ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 636 ลูกน้องที่ไว้ใจได้

แล้วหลี่ว์ซู่ก็คิดอะไรอย่างหนึ่งออก เขาต้องการอีกห้าสิบแต้มเท่านั้นในการจุดประกายดวงดาวดวงที่เจ็ด!  

 

 

หลี่ว์ซู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที การเก็บแต้มสามล้านสองแสนของเขามาถึงจุดจบเสียที การเลื่อนระดับเป็นระดับ B ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว!  

 

 

ไม่ได้การแล้ว เขาต้องหาแต้มอารมณ์ตอนนี้เลย!  

 

 

เซี่ยเหรินเซิงมองหลี่ว์ซู่ที่กำลังเขยิบมามุมหนึ่ง หลี่เถิงคนนี้ไม่พูดไม่จา แถมยังดูรับมือง่ายกว่าพวกผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ นอกจากนี้หลี่เถิงยังดูเป็นคนเดียวที่ไม่ก่อเรื่องเพิ่มให้เขาในตู้โดยสารนี้ เซี่ยเหรินเซิงเริ่มเศร้าๆ ขึ้นมา ถึงเขาจะฝึกมามาก แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้า  

 

 

จริงๆ แล้วการที่หลี่ว์ซู่ได้เข้ามาร่วมกับกลุ่มนี้นั้นถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ข้อมูลที่เซี่ยเหรินเซิงได้มาบอกแค่ว่าเขาชื่อหลี่เถิงเท่านั้น ส่วนข้อมูลอื่นๆ ของหลี่ว์ซู่นั้นถูกเก็บไว้เป็นความลับขั้นสูงสุด เซี่ยเหรินเซิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูได้  

 

 

หัวหน้านำกลุ่มอย่างเขาก็อยากจะได้ลูกน้องที่ไว้ใจได้สักคนหนึ่งในการเดินทางครั้งนี้ เพราะต่อให้มีความขัดแย้งภายในกลุ่ม อย่างน้อยเขาก็ยังพแควบคุมอะไรได้ง่ายขึ้น  

 

 

การเป็นหัวหน้านั้นไม่ง่ายเลย หากมีสิ่งที่ยากจะอธิบาย เขายังใช้ลูกน้องที่ไว้วางใจในกลุ่มเป็นกันชนให้ได้ คนหนึ่งรับบทโหด ส่วนอีกคนก็คอยรับบทใจดี แบบนี้สิค่อยนับเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีขึ้นหน่อย  

 

 

แต่กระนั้นแล้วเซี่ยเหรินเซิงก็หมายมั่นเล็งเป้าเอาไว้แล้วว่าอยากให้หลี่ว์ซู่มาเป็นคนคนนั้น เพราะเขาเป็นคนที่ประพฤติตัวดีที่สุดแล้ว  

 

 

แต่แล้วเขาก็เห็นหลี่ว์ซู่ลุกขึ้นแล้วหยิบกล่องเต้าหู้เหม็นออกมาจากกระเป๋าแล้วค่อยๆ วางมันบนโต๊ะก่อนกลับไปนอนอีกรอบ เขาไม่ได้จะกินเต้าหู้เหม็นนี่  

 

 

เซี่ยเหรินเซิงไม่เข้าใจเลย หมอนี่เอาเต้าหู้เหม็นมาเดินทางด้วยทำไมเนี่ย แถมเอาออกมาแล้วก็ไม่กินอีก!  

 

 

แต่แล้วพวกผู้บำเพ็ญลับและกลุ่มนักเจรจาก็โมโหกันยกใหญ่!  

 

 

“โอ๊ย! กลิ่นบ้าอะไรเนี่ย!”  

 

 

“ไอ้โง่ที่ไหนเอาเต้าหู้เหม็นขึ้นรถไฟมาด้วยเนี่ย! รีบเปิดหน้าต่างเร็ว!”  

 

 

“จะบ้าเหรอ! เปิดหน้าต่างรถไฟได้ที่ไหนกันล่ะ! แล้วนี่เต้าหู้เหม็นของใครกัน เร็วเข้า รีบเอามันออกไปทิ้งซะ!”  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +399!]  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเซี่ยเหรินเซิง…]  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จาก…]  

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่ก็มีลูกบ้าพอที่จนหาแต้มอารมณ์จำนวนหนึ่งจากรถไฟที่ปิดสนิทนี้จนได้…  

 

 

กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไม่คิดว่าตัวเองทำเกินไปหรอกนะ เพราะท้ายที่สุดแล้วที่นี่ก็ไม่มีคนจิตใจดีบนรถไฟสักคน…  

 

 

แต่เหตุการณ์นี้ทำให้หลี่ว์ซู่กลายเป็นบุคคลที่ทุกคนต่างก็เมินเฉยไม่สนใจ ทั้งพวกนักเจรจา ผู้บำเพ็ญลับ และเซี่ยเหรินเซิงเองก็ด้วย  

 

 

รถไฟมุ่งหน้าไปทางเหนือ การเดินทางในอนาคตจนกว่าจะไปถึงยุโรปของพวกเขานั้นยังคาดเดาไม่ได้เลย  

 

 

มีใครคนหนึ่งกล่าวไว้ว่าการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่สมบูรณ์แบบที่สุดนั้นจะต้องใช้น้ำแร่จากภูเขาหิมาลัยห้าร้อยมิลลิเมตร และต้มน้ำให้ถึงอุณหภูมิหนึ่งร้อยองศาเซลเซียส จากนั้นก็เทน้ำลงไปในบะหมี่และรอห้านาที  

 

 

หลังจากห้านาทีผ่านไปแล้วก็ค่อยเอาเส้นบะหมี่ออกมาใส่ในน้ำผสมน้ำแข็ง คนไปเรื่อยๆ จนกว่าบะหมี่จะเย็นตัวลงแล้วมันจะเด้งดึ๋งสู้ฟัน สุดท้ายค่อยใส่เครื่องปรุงและเทน้ำหนึ่งร้อยองศาเซลเซียสลงไปอีกรอบและรออีกสามนาที เมื่อครบเวลาแล้วให้รับประทานทันที  

 

 

แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าการจะต้มบะหมี่ที่สมบูรณ์แบบนั้นไม่เกี่ยวว่าควรจะต้มมันอย่างไร แต่อยู่ที่ว่ากินมันอย่างไรต่างหาก บางคนก็ชอบกินตอนอยู่ร้านเกมมาทั้งคืน บ้างก็ชอบกินตอนนั่งรถไฟ หรือบ้างคนก็ชอบกินตอนใส่หม้อไฟเหมือนกับในซีรีส์เกาหลี และบางคนก็ชอบกินตอนดูหนัง  

 

 

แต่สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วเขาชอบกินตอนคนอื่นกินไม่ลงนี่แหละ  

 

 

หลี่ว์ซู่ถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมานั่งข้างพวกผู้บำเพ็ญลับ เขานั่งฟังคนพวกนั้นคุยกัน และผ่านไปไม่นานหลิวฝานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “นี่ น้องชาย ไปกินที่อื่นได้ไหม ตอนแรกก็เต้าหู้เหม็นรอบหนึ่งแล้วนะ ตอนนี้ยังจะมากินบะหมี่อีก นี่มาทำภารกิจจริงๆ หรือเปล่า”  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวฝาน +99…]  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จาก เยี่ยจื่อเฉิน  +99…]  

 

 

ทั้งตู้รถไฟนั้นปิดสนิท ตอนแรกทุกคนคิดว่าจะซื้ออะไรบนรถไฟกินได้ แต่นี่เป็นภารกิจ ไม่ได้มาเที่ยวเล่น ทุกคนก็เลยรู้สึกแย่ที่จะพกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาด้วย  

 

 

แต่ตอนนี้ทุกคนก็ไม่สามารถซื้อมันได้แล้ว และพวกเขาก็ไม่ได้เอามันมาอีก…  

 

 

หลี่ว์ซู่ก็ถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นเดินออกไปอย่างมีความสุข เขาเข้าหาทั้งกลุ่มนักเจรจาและกลุ่มผู้บำเพ็ญลับเพื่อฟังว่าพวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจอย่างไรแล้ว หลังจากที่พูดไปสักพักพวกผู้บำเพ็ญลับก็พูดถึงตลาดมืดและพวกผู้หญิงแทน  

 

 

เขาได้ยินชื่อ ‘ท่านที่เคารพ’ ผ่านๆ ในหัวข้อที่พวกเขาคุยกัน เหมือนกับว่าท่านที่เคารพคนนั้นได้กลายเป็นตำนานของกลุ่มนักบำเพ็ญลับแล้ว ชายหนุ่มที่เก่งกาจในศิลปะการต่อสู้ เขาสวมผ้าคลุมสีขาวปลิวสะบัด แข็งแกร่งมากราวกัหลุดมาจากนิยาย  

 

 

ส่วนการพูดคุยของนักเจรจานั้นมีสาระมากกว่า หลี่ว์ซู่ได้ยินเบาะแสอะไรบางอย่างจากพวกเขา เครือข่ายฟ้าดินอยากจะขายดาบยาวมาตรฐานขององค์กรให้กับองค์กรเล็กๆ ที่ไม่มีท่าที่ว่าจะเป็นปรปักษ์กับเครือข่ายฟ้าดิน แล้วแลกเปลี่ยนเอาแร่มาจากพวกเขา  

 

 

แร่พวกนี้เป็นแร่โลหะที่สามารถเอาไปทำอาวุธฝึกซ้อมด้วยพลังทางจิตวิญญาณที่เพิ่มขึ้นมาจากยุคการฟื้นคืนของพลังได้  

 

 

เครือข่ายฟ้าดินมีแผนที่ดีทีเดียว พวกเขาสามารถตรวจสอบองค์กรใหญ่ๆ โดยการส่งอาวุธไปแลกเปลี่ยนกับพวกองค์กรเล็กๆ เพราะพวกองค์กรเล็กๆ พวกนี้ไม่ได้มีเครื่องมือทันสมัยที่จะผลิตอาวุธของตัวเองได้เลยยังต้องซื้ออาวุธเข้ามาใช้เองเท่านั้น และนี่ยังช่วยให้เครือข่ายฟ้าดินนั้นได้ทรัพยากรที่พวกเขาอยากได้ใจจะขาดมาด้วย  

 

 

ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าประเทศที่แยกตัวออกมาตัดสินใจแยกเพราะโดนประเทศอื่นๆ รังแก ดังนั้นเครือข่ายฟ้าดินจึงใช้วิธีเทอำนาจของประเทศใหญ่เข้าไปช่วย แต่จะไม่ทำให้พวกผู้บำเพ็ญขององค์กรเล็กๆ นั้นแข็งแกร่งเกินไป  

 

 

บางคนอาจกล่าวว่าเครือข่ายฟ้าดินนั้นทำตัวราวกับเป็นนักเลง แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าการทำตัวระมัดระวังในช่วงที่ยังไม่มีสงครามนั้นเป็นหนทางในการเอาตัวรอด  

 

 

…  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เบื่อจะตายอยู่แล้ว เธอไม่อยากอยู่บ้านดูนารูโตะเฉยๆ เธอรู้สึกว่าพอหลี่ว์ซู่ไม่อยู่บ้านแล้วก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น เธอถือกระเป๋าใบเล็กของเธอ และเจ้ากระรอกก็ปีนขึ้นมาที่กระเป๋าของเธออย่างว่าง่าย ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่วิทยาลัยลั่วเฉิง แมวตัวใหญ่และหมูเจ้าเล่ห์ก็กำลังเล่นกันอยู่ในสวน เสี่ยวอวี๋จะให้พวกมันพักหน่อยแล้วกัน  

 

 

พอเธอไปถึงที่วิทยาลัยก็มีคนเข้ามาทักทายเธอ หลี่อีเสี้ยวกับน่าหลานเชวี่ยนั่นเอง เธอเจอพวกเขาขณะที่กำลังเดินผ่านบริเวณที่อยู่อาศัย พอน่าหลานเชวี่ยเห็นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็หน้าตาสดใสขึ้นมาทันที น่าหลานเชวี่ยชอบเสี่ยวอวี๋จากใจจริงๆ “เสี่ยวอวี๋ๆ มากินข้าวที่บ้านเราสิ”  

 

 

หลี่อีเสี้ยวไม่อยากให้เธอไปด้วย แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว เสี่ยวอวี๋ไม่ใช่หลี่ว์ซู่นี่นา เขาโล่งใจขึ้นมานิดหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดไปนิดหนึ่งแล้วตอบตกลง เธอเดินเข้าไปในบ้านแล้วใส่รองเท้าแตะผ้าฝ้ายสำหรับที่ใส่ในบ้าน “รองเท้าแตะนี้มีอะไรแปลกๆ นะคะ”  

 

 

หลี่อีเสี้ยวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที น่าหลานเชวี่ยค่อยๆ เดินเอากรรไกรเข้ามาตัดรองเท้าแตะนี้อย่างใจเย็น แล้วมันก็มีธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนสองใบอยู่ข้างใน…  

 

 

“อ้อ หลี่อีเสี้ยว เดี๋ยวนี้รู้จักเย็บปักแล้วสิ จะได้ซ่อนเงินนี่ได้สินะ” น่าหลานเชวี่ยทำหน้าน่ากลัว  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +666!]  

 

 

หลี่อีเสี้ยวตระหนักแล้วว่ามีพี่น้องคู่นี้มาทีไรเป็นต้องเกิดเรื่องตลอด “ฮ่าๆๆ บ้านเราไม่มีอะไรกินนี่เนอะ ออกไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ!” หลี่อีเสี้ยวพูด  

 

 

จากนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็มองไปรอบๆ “ขอบคุณนะคะที่ดูแลหนู เดี๋ยวหนูจะเลี้ยงมื้อนี้เองค่ะ ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ช่วยสร้างโรงแรมให้เสร็จนะคะ”  

 

 

พอพวกเขาไปถึงร้านอาหาร เสี่ยวอวี๋ก็สั่งเหล้าหนึ่งขวดให้กับหลี่อีเสี้ยว หลังจากรอให้เขาดื่มไปสักพัก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เอ่ยถาม “ครั้งนี้คุณรู้ไหมคะว่าหลี่ว์ซู่ไปไหนกันแน่”  

 

 

หลี่อีเสี้ยวตอบแบบไม่คิดอะไร “ที่ไหนสักที่ในยุโรปนี่แหละ หลังจากที่ไปร่วมกับกลุ่มเทพเจ้าในสวีเดนแล้วก็จะกลับมากัน ฉันไม่คิดว่าจะไปกันนานหรอกนะ อย่างมากก็น่าจะสักครึ่งปีได้มั้ง”  

 

 

“สวีเดนเหรอคะ กลุ่มเทพเจ้าเนี่ยนะ!” เสี่ยวอวี๋อึ้งไป หลี่ว์ซู่ไม่เคยบอกอะไรเธอแบบนี้เลยนี่!  

 

 

เธอวางตะเกียบลงแล้วอุ้มเจ้ากระรอกที่กำลังกินอยู่ออกมา เธอรีบไปจ่ายเงินทันที ตอนนี้เธอต้องรีบไปที่ยุโรป!  

 

 

เจ้าของร้านคิดเงินแล้วยิ้มให้ “อาหารทั้งหมดสองร้อยหนึ่งหยวนจ้ะหนู แต่คิดแค่สองร้อยหยวนก็พอ”  

 

 

เสี่ยวอวี๋ครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงถามออกไป “แล้วถ้าค่าอาหารสองร้อยสี่หยวน คุณจะคิดฉันเท่าไหร่คะ”  

 

 

เจ้าของร้านงง แล้วเสี่ยวอวี๋ก็พยักหน้า “เอ่อ… ก็สองร้อยหยวนนั่นแหละจ้ะ”  

 

 

“งั้นหนูขอโคล่าฟรีสักขวดได้ไหมคะ”  

 

 

เจ้าของร้านเงียบไป  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากโจวมู่เซียน +666!]  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset