ตำนานเทพกู้จักรวาล – ตอนที่ 619 เปิดดวงตาที่สาม

พุทธเจ้าท้าวสักกะเข้าใจในที่สุด และเขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม “เลิกเล่นได้แล้ว แดนโบราณวินาศเป็นสถานที่ป่าเถื่อน ที่นี่คือพุทธเกษตร พุทธเจ้าทั้งหลายจะทนได้อย่างไรเมื่อเจ้าเริ่มฆ่าฟันผู้คนที่นี่”

ลิงยักษ์อสูรเผยสีหน้าผิดหวัง

เขามีรากเหง้าปัญญาและเป็นพุทธบุตรที่ได้รับการยกย่องว่าแตกฉานในธรรมะ แต่เขาก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตจากแดนโบราณวินาศ

สิ่งมีชีวิตจากแดนโบราณวินาศก็มักจะเหมือนกับฉินมู่ พวกเขาเกิดขึ้นมาอย่างป่าเถื่อนและยากที่จะทำให้เชื่อง แม้หลังจากที่อาศัยอยู่ในสันตินิรันดร์มานาน ฉินมู่ก็ยังคงโหยหาวันคืนอันไร้สิ่งใดจำกัดในแดนโบราณวินาศ ลิงยักษ์อสูรยิ่งโหยหามากกว่าเขา

พุทธเจ้าท้าวสักกะกะพริบตาปริบและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าข้าจะบอกว่าเจ้าเริ่มฆ่าผู้คนไม่ได้ แต่หากว่ามีคนต้องการจะสังหารเจ้า เจ้าจะสังหารเขาเป็นการตอบโต้ไปก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เรื่องแบบนั้นควรแก่การอภัย และต่อให้มีคนมาหาเรื่องเจ้าต่อ ก็จะยังมีผู้คนที่สนับสนุนเจ้า”

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ข้าอยากรู้ว่าใครคือคนที่จะมาสนับสนุนพวกเรา”

แสงพุทธธรรมข้างหลังศีรษะของพุทธเจ้าท้าวสักกะดับลงและกลายเป็นมืดมัว เขากะพริบตาสวนกลับไปและกล่าว “ย่อมต้องมีผู้คนที่สนับสนุนพวกเจ้าแน่อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกลัว ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็อยากชมดูวิชาฝึกปรือของพุทธเจ้าพรหม นี่เป็นโอกาสอันหาได้ยาก ดังนั้นข้าต้องการที่จะเข้าไปผสมโรงกับพวกพุทธบุตรด้วยเช่นกัน ข้าอาจจะได้พบกับพุทธเจ้าพรหมก็เป็นได้ ข้าไม่ได้รับศิษย์มาไว้เลยสักคน ดังนั้นข้าก็มีแต่ต้องลงไปแข่งด้วยตนเอง”

พุทธเจ้านี้สวมจีวรยาวสีเหลือง และร่างกายของเขาก็ได้สัดส่วนไปหมด ทำให้จีวรดูหลวมลากพื้น เขานั้นชอบเดินเท้าเปล่า และเมื่อเขาดับแสงพุทธธรรมของตนเอง เขาก็ดูเหมือนกับพุทธบุตรหนุ่มไม่มีผิด เขาไม่ดูเหมือนตัวตนที่แข็งแกร่งอันดับสองในพุทธเกษตรรองจากพุทธเจ้าพรหมเลยแม้แต่น้อย

“แม้แต่พุทธเจ้าก็ยังต้องการต่อสู้แย่งชิงมันหรือ”

หลวงจีนหมิงซิ่นอ้าปากค้าง ขณะที่เขาก่นด่าในใจ หากว่าท่านลงไปสู้ แล้วใครจะไปเอาชนะท่านได้

ฉินมู่นั้นสงสัยจับพิรุธ ขณะที่มองไปยังพุทธเจ้านี้และคิดอยู่ในใจ เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพุทธเจ้าที่แสนกลขนาดนี้ พุทธเจ้าคนอื่นๆ มีคนไหนที่ไม่เคร่งขรึมสำรวมล่ะ ทำไมเขาถึงคึกคักโลดโผนนัก ธรรมชาติสันดานของเขานั้นเหมือนกับข้า…

ฉินมู่กระซิบ “หมิงซิ่น พุทธเจ้าตนนี้มีที่มาอย่างไรหรือ”

หมิงซิ่นส่ายหัว “ข้าอ่านปิฎกเกือบหมดกรุของวัดใหญ่ฟ้าคำราม แต่ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับพุทธเจ้านี้มากมายนัก”

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พุทธเจ้า ท่านกล่าวว่าจะมีผู้คนที่จะสนบสนุนพวกเรา หรือว่าบุคคลผู้นั้นคือพุทธเจ้าท่าน”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกะพริบตาปริบ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น”

ฉินมู่กะพริบตาสู้และกล่าว “หลวงจีนโกหกไม่ได้นะ!”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกะพริบตากลับไปและกล่าว “ข้าเป็นพุทธเจ้า ไม่ใช่หลวงจีน ข้าจะโกหกทำไม”

ทั้งสองคนกะพริบตาใสซื่อใส่กันไปกันมา และพวกเขาก็พลันหันหน้าออกจากกันเพื่อจะได้ไม่มองหน้ากันต่อ

หลวงจีนหมิงซิ่นรู้สึกเป็นกังวล ศิษย์พี่นั้นนับว่าใจกล้ายังกับกินดีหมีดีเสือ ถึงกับกล้ามองหน้าพุทธเจ้าไปตรงๆ เมื่อพวกเรากลับไป ข้าจะต้องสอนให้เขารู้วิธีเขียนคำว่าตายร้อยรูปแบบ…

“เหนื่อย?” ลิงยักษ์อสูรจ้านคงลอบถามฉินมู่

ฉินมู่ผงกหัว พุทธเจ้าท้าวสักกะไม่เผยพิรุธใดออกมา แม้ว่าจะแทบทำให้ดวงตาของเขาน้ำตาไหล อ่านเจตนาของเขาไม่ออกสักนิด

พุทธเจ้าท้าวสักกะก็ขยี้ตาตนเองเช่นกัน คงจะเป็นเพราะว่าเขาเคืองตาจากการกะพริบมันมากเกินไป

ฉินมู่เองยังคงมีความสงสัยตงิดๆ ในใจ ท่วงทีกิริยาของพุทธเจ้าท้าวสักกะนั้นไม่เหมือนพุทธเจ้าเลยสักนิด เขามีความอยากรู้อยากเห็นแรงกล้า และวิธีการที่เขาทำสิ่งต่างๆ นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ กระนั้นเขาก็ยังเป็นพุทธเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นสักกะ ตัวตนที่ด้อยกว่าพุทธเจ้าพรหมเพียงนิดเดียวเท่านั้น

เขาดูไม่เหมือนคนจากสภาสวรรค์ และหากว่าเขาเป็นก็คงไม่มาไยดีพวกฉินมู่เป็นแน่ กระนั้นพุทธเจ้าท้าวสักกะก็ดูค่อนข้างมีไมตรีต่อฉินมู่และพรรคพวก ถึงกับชี้ว่ามีใครบางคนที่จะคอยช่วยพวกเขา

ในตอนนั้นเอง หลวงจีนหนุ่มผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากวัดซอมซ่อตรงหน้า และเขาถาม “ใครคือศิษย์พี่ที่โต้วาทีตะลุยมาตั้งแต่สวรรค์ชั้นยามาถึงสวรรค์ชั้นพรหม”

ลิงยักษ์อสูรจ้านคงก้าวออกไปด้วยก้าวใหญ่ๆ และกล่าวด้วยเสียงกึกก้อง “ข้า!”

หลวงจีนผู้นั้นเงยศีรษะขึ้นมาและเห็นลิงยักษ์อสูรผู้ดูเหมือนกับเจดีย์สีดำ ลิงยักษ์อสูรดูน่าเกรงขาม และหลวงจีนผู้นั้นก็รีบกล่าว “ศิษย์พี่ พุทธเจ้าเฒ่ากล่าวว่าเจ้าผ่านการทดสอบ และเขาได้เชิญให้เจ้าเข้าไปข้างใน โปรดตามข้ามา”

ลิงยักษ์อสูรจ้านคงมองไปที่ฉินมู่และหมิงซิ่น ฉินมู่ยิ้มให้เขาและกล่าว “เข้าไปเถอะ ข้าจะตามเจ้าไปทีหลัง”

“ได้!”

ลิงยักษ์อสูรตามหลวงจีนนั้นไป และเข้าไปในวัดอันซอมซ่อด้วยก้าวอาดๆ

ผ่านไปพักหนึ่ง หลวงจีนนั้นก็ออกมาจากวัดและมองไปรอบๆ เขาเห็นพุทธบุตรเป็นร้อยๆ จากสวรรค์ทุกๆ สวรรค์ นับว่าเป็นผู้คนมากมายมหาศาลจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพุทธเจ้าอีกจำนวนมากที่เห็นได้ชัดว่ามาที่นี่เพื่อต่อสู้แย่งชิงโอกาสที่จะได้รับถ่ายทอดคำสอนและวิชาฝึกปรือจากพุทธเจ้าพรหม

หลวงจีนนั้นกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “พุทธเจ้าเฒ่าบอกว่า มีพวกท่านอยู่ที่นี่มากมายเกินไป และจะอนุญาตให้เข้าไปได้อีกสองคนเท่านั้น ลองปรึกษาหารือกันดูเอง ว่าจะให้ใครเข้าไป”

พุทธเจ้าสรัสวดีรีบกล่าว “พุทธเจ้าเฒ่าได้กล่าวหรือไม่ว่าการทดสอบแบบใดที่พวกเราต้องผ่าน เพื่อที่จะเข้าไปในวัดและรับฟังการแสดงธรรม”

หลวงจีนนั้นส่ายหัว “พุทธเจ้าเฒ่าไม่ได้กล่าว พวกท่านลองคิดหาแนวทางด้วยตนเอง และทำตามที่พวกท่านต้องการเถอะ”

พุทธเจ้าแห่งสวรรค์ทั้งหลายพึมพำ และเข้ามารวมตัวกันเพื่ออภิปราย

ฉินมู่มองไปที่พุทธเจ้าท้าวสักกะข้างหลังเขาและถาม “พุทธเจ้า ท่านกล่าวว่าท่านมาจากวัดใหญ่ฟ้าคำรามเหมือนกันใช่ไหม ข้าถามได้หรือไม่ว่าท่านอยู่ในพุทธเกษตรมานานแค่ไหนแล้ว”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพยายามจะคุ้ยแคะหาข้อเท็จจริงออกจากข้า แต่ข้าจะไม่พูดหรอก ใบหลิวทองคำบนหน้าผากของเจ้ามันคืออะไรกัน มันเป็นเครื่องประดับหรือ ดูสวยงามจริงเชียว”

ฉินมู่นั้นกำลังจะอธิบาย แต่ทันใดนั้นพุทธเจ้าท้าวสักกะก็ได้ดึงเอาใบหลิวทองคำออกจากหน้าผากของเขาไปโดยไม่บอกกล่าว ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ และยื่นมือออกไปเพื่อคว้ามันกลับมา

เขามองไม่เห็นเลยว่าพุทธเจ้าท้าวสักกะลงมืออย่างไร แต่ใบหลิวทองคำนั้นสำคัญต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง และเขาไม่อาจทำมันหายไปได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นสิ่งปิดผนึก ดวงตาของเจ้านี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ทำไมเจ้าถึงต้องปิดผนึกมันเอาไว้ด้วยล่ะ”

ฉินมู่ยื่นมืออกไป และใบหน้าของเขาก็มืดดำ “ดวงตาของข้านี้ทรงพลังจนเกินไป และสิ่งน่าสะพรึงกลัวก็จะเกิดขึ้นหากว่าข้าขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือของข้า ข้าเกรงว่าข้าจะทำร้ายผู้คนเข้า ดังนั้น มันจึงถูกปิดผนึกเอาไว้ คืนใบหลิวทองคำให้ข้า!”

“ไม่มีทาง”

พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากจะเห็นกำลังฝีมือเต็มพิกัดของเจ้า และเจ้าคงจะแปะมันคืนไว้ที่ดวงตาหากว่าข้าคืนให้เจ้าในตอนนี้ ซึ่งคงจะน่าเบื่อมาก ยิ่งไปกว่านั้น ใครบอกเจ้าว่าใบหลิวนี้สามารถปิดผนึกเจ้าได้ เจ้าเคยทดลองมันมาก่อนหรือเปล่า”

ฉินมู่ยื่นมือออกไปแย่งชิง แต่พุทธเจ้าท้าวสักกะหลบหลีกเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็ตะโกนไปอย่างโมโห “หากว่าเกิดอะไรขึ้นมา นั่นเป็นความผิดของท่านทั้งหมด! ข้าจะละเลงขี้เละตุ้มเป๊ะพวกนี้ไว้บนหัวโล้นๆ ของท่าน!”

หมิงซิ่นตัวสั่นเทิ้ม และเขากล่าวด้วยเสียงสะท้าน “ศิษย์พี่ฉิน มีวิธีเขียนคำว่าตายร้อยวิธี และข้าจะสอนมันให้ท่าน ท่านต้องเรียนมันได้เร็วแน่นอน…”

ฉินมู่ไม่อาจแย่งชิงใบหลิวทองคำกลับมาได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ล้มเลิก

เขามองไปยังพุทธเจ้าทั้งหลาย และเห็นว่าพวกพุทธเจ้ายังคงปรึกษาหารือกันอยู่ ขณะที่พุทธบุตรหลายร้อยคนกำลังรออย่างเงียบเชียบ สายตาเขาวูบวาบและกล่าวด้วยเสียงเบา “ข้ามีความคิดดีๆ ที่จะชิงสองตำแหน่งนี้มา!”

พุทธเจ้าท้าวสักกะถูมือไปมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้! เจ้ากะที่จะพุ่งตรงเข้าไปในวัดเลยระหว่างที่พุทธเจ้าพวกนี้กำลังมัวแต่ปรึกษาหารือกันอยู่ ใช่ไหม”

ฉินมู่มองไปที่เขาและรู้ว่าเรื่องย่ำแย่เสียแล้ว เขารีบวิ่งตรงไปยังวัดซอมซ่อ แต่มันก็สายเกินไป

พุทธเจ้าท้าวสักกะเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง และร่างกายของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงไหลที่พุ่งเข้าไปข้างในวัดก่อนฉินมู่ เขาปิดประตูปังและกั้นฉินมู่เอาไว้ข้างนอก กล่าวกลั้วหัวเราะมาจากข้างใน “สหายน้อยฉิน ขอบใจสำหรับความคิดดีๆ ข้าเข้าไปล่ะ!”

หลวงจีนที่นั่งอยู่ข้างๆ วัดกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เหลือเพียงอีกหนึ่งที่”

พุทธบุตรและพุทธเจ้ามากมาย แตกตื่นจากการเคลื่อนไหวของพุทธเจ้าท้าวสักกะและฉินมู่ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเหลืออีกเพียงหนึ่งที่ พวกเขาก็ไม่อาจนั่งเฉยได้อีกต่อไป

“ใครเข้าไปแล้ว” ธรรมราชโม่หลุนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงและถามอย่างเร่งร้อน

พุทธเจ้าตนอื่นๆ ก็มีสีหน้าว่างเปล่า พวกเขาไม่รู้ว่าใครย่องเข้าไปในวัดและชิงตำแหน่งนั้นไประหว่างที่คนอื่นๆ กำลังปรึกษาหารือ

หลวงจีนหมิงซิ่นยืนอยู่กับที่ และไม่ทันที่เขาจะตระหนักอะไร เขาก็เห็นฉินมู่กับพุทธเจ้าท้าวสักกะถลันไปแล้ว เรื่องมันจบลงก่อนที่เขาจะได้หืออืออะไรเสียอีก และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็ได้ขังฉินมู่เอาไว้ที่นอกประตู

ที่แท้นี่ก็คือวิธีการที่พี่ฉินพูดถึง!

เขาตระหนักขึ้นมาทันที เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! แต่ทำไมพุทธเจ้าถึงลั่นดาลประตูขวางศิษย์พี่ฉินเอาไว้ข้างนอกล่ะ เข้าไปทั้งสองคนด้วยกันมันไม่ดีกว่าหรือ

ฉินมู่ยืนอยู่ตรงหน้าวัดและตะโกน “พุทธเจ้าท้าวสักกะ เจ้าเข้าไปก็ได้ แต่คืนใบหลิวทองคำให้ข้า! ไม่มีใบหลิวทองคำ ข้าควบคุมพลังของข้าไม่ได้ และจะเกิดเรื่องร้ายแรง! เจ้ารับมือเรื่องนี้ได้หรือ”

“ข้ารับมือได้”

ข้างในวัด เสียงของพุทธเจ้าท้าวสักกะค่อยๆ ห่างไกลออกไปทุกที “จะละเลงขี้บนหัวโล้นๆ ข้ามากเท่าไหนก็ตามใจเจ้าเลย…”

ฉินมู่เดือดดาลและกำลังจะกล่าวอะไรสักอย่าง แต่สีหน้าของหลวงจีนหมิงซิ่นก็ซีดเผือด เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเทิ้ม “ศิษย์พี่ฉิน เจ้าไม่อยากรู้วิธีคัดคำว่าตายร้อยวิธีจริงน่ะหรือ”

ฉินมู่สูดลมหายใจลึกและหันกลับไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาหายวับ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มไร้เดียงสา และเขามองไปยังพุทธบุตรทั้งหมดที่มีสีหน้าไม่สมอารมณ์ “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ข้ามีสารีริกธาตุเม็ดใหญ่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าอยากชมดูสักหน่อยไหม”

เขานำไจกระบี่ออกมา และไจกระบี่ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็หมุนปั่นไปอย่าวเร็วจี๋

ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ศิษย์พี่ทั้งหลายสามารถเห็นแก่หน้าข้า และให้ข้าจับจองตำแหน่งสุดท้ายนี้ได้หรือไม่ ข้าจะสำนึกตื้นตันพวกท่านไปชั่วนิรันดร์”

แม้ว่าเขาจะกล่าวเช่นนั้น แต่ฉินมู่ก็ยังลังเลนิดๆ ในหัวใจ เขาไม่เคยทดลองโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะขณะที่ดวงตาที่สามของเขากำลังเปิดอยู่เลย ยายเฒ่าซีและเฒ่าบอดบอกเขาว่า เขาสามารถใช้วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะได้อย่างไม่บันยะบันยังก็ต่อเมื่อเขาปิดผนึกดวงตาที่สามเอาไว้แล้วเท่านั้น เขาไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเขาขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะทั้งๆ ที่ดวงตาที่สามเปิดไว้อยู่

“ไม่ว่าจะอย่างไร เฒ่าหม่าก็เข้มงวดกับข้ามากที่สุด และมองดูข้าเหมือนกับที่เขามองดูบุตรของตน ข้ารู้ดีว่าเขาเลี้ยงดูข้ามาเหมือนกับลูกชายของเขา และทุ่มเทความรักของบิดาทั้งหมดให้แก่ข้า!”

ฉินมู่กัดฟันกรอดและขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาค่อยๆ ปลิวสะบัดขึ้นแม้ไร้แรงลม “ไม่ว่าเฒ่าหม่าจะต้องการสิ่งไหน ข้าก็จะต้องช่วยเขาให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น! ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร ข้าจะประหารทุกคนที่เข้ามาขวางทาง!”

ที่ใจกลางหว่างคิ้วของเขา วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะไหลเวียนอยู่ในดวงตาที่สาม เปลือกตาของเขาเปิดแยกออกไปทั้งสองข้าง และโครงสร้างวงจรพยุหะในดวงตาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง

ฉินมู่มองไปยังทุกๆ คน และไม่ว่าจะเป็นพุทธเจ้าหรือมนุษย์ ทักษะเทวะของพวกเขาก็แจ่มชัด เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างโดยละเอียดยิบ

เขานั้นเหมือนกับเทพเจ้าแห่งความมืดที่ควบคุมความเป็นและความตาย และกำลังมองลงไปยังเหยื่อสังเวยของเขา ขนาดว่าอากาศโดยรอบก็ยังส่งกลิ่นโลหิตฉุนเฉียวออกมา

มีจิตวิญญาณอันเหี้ยมโหดและหัวแข็งไหลบ่าออกมาจากหัวใจของเขา และเขาก็กล่าวอย่างเยือกเย็น “ทุกคนถอยออกไป หากว่าพวกเจ้าเข้ามา ข้าไม่รับประกันชีวิตของพวกเจ้า!”

ตำนานเทพกู้จักรวาล

ตำนานเทพกู้จักรวาล

Status: Ongoing
ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset