ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 120 เห็ดหลินจือหยก

ตอนที่ 120 เห็ดหลินจือหยก

แต่ตอนนี้ร่างของเขากระตุกอยู่บนพื้นแค่ไม่กี่ครั้งก็ตัวแข็งทื่อแน่นิ่งไป

ทันทีที่หลิ่วหมิงกวักมือไปทางศพก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้น เข็มแหลมเล็กสีเขียวหยกเล่มหนึ่งโผล่แวบออกมา หลังจากที่มันดูลางเลือนแล้วก็จมหายเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย

มันก็คือเข็มเงาหยกเล่มนั้นนั่นเอง!

เดิมทีพลังของชายหนุ่มหอสายธารโลหิตผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด และยังมีเคล็ดวิชาของหอสายธารโลหิตที่ยอดเยี่ยมหลายอย่าง เพียงแต่เขามั่นใจกับการต่อสู้ระยะประชิดของตัวเองมากไป และยังคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงยังมีอาวุธจิตวิญญาณอย่างอื่นอยู่ ซึ่งเป็นอาวุธจิตวิญญาณเข็มบินที่พบเห็นได้น้อยมาก เขาไม่คาดคิดว่าหลิ่วหมิงจะสามารถกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณทั้งสองชิ้นพร้อมกันได้ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเข็มของหลิ่วหมิงทำลายพลังเวทย์ที่คุ้มกาย และมันยังเจาะเข้าไปที่ศีรษะจนเสียชีวิต

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีคนควบคุม แสงสีเลือดบนฟ้าก็ถูกจันทราหยกจัดการจนหมดสิ้น ทุกสิ่งที่อยู่ด้านล่างก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง

พอหญิงสาวนิกายวาตอัคคีเห็นศพของชายหนุ่มก็พลั้งปากร้องออกมาด้วยสีหน้าที่ยากจะเชื่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

มิแปลกที่นางจะเป็นถึงเช่นนี้!

เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตยังตกอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการแสดงวิชาอันยอดเยี่ยมอยู่เลย แต่พริบตาเดียวก็ถูกขัดขวางการแสดงวิชาและกลายเป็นศพไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับได้

แต่ตอนที่หลิ่วหมิงหมุนตัวมองไปยังหญิงสาวสวยหยาดเยิ้มด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกนั้น

หญิงนางนี้ก็หน้าถอดสีขึ้นมา นางหมุนตัวอย่างรวดเร็วราวกับเพิ่งได้สติก่อนที่จะกลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งจากไป

แต่ในตอนนั้นหลิ่วหมิงได้ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองแล้ว หลังจากที่ประกบมือแล้วแยกออกจากกัน ก็บังเกิดคมวายุยักษ์ยาวครึ่งจั้งตรงหน้า

พอสะบัดแขนคมวายุยักษ์ก็กลายเป็นเส้นสีเขียวกะพริบผ่านไป

พอหญิงสาวได้ยินเสียงแหลมดังขึ้นในหูก็รีบสะบัดดาบสั้นออกไปอย่างรุนแรง

เงาดาบสีเขียวยาวจั้งกว่าๆ โผล่ออกมาบังหลังของนางไว้

ครู่ต่อมา หลังจากมีเสียงแตกหักดังขึ้น คมวายุยักษ์ก็ฟันเงาดาบรวมถึงแสงสีเขียวที่คุ้มกายของนางไว้จนขาดออกจากกัน แล้วตัดผ่านไปยังตรงเอวของนาง

นางส่งเสียงร้องแหลมก่อนที่ร่างของนางจะกลายเป็นสองส่วนแล้วร่วงหล่นลงไปบนพื้น

แต่นางก็ยังไม่ได้เสียชีวิตในทันที นางกลับรีบควักยันต์ผืนหนึ่งออกมาจากอกด้วยใบหน้าที่ดุร้าย และเตรียมที่จะบีบมันให้ละเอียดเป็นจุน

แต่ครู่ต่อมาก็มีเสียง “ซู่!” ดังขึ้นมาจากพื้นดินพร้อมกับมีเส้นสีดำพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากที่มันขยับไปมาก็เตรียมที่จะเจาะเข้าไปที่ศีรษะของนาง

ตรงปลายของเส้นสีดำเป็นตะขอดำขลับที่แหลมคมเป็นพิเศษ

ครั้งนี้ปากของนางแค่ขยับไปมาไม่กี่ครั้งแล้วสิ่งของที่อยู่ในมือก็ร่วงลงไปบนพื้น ก่อนที่นางจะคอพับไร้ซึ่งลมหายใจ

ขณะนี้แมงป่องกระดูกขาวที่เพิ่งจะคลานขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณนั้นได้ดึงหางตะขอออกมาจากศพ หลิ่วหมิงเดินเข้ามาหาอย่างไม่รีบร้อน หลังจากที่กวาดสายตามองสิ่งของที่ตกอยู่ข้างศพแล้วก็ยื่นมือข้างหนึ่งดูดมันขึ้นมา

มันคือยันต์สีเขียวอ่อน!

แต่มีอักขระสีแดงจารึกอยู่บนนั้น หลังจากใช้พลังจิตกวาดดูแล้วก็รับรู้ได้ว่ามันแฝงไปด้วยพลังปราณวาตอัคคี ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งของที่หาได้ทั่วไป

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นยันต์โจมตีระดับสูง หลิ่วหมิงจึงเก็บมันไว้กับตัวอย่างไม่เกรงใจ

แมงป่องกระดูกขาวขยับก้ามคีบสิ่งของสองอย่างส่งไปยังด้านข้างหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงมองดูอย่างละเอียดก็ค้นพบว่ามันคือดาบหยกสีเขียวเล่มนั้น แต่ตอนนี้มันได้หักออกเป็นสองท่อนแล้ว

ดูท่าอาวุธชิ้นนี้คงเป็นแค่อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับสูง มิเช่นนั้นถึงแม้จะถูกคมวายุยักษ์ทำลายเงาดาบ แต่ก็คงไม่ทำให้ตัวดาบจริงๆ หักออกไปเช่นนี้

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตามหลิ่วหมิงก็ยังเก็บชิ้นส่วนทั้งสองไว้ และค้นตัวหญิงนิกายวาตอัคคีได้ยันต์มาสิบกว่าผืน โอสถสองสามขวด อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับกลางอีกสองชิ้น และถุงหนังที่ใส่สิ่งของต่างๆ ใบหนึ่ง

ในถุงหนังยังมีห่อผ้าขนาดเล็กห่อหนึ่ง ซึ่งมันก็คือผ้าย่อส่วนนั่นเอง

ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงเป็นประกาย เขารีบหยิบห่อผ้ามาชั่งน้ำหนักบนมือ จากนั้นก็เริ่มร่ายคาถา มืออีกข้างก็ทำท่ามือรูปแบบต่างๆ ก่อนที่จะคว้าถุงผ้าขึ้นมาเทสิ่งของในนั้นลงบนพื้น

แสงสว่างจ้าขึ้นมา!

สิ่งของมากมายกองอยู่บนพื้น ในนั้นมีแร่ที่ดูเหมือนค่อนข้างมีมูลค่า กับกล่องที่ทำจากหยกและไม้อีกหกเจ็ดกล่อง

หลิ่วหมิงสังเกตดูแร่พวกนั้นแค่เพียงประเดี๋ยวเดียว ก็ค่อยๆ เปิดกล่องพวกนั้นออกมาทั้งหมด ผลลัพธ์มันช่างน่ายินดีเป็นอย่างมาก

เป็นดังที่คาดคิดไว้สิ่งของที่บรรจุอยู่ในกล่องล้วนเป็นพืชจิตวิญญาณที่มีมูลค่าไม่น้อย ถึงแม้มันจะไม่สามารถเทียบได้กับหญ้าลอยฟ้า แต่สองต้นในนั้นมีมูลค่าไม่ด้อยไปกว่าทานตะวันวารีลี้ลับของเขาเลย

หลิ่วหมิงเก็บสิ่งของทั้งหมดมาใส่ไว้ในผ้าย่อส่วนของตนเองอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็เดินไปยังศพของชายหนุ่มหอสายธารโลหิต

ขณะนี้ร่างส่วนบนของหญิงสาวได้ละลายไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานก็มีโลหิตสีดำม่วงนองเต็มพื้น

และเมื่อร่างอีกส่วนสัมผัสโดนโลหิตนี้ก็ค่อยๆ ละลายไปเช่นกัน

พิษจากหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวในตอนนี้ร้ายกาจกว่าที่คาดคิดไว้มาก

ผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงก็ได้รับของล้ำค่าจากศพของชายหนุ่มหอสายธารโลหิต ซึ่งมันมีมูลค่ามากกว่าที่ได้จากศพของศิษย์หญิงนิกายวาตอัคคีมาก

นอกจากดาบยาวสีเลือดที่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำแล้ว เขายังเจอเห็ดหลินจือหยกในผ้าย่อส่วนซึ่งมันสามารถกินแบบดิบๆ ได้ และดูเหมือนมันจะมีอายุสามสี่ร้อยปี

หลิ่วหมิงหยิบพืชจิตวิญญาณใส่ปากแล้วกลืนลงไปด้วยความดีใจ

พอมันตกลงไปในท้องก็แผ่ความร้อนกระจายไปตามเส้นลมปราณต่างๆ อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่หลิ่วหมิงปล่อยลูกเปลวไฟเผาร่างของชายหนุ่มหอสายธารโลหิตจนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว ก็ ให้แมงป่องกระดูกขาวเฝ้าอยู่ด้านนอก จากนั้นตนเองก็เข้าไปในโพรงไม้เพื่อเข้าฌาน

หลังจากผ่านไปครึ่งช่วยยาม เขาถึงได้ถอนหายใจยาวๆ ออกมาแล้วลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนนี้พลังเวทย์ของเขาเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างมาก มันเทียบเท่ากับพลังเวทย์ที่ได้จากการฝึกฝนเดือนกว่าๆ เลยทีเดียว

นี่เป็นสิ่งที่ได้จากการที่เขาควบคุมพลังกว่าครึ่งหนึ่งของพืชจิตวิญญาณไว้ แล้วกลั่นออกมาใช้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ถ้าหากกลั่นทั้งหมดล่ะก็เชื่อว่าคงได้รับพลังเวทย์เทียบเท่ากับการฝึกฝนครึ่งปีเลยทีเดียว

น่าเสียดายที่สิ่งของที่เขาได้รับมานั้นถึงแม้จะมีโอสถจิตวิญญาณที่ช่วยเพิ่มพลังเวทย์อยู่หลายชนิด แต่มันมีสิ่งอื่นเจือปนอยู่ทำให้มันไม่บริสุทธิ์พอจึงจำเป็นต้องปรุงมันให้เป็นเม็ดโอสถก่อน

ถ้าเขาเพียงแค่ทานเพิ่มอีกสองสามต้นล่ะก็ ออกไปแล้วก็สามารถฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้โดยไม่ต้องไปซื้อโอสถเพิ่มพลังอื่นๆ อีก

หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ลุกขึ้นทำท่ามือเรียกเมฆเทาออกมา จากนั้นก็เหาะออกไปจากโพรงไม้

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงก็เก็บแมงป่องกระดูกขาวเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้วค่อยๆ หายเข้าไปในป่าเขา

……

ครึ่งวันผ่านไป ชายสวมชุดนิกายเอกะผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่เขตบริเวณใกล้เคียง

พอเขาเข้าใกล้บริเวณป่าก็ค่อยๆ หรี่ม่านตาลง หลังจากที่กวาดตามองไปแล้วก็ค้นพบร่องรอยการต่อสู้ในก่อนหน้านั้น และยังค้นพบถ้ำที่หลิ่วหมิงขุดไว้

หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยก็สำรวจดูบริเวณนั้นอยู่หลายรอบจนมั่นใจว่าแถวนั้นไม่มีคนอื่นแล้วถึงได้กระโดดลงไปตรวจดูในถ้ำอย่างรวดเร็ว

แต่ตอนที่ชายที่ดูสุขุมลุ่มลึกเหาะออกมาจากในถ้ำนั้น ก็ก้มดูโลหิตที่ละลายมาจากร่างของหญิงสาวนิกายวาตอัคคีอยู่ครู่หนึ่ง เขาสูดดมมันเบาๆ แล้วก็กล่าวพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ช่างเป็นพิษที่รุนแรงมาก! ไม่รู้ว่าเป็นของศิษย์นิกายใดที่สามารถฆ่าศิษย์สองนิกายได้พร้อมกันเช่นนี้ ช่างเถอะ! ในเมื่อคนผู้นี้ขึ้นเขาจากทางนี้ งั้นข้าก็เปลี่ยนไปขึ้นทางอื่นแล้วกัน! ปีศาจร้ายเช่นนี้ควรอยู่ห่างเข้าไว้จะดีกว่า”

ชายหนุ่มท่าทางสุขุมส่ายศีรษะแล้วก็เหาะไปยังอีกทิศทางทันที

……

ขอบทางยาวๆ เส้นหนึ่งของหุบเหวเดียวกัน หยางเฉียนกับชายหนุ่มหน้าดำรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนเคียงบ่ากัน

ดางตาทั้งคู่ของชายหนุ่มหน้าดำเป็นประกายกว่าปกติ บนตัวสวมเสื้อเกราะสีเงินแวววาว ในมือถือกระบองสั้นสีทองจางๆ อยู่อันหนึ่ง

หุบเหวด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลออกไปมีหินละลายเดือดปะทุอยู่ ควันสีแดงดำหมุนเป็นเกลียวลอยวนขึ้นมา ทำให้ท้องฟ้ากว่าครึ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงดำ ราวกับว่ายืนอยู่ฝั่งนี้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่แผดเผามาจากฝั่งนั้นได้

แต่เมื่อมองทะลุแสงสีแดงและควันดำออกไปก็จะพบกับยอดเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดลี้ ซึ่งทั้งสองสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“ช่างแปลกเสียจริง! เห็นชัดๆ ว่าพวกเราเดินตรงไปอย่างเดียว แต่เข็มทิศในมือกลับชี้ให้เห็นว่าพวกเราเดินวนเป็นวงกลมขนาดใหญ่ แล้วก็มาถึงที่นี่โดยไม่รู้ตัว ดูจากสถานที่แล้วที่นี่คงจะเป็นใจกลางของแดนลึกลับ พี่หยาง ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?” ชายหนุ่มหน้าดำก้มหน้ามองวัตถุกลมๆ สีเขียวบนมือแล้วก็กล่าวออกมาด้วยความแปลกใจ

“จะให้คิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ! แน่นอนว่าในเมื่อมาแล้วก็ย่อมไม่หวาดหวั่นใดๆ การเกิดเรื่องผิดปกติในแดนลึกลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้วใยต้องแปลกใจด้วยเล่า มันเป็นเรื่องดีซะอีกที่พวกเราหาใจกลางแดนลึกลับเจอก่อน อย่างไรซะของล้ำค่าในแดนลึกลับส่วนมากก็คงอยู่ในเขาใหญ่ลูกนั้น” ดูเหมือนว่าหยางเฉียนจะสนิทกับชายหน้าดำมาก เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

“อืม! พูดเช่นนี้พอจะมีเหตุผลหน่อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาดูกันว่าระหว่างพวกเราใครจะไปถึงที่นั่นก่อนกัน” หลังจากที่ชายหน้าดำพยักหน้าเสร็จแล้วก็หัวเราะกล่าวออกมา พอเขาสะบัดหัวไหล่เสื้อเกราะบนตัวก็ส่งเสียงดัง “เคล้งๆ!” จากนั้นมันก็ลางเลือนกลายเป็นปีกสีเงินคู่หนึ่งที่ยาวจั้งกว่าๆ

ชายหนุ่มหน้าดำเพียงแค่กระพือปีกแรงๆ ร่างของเขาก็ทะยานขึ้นฟ้าแล้วบินไปทางฝั่งตรงข้าม

ถึงแม้ตอนที่บินผ่านเหนือหุบเหวระดับความเร็วของเขาจะลดไปสองในสิบส่วน แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการว่าอ่อนแรงแต่อย่างใด ผ่านไปสักครู่ เขาก็ค่อยๆ บินข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้ และยังบินต่อไปโดยไม่คิดจะหยุดพักเลย

เมื่อหยางเฉียนเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ทำเสียงฮึดฮัดพร้อมตบมือข้างหนึ่งไปยังถุงหนังดำขลับบนเอว ไอสีดำพวยพุ่งออกมาในทันที หลังจากที่มันรวมตัวกันแล้วก็กลายร่างเป็นปีศาจกระดูกยักษ์ที่มีหัวเป็นวัวมีร่างเป็นมนุษย์

“ไป!”

หยางเฉียนทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วตะโกนด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก

ครู่เดียวปีศาจตรงหน้าก็ม้วนตัวกลายเป็นวิหคกระดูกยักษ์ที่สูงจั้งกว่าๆ ท่ามกลางไอสีดำอันพวยพุ่ง

วิหคกระดูกกระพือปีกกระดูกพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางไอสีดำที่ห่อหุ้มอยู่ แต่หลังจากที่บินวนบนอากาศไปรอบหนึ่งก็ใช้กรงเล็บจับไหล่ทั้งสองของหยางเฉียนแล้วยกขึ้น และก็บินไปยังหุบเหวตรงหน้า

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset