ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 121 พี่น้อง

ตอนที่ 121 พี่น้อง

ด้านบนอากาศเหนือหินละลายอันพวยพุ่ง ต้วนฉานจู่จ้องมองชายหญิงใบหน้าคล้ายกันสองคนที่ขวางอยู่ตรงหน้า สีหน้าเขาซีดขาวผิดปกติ ชุดคลุมยาวบนตัวฉีกขาดรุ่งริ่ง เผยให้เห็นถึงรูปร่างอันผอมแห้งที่มีแถบผ้าสีเหลืองห่อหุ้มอยู่ และยังมีแถบผ้าสิบกว่าเส้นโบกสะบัดอยู่บริเวณนั้นไม่หยุด จนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเกิดเงาของแถบผ้าที่ถักทอกัน

แต่ถึงแม้จะป้องกันได้อย่างเหนียวแน่นเช่นนี้ ต้วนฉานจู่ก็ยังคงกล่าวกับทั้งสองด้วยสีหน้าที่สิ้นหวัง

“พวกเจ้าทั้งสองต้องการจะฆ่าข้าจริงๆ หรือ! ถ้าหากข้าไม่สามารถรอดไปได้จริงๆ ทำไมข้าจะไม่ลากให้พวกเจ้าตายไปด้วยกันเล่า”

“พี่ใหญ่ ท่านได้ยินเสียงสุนัขเห่าหรือยัง! ผู้อ่อนแอก็คือผู้อ่อนแอ ไม่คาดคิดว่าจะกล้าเอาคำพูดเสี่ยงตายมาข่มขู่พวกเรา ตอนแรกกะให้เขาตายอย่างสบายๆ แต่ดูท่าคงจะให้เขาตายง่ายๆ ไม่ได้แล้วล่ะ” หญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หน้าตาแลดูน่ารัก แต่หลังจากที่ยิ้มหวานๆ ให้กับชายที่อยู่ข้างๆ กลับพูดคำพูดที่ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพองออกมา

หญิงนางนี้กับชายที่อยู่ด้านข้างสวมชุดนิกายเดียวกัน

“ฮึ! ตอนนี้ไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าหรอก ในเมื่อคนผู้นี้รู้ความลับของเราก็ไม่อาจให้เขามีชีวิตรอดไปได้ รีบลงมือให้เร็วหน่อย ถ้าหากมีคนผ่านมาจะยุ่งยากกว่าเดิม” ชายหนุ่มรูปงามด้านข้างกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด

“เอาจริงๆ ตั้งแต่จากเผ่ามาก็ไม่ค่อยได้เล่นสนุกกันเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของพี่ใหญ่น้องสาวอย่างข้าก็คงต้องทำตามสินะ” หญิงร่างอรชรทำปากมุ่ยราวกับว่าไม่ค่อยพอใจมากนัก

แต่ต้วนฉานจู่ที่อยู่ตรงข้ามได้ยินคำพูดนี้กลับตัวสั่นเล็กน้อย เขาขยี้ยันต์ผืนหนึ่งที่อยู่ในมือจนแตกกระจายในทันที แสงสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากที่ร่างของเขาขยับไปด้านหลังอย่างรวดเร็วก็กลายเป็นแสงสีเขียวหลบหนีไป”

“คิกๆ! ต่อหน้าพวกข้าสองคนพี่น้อง เจ้ายังคิดจะหนีเหรอ ฝันไปเถอะ!”

พอหญิงร่างอรชรเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะคิกๆ ออกมา

จากนั้นก็มีอักขระสีฟ้าปรากฏออกมาบนหน้าหญิงสาว พอนางบิดตัวก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีฟ้าพุ่งตามไปด้วยความรวดเร็ว เพียงแวบเดียวก็ตามมาเกือบถึงตัวต้วนฉานจู่

ต้วนฉานจู่เห็นเช่นนี้ก็หน้าแดงก่ำไปทั่ว เขาคำรามออกมาโดนฉับพลัน แถบผ้าทั้งหมดบนตัวโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งแล้วก็เปลี่ยนเป็นสีทองจางๆ

บริเวณที่แถบผ้าพัดผ่านบังเกิดเสียงฟิ้วๆ ราวกับมีคมดาบอันน่าสะพรึงกลัวสิบกว่าเล่มฟันลงมาพร้อมกันอยู่ไม่หยุด ทำให้ร่างของต้วนฉานจู่ถูกห่อหุ้มอยู่ในเงาคมดาบสีทองนั้น

แต่หญิงสาวร่างอรชรผู้นี้ทำราวกับไม่เห็บคมดาบเหล่านี้ นางเพียงแค่หัวเราะเบาๆ แล้วก็พุ่งเข้าไปในเงาดาบเหล่านั้น

แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นมา เสียง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ดังขึ้น เงาดาบอย่างน้อยสิบกว่าเส้นฟันผ่านร่างของหญิงสาวร่างอรชรภายในพริบตา

แต่ฉากอันน่าตกใจได้ปรากฏขึ้นแล้ว

ร่างของหญิงอรชรมีแสงสีฟ้าหมุนวนอยู่ไม่หยุด และนางก็ไม่สนใจการโจมตีที่พุ่งเข้าหานางเลย แต่นางก็ไม่ได้รับบาดแผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ต้วนฉานจู่ตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบหยิบดาบสั้นสีเขียวเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และคิดที่จะฟันไปยังด้านหน้า แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

พอร่างของหญิงอรชรดูลางเลือนก็พกพาสายลมอันหอมหวลพัดผ่านมายังหน้าเขา ต้วนฉานจู่แค่รู้สึกว่าดวงตาทั้งสองมืดลง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา

รูเลือดสองแห่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา ลูกตาที่เดิมอยู่ในเบ้าตาถูกหญิงสาวใช้วิธีการที่คาดไม่ถึงควักออกมา

ถึงแม้ต้นฉานจู่จะนับว่าเป็นศิษย์ยอดเยี่ยมของนิกายปีศาจ แต่เมื่อตาทั้งคู่บอดลงเขาก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด เขาทำได้แค่พยายามฟันดาบสั้นในมือออกไปทั่วทิศอย่างบ้าคลั่ง

ปราณดาบแต่ละสายตัดสลับกันไปมาจนทำให้เกิดรอยสีขาวบนพื้นที่บริเวณนั้น

แต่เสียงหัวเราะของหญิงสาวร่างอรชรก็ดังวนอยู่บริเวณนั้นไม่หยุด จนทำให้เขาไม่อาจจับตำแหน่งของฝ่ายตรงข้ามได้

ใจของต้วนฉานจู่ร่วงหล่นลงไปในทันที

“น้องเล็ก เจ้าใช้เวลานานเกินไปแล้ว ช่างเถอะ! ให้ข้าลงมือจัดการเองเถอะ!” ขณะนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงอันเย็นยะเยือกของชายหนุ่มดังเข้ามา

ครู่ต่อมา ต้วนฉานจู่พลันได้ยินเสียงคลื่นขนาดใหญ่ดังขึ้น พลังมหาศาลพุ่งเข้ามาจากทั่วทิศ

แถบผ้าที่พลิ้วไหวอยู่ข้างตัวต้วนฉานจู่เพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย แล้วก็ถูกพลังมหาศาลนี้จู่โจมจนต้องค่อยๆ ถอยกลับไป

เขารู้สึกถึงร่างกายตัวเองที่หนักอึ้งจนแม้แต่นิ้วก็ไม่สามารถกระดิกได้

“พวกเจ้า…”

เขาร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้านราวกับว่าต้องการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนออกมา แต่พออ้าปากก็มีพลังลมปราณกรอกเข้าไปในปากเขาอย่างบ้าคลั่งจนสกัดคำพูดเหล่านั้นไว้

หน้าของต้วนฉานจู่ไม่มีเส้นเลือดเลยแม้แต่น้อย

ในตอนนี้ถ้าหากตาทั้งสองของเขายังมองเห็นล่ะก็ ก็จะสามารถเห็นอย่างชัดเจนว่าอากาศที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกลนั้น หญิงสาวร่างอรชรกำลังทำปากยื่นยืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มนิกายเอกะ

และชายหนุ่มนิกายเอกะกลับใช้สองมือทำท่าในลักษณะโอบล้อมอยู่ ผมยาวเต็มศีรษะสะบัดพลิ้วไหวไปกับสายลม ในขณะเดียวกันใบหน้าอันขาวผ่องเต็มไปด้วยอักขระสีน้ำเงิน ดวงตาทั้งคู่ก็กลายเป็นสีน้ำเงินไปด้วย

อากาศรอบตัวต้วนจานฉู่เต็มไปด้วยคลื่นที่โหมซัดสาดติดต่อกันออกไป และยังมีอักขระสีฟ้าแต่ละตัวพรั่งพรูออกมาอยู่ไม่หยุด

อักขระสีฟ้าเหล่านี้วิ่งวนไปมาล้อมตัวต้วนฉานจู่ไว้ ครู่เดียวมันก็ห่อหุ้มร่างของเขาจนแม้แต่ลมฝนไม่อาจผ่านเข้าไปได้

ชายหนุ่มเห็นสภาพเช่นนี้แสงในดวงตาสีน้ำเงินก็เปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นสองมือที่โอบอุ้มก็รวมกันที่ตรงกลางก่อนที่จะพูดคำว่า “ตาย!” ออกมา

อักขระทั้งหมดรัดตัวต้วนฉานจู่ทันที ร่างของต้วนฉานจู่พองตัวขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็ระเบิดออกมาด้วยเสียงอันดัง

เศษเลือดเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วทิศ ศิษย์นิกายปีศาจผู้นี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

“พี่ใหญ่ วิชาสายน้ำตกของท่านร้ายกาจมากขึ้นทุกวัน ดูเหมือนจะไม่ต้องรอถึงสิบปีก็สามารถกลับไปได้แล้ว” หญิงสาวร่างอรชรเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสออกมา

“น้องเล็ก ไม่ใช่บอกแล้วเหรอว่าไม่ควรพูดเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเผ่าเราในสถานที่แห่งนี้ ก่อนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจ้าไม่ระมัดระวังคำพูด ก็คงไม่ถูกเจ้าเด็กนี่ค้นพบความลับของเราได้ ถ้าหากคนอื่นได้ยินเข้าล่ะก็จะสร้างความยุ่งยากให้พวกเราอีกครั้ง” ชายหนุ่มหยุดแสดงวิชาแล้วขมวดคิ้วกล่าวออกมา ขณะเดียวอักขระสีน้ำเงินบนใบหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ที่นี่ไม่ใช่โลกภายนอกสักหน่อย ทั้งยังเป็นแค่มนุษย์ที่ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น อย่างมากพวกเราก็แค่ฆ่าพวกมันให้หมดก็พอแล้ว” หญิงสาวร่างอรชรเอาลิ้นชมพูเลียริมฝีปากแล้วก็ทำท่าทีไม่ใส่ใจ

“เจ้าพูดเหลวไหล! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเราจะทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ถ้าหากว่ามีแค่เราสองคนที่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้นจะปล่อยพวกเราไปอย่างง่ายดายหรือ ถึงแม้พวกเราจะทานโอสถลับของเผ่ามาตั้งแต่เด็ก ในสถานการณ์ทั่วไปไม่อาจมีคนค้นพบพวกเราได้ แต่ถ้าผู้อาวุโสระดับผลึกของเผ่ามนุษย์ใช้เคล็ดวิชาตรวจสอบล่ะก็ พวกเราก็ไม่อาจแปลกปลอมผ่านด่านไปได้” ชายหนุ่มกล่าวตำหนิด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจน่ะสิ! มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นพบแดนลึกลับตามธรรมชาติแห่งนี้ หรือว่าจะต้องแบ่งของล้ำค่ากับมนุษย์พวกนี้อย่างนอบน้อมอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวร่างอรชรเอียงศีรษะกล่าวอย่างไม่ยอม

“เจ้าลืมแผนการในก่อนหน้านี้แล้วหรือ! ทรัพยากรอื่นๆ ในแดนลึกลับแห่งนี้ก็ให้เผ่ามนุษย์เหล่านี้เอาไปเถอะ แต่ศพของมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณระดับผลึกตนนั้นพวกเราจะต้องชิงมาให้ได้ ขอแค่ได้ศพของมังกรแดงตนนี้มา ก็นับว่าพวกเราได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับเผ่าเราแล้ว ไม่แน่พอถึงเวลานั้นพวกเราอาจจะไม่ต้องอยู่ที่นิกายเอกะอีกต่อไป และอาศัยผลงานนี้กลับไปได้” ในที่สุดชายหนุ่มก็ตอบกลับด้วยอารมณ์ฮึกเหิม

“ถ้าหากสามารถหามังกรแดงตนนี้เจอจริงๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก แต่จะบอกว่าแดนลึกลับแห่งนี้ใหญ่มันก็ไม่ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็ก เพื่อป้องกันความสนใจจากคนอื่นพวกเราก็ไม่อาจแสดงวิชาหลบหลีกของเผ่าเราเพื่อตรวจสอบดูได้ คิดที่จะหามังกรแดงตนนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่จะยอม…” หญิงสาวร่างอรชรพยักหน้า แต่ก็กระพริบตาปริบๆ แสดงท่าทีลังเลออกมา

“ถูกต้อง! ตอนนี้ก็เสียเวลาไปเล็กน้อยแล้ว ดูเหมือนจะต้องใช้ของสิ่งนั้นแล้วล่ะ” ชายหนุ่มได้ยินก็ถอนหายใจเบาๆ ออกมา

“พี่ใหญ่ ท่านคิดดีหรือยัง ของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ท่านจะใช้กระตุ้นเส้นลมปราณตอนที่ทะลวงเขตแดนของเหลวจิตวิญญาณนะ มันเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสตั้งใจมอบให้ท่าน ถ้าหากใช้มันหมดตอนนี้ล่ะก็ ทางเผ่าคงไม่มอบให้เป็นครั้งที่สองอีก” หญิงสาวร่างอรชรได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา

“วางใจเถอะ! ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถึงแม้โลหิตมังกรสมุทรขวดนั้นจะล้ำค่าเป็นอย่างมาก แต่ไหนเลยจะเทียบกับมังกรแดงระดับผลึกตนหนึ่งได้ ขอแค่พวกเราได้ศพมังกรแดงตนนี้มา ก็อาศัยผลงานยิ่งใหญ่นี้แลกกับโลหิตมังกรสมุทรขวดหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว แต่ถ้าเราไม่สามารถคว้าโอกาสอันดีนี้ไปได้ข้าคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต” ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว

“ในเมื่อพี่ใหญ่คิดดีแล้ว น้องสาวอย่างข้าก็ไม่ขัดขวางท่านแล้ว ว่าแต่จะแสดงมันตอนนี้เลยหรือไม่?” หญิงร่างอรชรถอนหายใจกล่าวออกมา

“ชะลอตัวลงชั่งคราวก่อนเถอะ! มังกรแดงตนนั้นบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เป็นไปได้ว่ามันอาจจะอยู่ในเขาใหญ่นี้เพื่ออาศัยพลังปราณอันเข้มข้นรักษาชีวิตของมันไว้ รอเข้าไปข้างในแล้วข้าค่อยแสดงวิชาหาตำแหน่งของมันเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองโลหิตมังกรสมุทรขวดนั้น” ชายหนุ่มกล่าวอย่างมั่นใจ

หญิงสาวร่างอรชรได้ยินเช่นนี้ย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ

ดังนั้นคนทั้งสองจึงค้นเอาผ้าย่อส่วนจากชิ้นเนื้อที่เกือบไหม้เกรียมออกมา จากนั้นก็เคียงไหล่กันเหาะไปยังยอดเขาใหญ่

…….

ตรงปากทางเข้าแดนลึกลับ เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ หลวงจีนหลิงอวี้ และผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นๆ ต่างก็ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินกระตุ้นแผ่นกลมๆ ในมือเพื่อประคองทางเข้าแดนลึกลับให้มั่นคง เตาหลอมสีทองที่อยู่ตรงกลางนั้นก็มีอักขระพรั่งพรูออกมาอยู่ไม่หยุด

“สหายมู่หรง ในเมื่อเจ้ายอมจ่ายค่าตอบแทนมากมายเช่นนี้ เพื่อแลกกับการที่จะให้ศิษย์ในนิกายได้เข้าไปแดนลึกลับ คิดว่าศิษย์ที่นำมาในครั้งนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมากล่ะสิ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่เอ่ยปากถามมู่หรงเซวี่ยนที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาในฉับพลัน

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset