะพริบอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดมันก็ไม่สามารถขยับตัวได้อีก แม้กระทั่งเปลวไฟสีเขียวตรงเบ้าตาทั้งสองของมันก็กลายเป็นสีดำมืด

แต่โซ่ตรวนวิญญาณที่มัดอยู่แต่เดิมนั้น เกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาเห็นได้ชัดว่าเสียหายไปไม่น้อย

สีหน้าของหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ก็ยังหลงเหลือพลังอันน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้

แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อแมงป่องกระดูกขาวใช้พลังสุดท้ายจนหมด ความหวังที่เขาจะทำให้ปีศาจตนนี้ยอมศิโรราบก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองในสิบส่วน

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และเก็บโล่แสงเข้าไป มือข้างหนึ่งคว้าผ่านอากาศไปยังแมงป่องกระดูกขาว

ปลายด้านหนึ่งของโซ่ตรวนวิญญาณก็ยกตัวขึ้นมา แล้วกลับมาอยู่บนมือเขาอย่างแม่นยำ

หลิ่วหมิงยกมันขึ้นมา จากนั้นร่ายคาถาแล้วแสดงวิชาทะยานเวหาเหาะขึ้นฟ้าไป

ครั้งนี้เขาเหาะไปไกลแค่ไม่กี่ลี้แล้วหาที่ตรงกลางภูเขาเล็กๆ สองลูก ที่ค่อนข้างอำพรางตัวได้ดี และเหาะลงไปบนนั้น

ด้วยพลังเวทของเขาตอนนี้ ไม่สามารถเหาะไปได้ไกลมากนัก และเมื่อพลังเวทในตัวแห้งเหือด วิธีการต่างๆ ก็ใช้จนหมดสิ้น ถ้าต้องพบเจอปีศาจตนอื่นอีกเกรงว่าจะทำได้แค่ประจันบาญเท่านั้น

หลิ่วหมิงหยิบน้ำเต้าสีดำออกมาอย่างรีบร้อน หลังวาดวงกลมล้อมรอบตัวเองและแมงป่องกระดูกขาวแล้ว เขาก็รีบนั่งขัดสมาธิลงไปทันที

ครั้งนี้เขาสูญเสียพลังเวทไปมากกว่าครั้งที่เผชิญกับฝูงผึ้งปีศาจมาก ด้วยเหตุนี้พอเขานั่งขัดสมาธิลงพลังปราณที่อยู่รอบๆ กับปราณหยินก็ซึมเข้าไปในร่างเขาอย่างรวดเร็ว

ชั่วครู่เดียวจิตของหลิ่วหมิงก็เข้าดำดิ่งสู่สมาธิ

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาถึงได้ลืมตาทั้งสองขี้นอีกครั้ง พลังเวทภายในร่างก็ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่แล้ว

หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืน ขยับแขนขาครู่หนึ่ง แล้วมองไปยังแมงป่องกระดูกขาวที่อยู่ในวงกลมอีกวง

ปีศาจตนนี้ยังคงถูกผูกมัดอย่างแน่นหนา ดูเหมือนว่าระหว่างที่เขาทำสมาธิฟื้นฟูพลังเวท มันก็ไม่ได้ดิ้นรนอะไรเลย

แน่นอนว่าปีศาจตนนี้ไม่มีพลังที่จะต่อต้านแล้วจริงๆ เปลวไฟสีเขียวในดวงตาก็ติดๆ ดับๆ อยู่อย่างนั้น

หลิ่วหมิงไม่กล้าถ่วงเวลาอีกต่อไป หยิบขวดเคลือบสีขาวใบหนึ่งออกมาจากอก และใช้โลหิตสีดำกลิ่นแสบจมูกที่บรรจุอยู่ในขวดนั้น วาดวงกลมขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิมวงหนึ่ง แล้วทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งชี้ผ่านอากาศไปยังปีศาจตนนั้น

โซ่ดำค่อยๆ กะพริบ ปลายด้านหนึ่งยืดขนาดยาวขึ้นและเล็กลงกว่าเดิม แล้วพันรอบตัวปีศาจสิบกว่ารอบ จากนั้นก็พับหางตะขอสีดำของมันลงมามัดติดกับลำตัวไว้

ทำเช่นนี้แล้ว เขาถึงเดินไปนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามันอย่างวางใจ

เสียงร่ายคาถาดังขึ้น!

ไอดำม้วนตัวออกมาจากร่างของหลิ่วหมิง ขณะเดียวกันอักขระสีเทาก็ปรากฏบนร่างของเขา และขยับไปมาไม่หยุด

เขายกแขนขึ้น ฝ่ามือทั้งสองวางอยู่บนหัวของแมงป่องกระดูกขาว

อักขระสีเทาพรั่งพรูออกจากตัวเขาราวกับเจออาหารรสชาติถูกปาก แล้วค่อยๆ จมหายเข้าในหัวของแมงป่องกระดูกขาว

ร่างของแมงป่องกระดูกขาวค่อยๆ สั่นไหว ในที่สุดมันก็ดิ้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ด้วยสภาพของมันในตอนนี้ย่อมไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย เขาจึงไม่ค่อยใส่ใจมากนัก

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ผ่านไปชั่วครู่สีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมา

แมงป่องกระดูกขาวตนนี้สมกับเป็นปีศาจระดับขุนพล ถึงแม้จะอ่อนแรงถึงเพียงนี้ จิตของมันก็ยังคงต่อต้านอานุภาพสั่นสะเทือนสยบจิตของวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ และไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังดูเหมือนจะยิ่งต่อต้านรุนแรงมากขึ้น

หลิ่วหมิงแอบตกใจ แต่ก็ยังมุ่งมั่นกระตุ้นวิชาสื่อสารจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด

ในเมื่อแมงป่องกระดูกขาวแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าหัวมันจะโดนบีบจนระเบิดออกมาเหมือนปีศาจระดับต่ำสามตนก่อนหน้านั้น เขาจึงสามารถลงไม้ลงมือได้มากกว่านี้

พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา

อักขระก็ยังคงพรั่งพรูออกมาจากร่างของหลิ่วหมิงไม่หยุด และพลังจิตที่ต่อต้านของแมงป่องกระดูกขาวก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ไม่มีเค้าว่าจะอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย

ทั้งสอง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน

ตอนนี้หลิ่วหมิงกลับไม่กังวลแต่อย่างใด ด้วยพลังเวทที่มีอย่างเต็มเปี่ยมต่อให้ต้องกระตุ้นวิชาสื่อสารวิญญาณครึ่งค่อนวันก็ไม่มีปัญหา เขาสามารถค่อยๆ ทำให้จิตของปีศาจตนนี้อ่อนลงได้

ในตอนที่เขากำลังมีแผนอยู่ในใจนั้น ทันใดนั้นร่างเขาก็สั่นระริก แสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดออกมา

เกือบจะในเวลาเดียวกัน พลังเวทในร่างเขาก็เดือดพล่านขึ้นมา ทะเลจิตวิญญาณหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง พลันปรากฏฟองอากาศวาววับขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร

พอฟองอากาศนี้ปรากฏออกมา ก็ค่อยๆ สั่นไหวกลืนกินพลังเวทของเขาราวกับว่ามันเป็นหลุมดำในอวกาศ

พริบตาเดียว พลังเวทจองหลิวหมิงก็ลดฮวบลงไปเป็นอย่างมาก

ความรู้สึกแปลกประหลาดอันคุ้นเคยนี้ ทำให้หลิ่วหมิงตกใจจนวิญญาณเกือบจะหลุดลอย เขารีบขยับแขน คิดที่ดึงมือทั้งสองที่อยู่บนหัวแมงป่องกระดูกขาวกลับมา เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้

แต่ออกแรงไปสองครั้ง ก็ค้นพบว่าพลังดึงดูดบางอย่างได้ดูดมือของเขาไว้ ทำให้นิ้วทั้งสิบไม่สามารถดึงออกมาจากหัวของแมงป่องกระดูกขาวได้

นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกหวาดผวามากขึ้นกว่าเดิม

แต่สติปัญญาเขาสูงกว่าคนทั่วไป หลังลองดึงมือออกอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จก็เลยตัดสินใจไม่สนใจมือทั้งสองแล้ว แต่นำพาพลังจิตเข้าไปในร่าง พยายามทำให้พลังเวทที่เดือดพล่านอยู่สงบลง เจ้าฟองอากาศแปลกประหลาดนี้จะได้กลืนกินพลังเวทของเขาได้ช้าลงหน่อย

เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปในพริบตา!

ไอดำบนร่างเขาเหลืออยู่บางเบาแล้ว พลังเวทในร่างก็เหลือแค่ประมาณหนึ่งในสิบส่วน แต่ฟองอากาศตรงทะเลจิตวิญญาณก็ยังคงไม่ลดการกลืนกินแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามันกลืนกินไวกว่าครั้งนั้นหลายเท่านัก

ตอนนี้เขารู้สึกลนลานเป็นอย่างมาก

เพราะรู้ว่าตอนนี้พลังเวทของเขาถูกกลืนกินไปมากกว่าครั้งก่อนแล้ว

ที่น่าเสียดายก็คือ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่ดี แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้มันกลืนกินพลังเวทของเขาได้ เขาได้มองดูพลังเวทที่ค่อยๆ ถูกมันกลืนกินจนหมด

ต่อมาหลิ่วหมิงหดตัวลงในทันที เขารู้สึกแค่ว่ามีสิ่งของบางอย่างหลุดออกจากภายในร่างเขา และกลายเป็นความร้อนไหลซ่านไปทั่งสรรพางค์กาย และถูกฟองอากาศกลืนกินเข้าไป

และเกือบจะในเวลาเดียวกัน นิ้วทั้งสิบของเขาก็ค่อยๆ สั่นสะท้าน ความร้อนที่ไม่รู้จักได้ไหลมาจากแมงป่องกระดูกขาวด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ความร้อนภายในร่างหลิ่วหมิงที่ถูกกลืนกินอยู่ก็ลดช้าลงกว่าครึ่งหนึ่ง

แต่ในขณะนี้ แมงป่องกระดูกขาวที่เดิมทีนิ่งสงบอยู่ ได้ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดราวกับเป็นเสียงเฮือกสุดท้าย เปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาที่ติดๆ ดับๆ ก็คุโชนขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันตรงหลังของมันก็พ่นหมอกสีเขียวดำออกมา หลังจากที่หมอกเหล่านี้หมุนรวมตัวกันแล้ว ก็เปลี่ยนแปลงเป็นหัวปีศาจสีเขียวดำดูเลือนลางอย่างน่าอัศจรรย์

พอหัวปีศาจปรากฏ มันก็อ้าปากโดยไร้สุ้มเสียง ปราณหยินบริเวณนี้พัดกระพือฮือโหมขึ้นมาแล้วพยายามเข้าไปภายในร่างของแมงป่องกระดูกขาวอย่างสุดชีวิต

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ครู่เดียวก็รับรู้ได้ถึงพลังหนาวเย็นรูปแบบหนึ่งที่ถูกส่งมาจากแมงป่องกระดูกขาว และจมเข้าไปในฟองอากาศอย่างรวดเร็ว

พอพลังรูปแบบที่สามปรากฏออกมา ความร้อนที่หลุดจากร่างของหลิ่วหมิงกับแมงป่องกระดูกขาวก็ยิ่งลดช้า จนกระทั่งถ้าไม่ใช้พลังจิตตอบสนองก็ยากที่จะรับรู้ได้

หลิ่วหมิงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก และคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์นี้จะสิ้นสุดโดยเร็ว

แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือฟองอากาศยังคงกลืนกินอย่างไม่ลดละเลยแม้แต่น้อย

แมงป่องกระดูกขาวก็ยิ่งดูดเอาปราณหยินรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และปราณหยินที่มาจากทั่วทิศก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนบริเวณแถบนี้กลายเป็นก้อนหมอกกลมๆ ขนาดใญ่ที่มีสีดำทะมึน

หลิ่วหมิงสัมผัสได้แม้กระทั่งความหนาวเย็นจนแสบกระดูกที่มาจากหมอกดำ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

มันยังคงเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดฟองอากาศในร่างเขาก็หยุดการกลืนกิน

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset