ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 119 เข็มบิน

ตอนที่ 119 เข็มบิน

“พวกเจ้าอยากตายหรือ!”

หลิ่วหมิงจ้องมองคนทั้งสองและค่อยๆ สบถออกไปด้วยความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลบริเวณหน้าอก

ในสถานการณ์ปกติเขามีเกราะอาญาสิทธิ์ที่นักพรตแซ่จงผู้นั้นมอบให้ ถึงแม้คมวายุเหล่านั้นจะทำลายเกราะเถาวัลย์แต่ก็คงไม่สามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ แต่การถูกโจมตีเมื่อครู่ทำให้พลังเวทย์ของเราถูกรบกวนจนไม่สามารถส่งพลังเวทย์ไปยังเกราะอาญาสิทธิ์ที่สวมอยู่ได้

และเกราะอาญาสิทธิ์ที่ไม่มีพลังเวทย์ก็เป็นได้แค่แผ่นไม้ไผ่เท่านั้น ซึ่งมันไม่มีพลังคุ้มกันแต่อย่างใด ทำให้มันถูกคมวายุเหล่านั้นฟันเข้าอย่างง่ายดาย และยังฟันโดนเนื้อของเขาด้วย

แต่ตอนนี้พลังเวทย์ของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว แค่ส่งพลังเวทย์จำนวนหนึ่งไปยังแผ่นไม้ไผ่ เกราะอาญาสิทธิ์ในส่วนที่ถูกทำลายก็สมานตัวกลับมาเป็นดังเดิมอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันเยือกเย็นของหลิ่วหมิง ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตกับหญิงสาวนิกายวาตอัคคีต่างก็สบตาแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เฮ่อๆ! เจ้าเด็กน้อย ดูเจ้าอายุยังน้อยแต่วาจาไม่เบาเลยนะ คิดจริงๆ หรือว่าที่เจ้าโชคดีหลบการโจมตีเมื่อครู่นี้ได้จะทำให้เจ้ากลายเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้ ถ้าเจ้าไม่อยากตายล่ะก็ รีบมอบของล้ำค่าที่เจ้ามีทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้ ไม่แน่ข้ากับศิษย์น้องอู๋อาจจะใจดีละเว้นชีวิตเจ้าก็เป็นได้” พอร่างชายชุดคลุมสีเลือดสั่นไหวเล็กน้อยก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างศิษย์หญิงนิกายวาตอัคคี พร้อมกับหัวเราะอย่างชั่วร้ายและกล่าวออกมา

“ดูจากอายุของศิษย์น้องแล้วคงจะเพิ่งเข้านิกายได้สามสี่ปีล่ะสิ! ถ้าหากว่าฝึกฝนมาแค่นี้ ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์แค่ไหนก็คงไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มากนัก ก็เหมือนกับที่ศิษย์พี่ซุนกล่าวเมื่อครู่ ที่เจ้าสามารถหลบการโจมตีของพวกข้าทั้งสองได้เป็นเพราะว่าเจ้ามีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วเล็กน้อยเท่านั้น คิดหรือว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้! เจ้าควรจะมอบสิ่งของมาให้พวกข้าซะโดยดี ของล้ำค่ามันสามารถเทียบเจ้าชีวิตเจ้าได้หรือ!” หญิงนิกายวาตอัคคีก็กัดฟันกล่าวออกมา

“พวกเจ้าเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง!”

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งสองลง ทันใดนั้นกระบี่สั้นก็โผล่ขึ้นมาบนมือ หลังจากที่ส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้นแล้วก็สะบัดข้อมือออกไป ปราณกระบี่สีเขียวกระแทกลงไปบนพื้น

เสียงดัง “ฟิ้ว!”

บังเกิดรูขนาดเท่าลูกกำปั้นขึ้นบนพื้น หลังจากมีเสียงร้องแหลมรันทดดังออกมาจากในนั้น โลหิตจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมา

ต่อมาพื้นดินบริเวณนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ อสรพิษดำขนาดยาวหลายฉื่อกระเด็นออกมา บนตัวของมันมีบาดแผลที่เกรอะกรังไปด้วยคราบโลหิตจนดูเหมือนเกือบถูกฟันออกเป็นสองส่วน มันสะบัดหางแล้วพุ่งกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม

แต่หลิ่วหมิงได้เตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว ขณะที่อสรพิษดำปรากฏตัวกระบี่สั้นสีเขียวในมือก็ฟันผ่านอากาศลงไปสองครั้งอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่แสงเย็นสะท้านม้วนตัวผ่านไป อสรพิษดำก็ถูกฟันเป็นสามส่วนตกลงมาบนพื้น พริบตาเดียวโลหิตของอสรพิษดำก็แดงเต็มพื้นไปหมด

“เจ้ากล้าสังหารเจ้าดำของข้า!” ตอนแรกหญิงสาวนิกายวาตอัคคีรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ตะคอกเสียงแหลมด้วยความโมโห

อสรพิษดำตนนี้ดูธรรมดา แต่ความจริงมันเป็นลูกอสรพิษจิตวิญญาณที่มีสายเลือดมังกรแดง ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้หมดไปเท่าไหร่กับการซื้อมันมาจากตลาด ถ้าหากมันถูกคนเลี้ยงดูอย่างดีเป็นเวลาหลายร้อยปี ภายภาคหน้าแม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณก็ไม่อาจมีพลังเทียบมันได้

ด้วยเหตุนี้พอมันถูกสังหารหญิงนางนี้จึงรู้สึกเจ็บปวดจนยากที่จะรับรู้ได้

ชายชุดคลุมสีเลือดที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา

ประจักษ์ชัดว่าเมื่อตอนที่ทั้งสองพูดคล้ายกับเกลี้ยกล่อมนั้น ความจริงแล้วกลับแอบให้อสรพิษดำตัวนี้ซุ่มอยู่ใต้ดินบริเวณนี้แล้ว พวกเขาเตรียมที่จะโจมตีโดยไม่ให้หลิ่วหมิงรู้ตัว และมีชีวิตรอดจากไป

แต่หลิ่วหมิงมีพลังจิตที่แข็งแกร่งบวกกับแมงป่องกระดูกขาวเองก็ชำนาญวิชาหลบหลีกในใต้ดิน ทำให้เขารับรู้ถึงความผิดปกติที่อยู่ใต้ดินได้อย่างรวดเร็ว พออสรพิษดำมุดลงดินบริเวณนั้นได้ไม่กี่จั้งก็ถูกค้นพบเข้าแล้ว เขาจึงชิงลงมือก่อนอย่างไม่ปราณี

เมื่อได้ยินเสียงร้องอันกระหืดกระหอบของหญิงสาวนิกายวาตอัคคี หลิ่วหมิงก็ขี้เกียจที่จะพูดอะไรต่ออีก เขาตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่ห้อยอยู่ตรงเอว แสงสว่างม้วนตัวออกมาจากในนั้น

หลังจากมีเสียงร้องดัง “แกว๊กๆ!” ร่างขนาดยาวหลายจั้งของแมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏออกมาท่ามกลางไอสีม่วงอันพวยพุ่ง พอมันสะบัดหางเสร็จแล้วก็จมหายเข้าไปในดินอย่างรวดเร็ว

“มันคือปีศาจ! ศิษย์น้องอู๋ระวังตัวหน่อย พวกเราร่วมมือกันกำจัดเจ้าเด็กนี้ก่อนค่อยว่ากัน พอไม่มีนายมันแล้วปีศาจตนนี้ก็จะไม่มีอำนาจคุกคามใดๆ” ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตเห็นเช่นนี้ก็ตะโกนออกมาเบาๆ พร้อมกับทำท่ามือร่ายคาถา ไอโลหิตพวยพุ่งออกมาจากชุดคลุมสีเลือด ทำให้ร่างของเขาดูลางเลือนขึ้นมา

หญิงสาวนิกายวาตอัคคีได้ยินเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะเรียกสติจากความเจ็บปวดในการสูญเสียอสูรจิตวิญญาณกลับคืนมาได้ นางใช้สายตาอันดุร้ายจ้องมองหลิ่วหมิงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร่ายคาถาก่อนที่จะโบกสะบัดดาบสั้นสีเขียวในมือ

หลังจากที่มีแสงสีเขียวปรากฏออกมาเป็นจุดๆ แล้ว ก็มีม่านแสงสีเขียวปรากฏออกมาจากร่างของนางนี้ นางค่อยๆ ลอยตัวขึ้นไปจนอยู่สูงจากพื้นเจ็ดแปดจั้ง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการป้องกันการจู่โจมของแมงป่องกระดูกขาวที่อยู่ใต้ดิน

หลังจากที่นางทำท่ามืออีกครั้ง คมวายุแต่ละเส้นก็เริ่มปรากฏออกมาด้านหน้าจนมีราวๆ เจ็ดแปดเส้น

“คมวายุขั้นสมบูรณ์แบบ!”

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ดวงตาก็ค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา แต่เขาก็รีบทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างรวดเร็ว และก็มีคมวายุสีเขียวเจ็ดแปดเส้นปรากฏออกมาด้านหน้าด้วยเช่นกัน

หญิงสาวนิกายวาตอัคคีที่อยู่ไกลออกไปเห็นฉากนี้ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ขณะนี้ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกโลหิตกลับตะโกนออกมาพร้อมกับตวัดดาบยาวสีเลือดในมือ จากนั้นปราณดาบแสงสีเลือดก็ม้วนตัวออกไปหาหลิ่วหมิงด้วยเสียงแหลมรันทด

หญิงสาวนิกายวาตอัคคีเองก็ชี้ดาบสั้นในมือไปทางที่หลิ่วหมิงยืนอยู่ จากนั้นคมวายุเจ็ดแปดเส้นก็พุ่งออกไปด้วยเสียงดังสนั่น

พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อคมวายุตรงหน้าก็พุ่งออกไปด้วยเสียงอันดัง จากนั้นดาบสั้นสีเขียวในมือก็สั่นไหวก่อนที่จะมีปราณกระบี่สายหนึ่งฟันออกไป

ชั่วพริบตาเดียวคมวายุสิบกว่าเส้นก็ปะทะกันกลางอากาศ แต่เมื่อมีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมาจากคมวายุของหญิงสาว คมวายุทั้งหมดของนางก็ถูกฟันจนแตกเป็นชิ้นๆ

คมวายุที่สมบูรณ์เพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็พุ่งไปยังด้านหน้าของนางอย่างรวดเร็ว

นางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่โบกสะบัดดาบสั้นในมือจัดการกับคมวายุที่พุ่งมาทั้งหมดได้แล้ว ก็บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมา!

กระบี่สั้นสีเขียวปะทะเข้ากับปราณดาบแสงสีเลือดอย่างรุนแรง

ลำแสงสีเขียวที่ผสมผเสกันกับแสงสีเลือด มันต่างก็ทำลายกันและกันอย่างไม่หยุดหย่อน และสุดท้ายก็มันแตกระเบิดกระจายออกไปด้วยเสียงอันดัง คลื่นวงกลมขยายตัวออกไปรอบทิศทาง พื้นดินหนาๆ บริเวณนั้นถูกตัดออกไปชั้นหนึ่ง

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกตกใจแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็กระโจนฝ่าคลื่นวงกลมออกไปท่ามกลางไอโลหิต

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก คมวายุสีเขียวเจ็ดแปดเส้นปรากฏขึ้นตรงหน้า พริบตาเดียวมันก็พุ่งไปยังเงาร่างในแสงสีเลือดที่กระโจนเข้ามา

หลังจากมีเสียงดัง “เต๊ง! เต๊ง!” ศิษย์หอสายธารโลหิตตวัดดาบสีเลือดในมืออย่างบ้างคลั่งจนคมวายุทั้งหมดกระเด็นออกไป หลังจากที่เขากระโจนออกไปอีกครั้งก็หยุดฝีเท้าลงตรงที่ที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงเจ็ดแปดจั้ง แต่หลังจากที่ดาบสีเลือดในมือดูเลือนลาง เขาก็ยกมันขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือทั้งสอง ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาบางอย่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ชั่วเวลานั้นไอโลหิตทั้งหมดก็พุ่งเข้าไปยังดาบสีเลือดอย่างบ้าคลั่ง

ดาบที่เดิมทียาวไม่เกินสามฉื่อก็ขยายขนาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นดาบยักษ์แปลกประหลาดที่มีขนาดยาวจั้งกว่าๆ

ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวของชายหนุ่มหอสายธารโลหิตก็แลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก

หญิงสาวที่เพิ่งจะทำลายคมวายุทั้งหมดได้ ก็ไม่ได้โจมตีหลิ่วหมิงในทันที แต่กลับพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาขยี้ยันต์สีขาวในมือจนแตกเป็นจุน ขณะเดียวกันก็ชี้ดาบสั้นสีเขียวในมือไปทางชายหนุ่มหอสายธารโลหิต

แสงสีขาวเปล่งประกายขึ้นบนตัวของชายหนุ่มหอสายธารโลหิต ไอสีขาวเป็นสายๆ พันรอบร่างเขาอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็หนักอึ้งขึ้นมา เขาตวัดกระบี่สั้นในมือโดยไม่ต้องคิด ปราณกระบี่สีเขียวฟันออกไปข้างหน้าอีกครั้ง

และพื้นดินบริเวณที่ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตยืนอยู่นั้น มีก้ามยักษ์สองอันพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เพียงแค่แสงสีขาวเปล่งประกายขึ้นบนร่างเขา ร่างเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสามร่างที่เหมือนกัน

ปราณกระบี่สีเขียวกับก้ามยักษ์ทั้งสองพุ่งผ่านบริเวณขาทั้งสองของเงาที่อยู่ตรงกลาง แต่มันล้วนสัมผัสกับความว่างเปล่า

ขณะเดียวกันเงาร่างทั้งสามก็ฟันดาบยักษ์ในมือเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง

เสียงดัง “ตู้ม!”

เงาร่างสองในสามสลายไปในทันที เงาร่างที่อยู่ทางซ้ายสุดกลับปล่อยแสงสีเลือดเย็นสะท้านออกมาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกมันก็มีเพียงนิดเดียว แต่หลังจากที่มันพร่ามัวก็มีมากมายมหาศาลจนดูราวกับจะมันครอบคลุมไปทั่วฟ้าและปฐพี

หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าแสงสีเลือดสว่างขึ้นตรงด้านหน้าราวกับว่าทั่วท้องฟ้าถูกแสงสีเลือดปิดกั้นไว้ ทำให้เขารู้สึกใจเสียขึ้นมา

ถ้าคนทั่วไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เกรงว่าถ้าไม่ตกใจจนหน้าถอดสี ก็จะรีบถอยหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าที่เฉียบขาด หลังจากที่แผดเสียงยาวออกมาแล้วก็ส่งพลังเวทย์เข้าไปในกระบี่สั้นอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที

หลังจากที่ค่ายกลอักขระสามชั้นกะพริบผ่านไปบนกระบี่สั้น ปราณกระบี่สีเขียวขนาดใหญ่เจ็ดแปดสายก็พุ่งไปยังชายหนุ่มหอสายธารโลหิตที่อยู่ด้านหน้าด้วยเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”

ปราณกระบี่เหล่านี้ดูลางเลือนแล้วก็รวมตัวกันเป็นจันทราสีเขียวดวงหนึ่ง และยังหมุนติ้วๆ พุ่งไปปะทะกับแสงสีเลือดอย่างรุนแรง

เสียงดัง “ครืดๆ!”

หลังจากที่จันทราเขียวปะทะเข้ากับแสงสีเลือดแล้ว ก็บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ทั้งสองสีผสมผเสกันจนดูเป็นน้ำวนสีเขียวแดงขนาดใหญ่ และดูดเอาสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้านเข้าไปในนั้น ทั้งยังทำให้อากาศบริเวณนั้นสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด

ขณะนั้นเองก็มีคลื่นค่อยๆ สั่นไหวตรงด้านหลังของหลิ่วหมิง เงาร่างเลือนลางโผล่ออกมาราวกับปีศาจ

แสงสีเลือดเปล่งประกาย ดาบยาวสีเลือดเล่มหนึ่งค่อยๆ พุ่งมากดลงบนต้นคอของหลิ่วหมิง

เสียงดัง “ฟิ้ว!”

ร่างของหลิ่วหมิงไหวตัวหันกลับไปมองในทันที และหลังจากที่แขนข้างหนึ่งเคลื่อนไหวจนดูลางเลือนก็ดีดนิ้วออกไป ลำแสงสีดำเปล่งประกายขึ้นบนปลายนิ้วราวกับว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งออกไป

บังเกิดเสียงร้องดังอย่างน่าเวทนา!

หลังจากที่เงาร่างตรงหน้าสั่นไหว ดาบยาวสีเลือดบนมือก็ถูกละทิ้งไป มือทั้งสองป้องหน้าพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นฟ้าก่อนที่จะล้มลงไป เขาก็คือชายหนุ่มหอสายธารโลหิตผู้นั้นนั่นเอง

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset