หลี่ว์ซู่เริ่มออกเดินทางแล้ว เนี่ยถิงไม่ได้บอกเขาว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดอวิ๋นอี่นั้นเข้าประเทศอินเดียมาพร้อมตั๋วเครื่องบินและวีซ่าอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งวันให้หลังจากที่หลี่ว์ซู่จากไป
เธอต้องถูกตะเพิดออกจากอาณาเขตของประเทศจีน…
เนี่ยถิงมองดูวิดีโอจากกล้องวงจรปิดอย่างไม่วางตาในฐานลับใต้ดิน สือเสวจิ้นไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไหร่นักจึงเอ่ยถาม “แล้วปรมาจารย์หุ่นเชิดมาทำอะไรที่นี่กัน แต่ดูเหมือนเราจะคิดถูกนะที่ว่าพวกมันสนใจอินเดียเป็นพิเศษในฐานะที่เป็นประเทศแทรกซึมเข้าไปได้ง่ายน่ะ”
“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ” เนี่ยถิงตอบเสียงเรียบ “เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะรู้ตัวจริงของหลี่ว์ซู่แล้วก็ได้”
พอคิดถึงเรื่องที่ปรมาจารย์หุ่นเชิดพักอยู่ที่ หมู่บ้านหลิว แล้วก็ยิ่งสับสน นอกจากนี้เธอยังเดินทางด้วยเที่ยวบินเดียวกับหลี่ว์ซู่ด้วย สองเหตุการณ์นี้จะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ น่ะหรือ หรือเป็นแผนที่วางเอาไว้กันแน่
“แต่เรื่องของเรื่องก็คือทำไมเธอไม่ลงมือทำอะไรเลยถ้าเธอรู้ตัวจริงของหลี่ว์ซู่แล้ว” สือเสวจิ้นไม่เข้าใจ “ผมเชื่อว่าเธอน่าจะรอดูหรือรอทำอะไรบางอย่างในเมืองลั่วอยู่นะครับ”
“ก็เป็นไปได้นะ” เนี่ยถิงพยักหน้ารับรู้ “ว่าแต่ว่าทำไมโบราณสถานที่ภูเขา หลงเหมิน ในเมืองลั่วยังไม่เปิดสักทีล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ การคาดการณ์เรื่องโบราณสถานเขาหลงเหมินนั้นประเมินจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเราเหมือนกัน เดี๋ยวนี้มีพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมากขึ้นทุกวัน ผู้บำเพ็ญเองก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แต่การคาดเดาเรื่องโบราณสถานภูเขาหลงเหมินน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดเพราะเราไม่เจออะไรผิดปกติรอบๆ นั่นเลย” สือเสวจิ้นพูด “อีกอย่างคุณว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับกลุ่มของหลี่ว์ซู่ไหมครับ ผมว่าเขาไปคนเดียวน่าจะดีกว่า”
เนี่ยถิงหันไปมองสือเสวจิ้น “หมายถึงจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือกับคนอื่นๆ นะ”
“แน่นอนว่าเป็นคนอื่นสิครับ…”
…
กลุ่มของหลี่ว์ซู่เข้ามารวมตัวกันที่ตู้โดยสารที่แยกออกมาจากคนอื่นๆ พวกเขาจะนั่งเครื่องบินจากเมืองหลวงไปและจะทำตามแผนที่วางไว้
เขาตรวจดูทุกคนในตู้โดยสาร กลุ่มเจรจาที่เขาพามาด้วยนั้นประกอบไปด้วยสมาชิกเพียงสามคนเท่านั้น เป็นผู้หญิงหนึ่งคน และผู้ชายสองคน แต่ละคนใส่ชุดสูทและสวมแว่นตาอย่างภูมิฐาน
แต่กลุ่มผู้บำเพ็ญลับนั้นต่างออกไป พวกเขานอนอยู่ในตู้โดยสารไปทั่ว ทั้งพูดคุยกัน สูบบุหรี่ และเล่นไพ่กันอย่างสนุกสนาน กลุ่มผู้บำเพ็ญลับมีกันสิบสี่คน รวมหลี่ว์ซู่และหัวหน้ากลุ่มที่มาจากเครือข่ายฟ้าดินด้วย
หลี่ว์ซู่ไม่คิดว่าหัวหน้าทีมจะอายุน้อยได้ขนาดนี้ แต่ถ้าไม่สนเรื่องอายุของเขาแล้ว ระดับพลังที่เขาปล่อยออกมาก็บอกได้ว่าเขาอยู่ระดับ C ขั้นสูงแล้ว เขาแนะนำตัวเองว่า ชื่อเซี่ยเหรินเซิง และเขาได้รับการฝึกมาแล้ว รวมถึงเชี่ยวชาญภาษารัสเซี่ยและภาษาอังกฤษอีกด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาได้รับตำแหน่งนี้
พวกผู้ดีนักเจรจาหยิบปึกกระดาษหนาๆ บางอย่างออกมาในตอนที่ขึ้นมานั่งบนรถไฟ หลี่ว์ซู่มองกระดาษปึกนั้นอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าพวกเขากำลังอ่านข้อมูลสำคัญของภารกิจนี้อยู่
คนพวกนี้เตรียมตัวกันมาดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคุยกับคนที่ไม่มีความรู้ให้เข้าใจสถานการณ์กันทั้งสองฝ่าย
ต้องยอมรับว่าคนพวกนี้มุ่งมั่นกับงานของพวกเขามาก พวกเขาใช้เวลาระหว่างเดินทางนี้ไปกับการอ่านข้อมูลและถกกันเงียบๆ อาจจะมีพักเข้าห้องน้ำกันบ้าง ช่างแตกต่างกับผู้บำเพ็ญรอบๆ เสียจริง
พวกเขาเป็นพวกลักลอบขนส่งศิลาวิญญาณกันมาก่อนหน้าที่เครือข่ายฟ้าจะจ้างพวกเขามา ก็เลยทำให้พวกเขากลายเป็นพวกกล้าได้กล้าเสีย
พวกเขาชินกับการเข้าไปในตลาดมืดและวางแผนอย่างเจ้าเล่ห์ ส่วนกลุ่มนักเจรจานั้นเป็นคนค่อนข้างหัวเก่า อนุรักษนิยมและมองโลกแบบตามขนบประเพณี
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ทำงานด้วยกันใต้การคุมของเซี่ยเหรินเซิง
หลี่ว์ซู่แยกตัวเองออกมาเพราะเข้าไม่รู้จักใครในนั้นเลย เขาหลับตาและนอนลงบนเตียงตรงมุมตู้
เขาไม่เห็นว่าจะมีใครเชื่อถือได้สักคน เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยรู้จักอะไรกันมาก่อน เขาเป็นผู้คุ้มครองที่ไว้ใจได้ก็จริง แต่ไม่ใช่คนช่างจ้อ เข้าไปพูดคุยให้ความร่วมมือหรือความไว้วางใจกับใครหรอก
ถึงแม้ว่าพวกผู้บำเพ็ญลับจะทำงานให้กับเครือข่ายฟ้าดินแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรยืนยันว่านิสัยของพวกเขาจะเปลี่ยนไปด้วย
หลี่ว์ซู่เคยสอดมือเข้าไปยุ่งในตลาดมืดมาพักหนึ่ง เขาจึงรู้ดีว่าผู้บำเพ็ญลับนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ดังนั้นหลี่ว์ซู่เลยจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของตัวเองในนี้ เพราะอาจมีคนทรยศเอาข้อมูลไปขายก็ได้
ผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มนักเจรจาค่อนข้างวัยรุ่น ชื่อของเธอคือ หลินกานอวี่ เธอสวมแว่นตากรอบดำที่ไหลมาตรงจมูก จู่ๆ เธอก็หันไปถามเซี่ยเหรินเซิง “คุณเซี่ยคะ ช่วยบอกคนพวกนั้นว่าให้เบาเสียงลงหน่อยได้ไหมคะ เรากำลังทำงานสำคัญทางการทูตที่เชื่อมระหว่างเครือข่ายฟ้าดินกับยุโรปอยู่นะคะ ขอให้เราได้คุยกันเงียบๆ หน่อยได้ไหมคะ”
คำพูดของหลินกานอวี่นั้นสุภาพมาก แต่น้ำเสียงของเธอไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“เธอมีงานให้ทำ เราก็มีงานของเราที่ต้องทำเหมือนกัน จะมาทำตัวข่มกันทำไม” ผู้บำเพ็ญลับที่ชื่อ หลิวฝาน ตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะที่ไม่พอใจ
หลินกานอวี่หรี่ตาด้วยความรำคาญ “การเล่นไพ่เป็นงานยังไงกันคะ”
หลิวฝานจุดบุหรี่ขึ้นสูบในตู้โดยสาร ควันเหม็นตลบคลุ้งไปทั่วห้อง หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้วใส่เขา หลิวฝานคงไม่สนใจอะไรหรอกเพราะเขาเป็นคนสูบบุหรี่ แต่เขากล้ามาสูบในตู้โดยสารอับๆ ที่ไม่มีช่องรระบายอากาศแบบนี้ได้ยังไง
หลิวฝานก็แยกเขี้ยวพูด “เราจะทำงานได้ดีตอนเรามีความสุข อย่ามายุ่งน่า!”
หลินกานอวี่ระเบิดอารมณ์โกรธขึ้นมาทันที “อันธพาลอย่างพวกคุณจะทำงานดีได้ยังไงคะ ดูสิว่าพวกคุณทำอะไรกันในรถไฟนี่! ทั้งเล่นไพ่ ทั้งคุยเสียงดัง แล้วก็คนนั้นอีก คนที่หลับตั้งแต่รถไฟเคลื่อนขบวน! จะทำงานอะไรกันได้ถ้าพวกคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย!”
หลี่ว์ซู่ “…”
เขาเป็นคนเดียวที่นี่ที่กำลังหลับ งั้นเธอก็กำลังพูดถึงเขาอยู่น่ะสิ! จะทะเลาะอะไรกันก็เชิญเถอะ แต่อย่าเอาคนไม่รู้เรื่องเข้าไปเกี่ยวด้วยได้ไหม
ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกสงสารพวกนักเจรจากันอยู่หรอก แต่ตอนนี้ไม่อีกต่อไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช่คนดีกันทั้งนั้นแหละ แต่ยังต้องเดินทางกันอีกนาน มาๆ มาทะเลาะกันหน่อยซิ
แล้วเซี่ยเหรินเซิงก็คลี่ยิ้ม เขาตบบ่าพวกนักบำเพ็ญลับเบาๆ ก่อนจะดับบุหรี่ด้วยนิ้วของเขาเอง “ดูกฎของที่นี่ตอนเราเดินทางหน่อยนะ เอาเถอะ ไปพักผ่อนกันได้”
แค่คำพูดประโยคเดียวของเขา แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับดีกว่าประโยคยาวเหยียดของหลินกานอวี่เสียอีก ไม่มีผู้บำเพ็ญคนไหนกล้าขัดคำสั่งของเครือข่ายฟ้าดิน เพราะยังไงพวกเขายังต้องพึ่งซุกหัวกับเครือข่ายฟ้าดินอยู่
พวกนักบำเพ็ญหัวเราะกลับและแยกย้ายกันไปนอนพัก แต่ก็ยังสบถไประหว่างทางก่อนจะเดินไปถึงเตียง นี่ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขายอมพราะเห็นแก่หน้าของเซี่ยเหรินเซิง ไม่ได้ทำเพื่อพวกนักเจรจา
หลี่ว์ซู่ได้แต่ฟังเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นขณะหลับตาอยู่ บางทีนี่อาจเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นล่าง ไม่มีฝ่ายไหนยอมกันหรอก หลี่ว์ซู่ตรวจดูภูเขาพลังของตัวเองว่าไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้มันไม่ค่อยคืบหน้าเลยตั้งแต่กลับจากโบราณสถานมา ภูเขานั้นไปได้แค่ครึ่งเดียวจากขนาดปกติ และการขุดภูเขาก็ยิ่งยากขึ้นและนานขึ้นทุกวัน