ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 644 การเจรจาถูกยกเลิกชั่วคราว

การเจรจาจะไม่ได้จัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของ EO แต่จัดที่เขตชานเมืองในพื้นที่ทุรกันดาร EO คงคิดว่าพวกผู้เชี่ยวชาญฝีมือดีทั้งหลายอาจลงมือทำลายสำนักงานใหญ่ของ EO ได้หากทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่พวกเขาหวังไว้  

 

 

ไม่สำคัญหรอกว่าใครจะเป็นคนชนะ เพราะถ้า EO เกิดถูกเป่ากระจุยเพราะเหตุนี้คงน่าอายมากเชียวล่ะ  

 

 

ถึงแม้องค์กรใหญ่ๆ จะทำลายสำนักงานใหญ่ของ EO แต่แล้วมันยังไงละ EO นั้นแข็งแกร่งมาก ในแอฟริกาใต้ไม่มีองค์กรใดมียอดฝีมือระดับ B มากถึงสองคนเช่นเดียวกับพวกเขาอีกแล้ว แต่ปัญหาคือระดับ B สองคนที่ว่าคงสู้พวกองค์กรใหญ่ๆ ไม่ได้น่ะสิ  

 

 

EO นั้นหวังพึ่งองค์กรใหญ่ในการตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เป็นเหตุผลที่พวกเขาเชิญองค์กรใหญ่ทั้งสิบเอ็ดองค์กรมาเพื่อพูดคุยคราวนี้ ถ้ามีองค์กรไหนต้องการผูกขาดแร่ไว้แต่เพียงผู้เดียวแล้ว องค์กรใหญ่ที่เหลือก็จะช่วยกันขับไล่องค์กรนั้นออกไป พวกเขาไม่ยอมให้คู่แข่งที่มีพลังอำนาจเท่าๆ กันมาเอาเปรียบพวกเขาได้หรอก  

 

 

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ EO ซึ่งเป็นกลุ่มที่องค์กรใหญ่ทั้งหลายสามารถโค่นทิ้งได้ง่ายๆ จึงต้องเลือกรับบทเป็นกันชนและพ่อค้าคนกลางนั่นเอง แน่อยู่แล้วว่าในอนาคตทุกองค์กรอยากฮุบ EO เอาไว้เป็นของตน กระนั้นกลุ่ม EO ก็น่าจะประสบความสำเร็จได้โดยไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ก็คงได้มีฉากตื่นเต้นเหมือนเดินอยู่บนลวดบางๆ ที่ขึงไว้หน่อยล่ะ  

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าหัวหน้าของ EO ใจกล้าบ้าบิ่นมาก เขาไม่ได้แค่ร้องขอหนังเสือจากเสือ  [1]  เท่านั้น แต่เขาไปร้องขอกับเสือถึงสิบเอ็ดตัวเลยละ  

 

 

ในองค์กรทั้งสิบเอ็ดนั้นมีฝ่ายศรัทธา กลุ่มฟีนิกซ์ และเครือข่ายฟ้าดินที่มีอำนาจในการต่อรองมากที่สุดเพราะเป็นองค์กรมียอดฝีมือระดับ A อยู่ พวกเขาถือเป็นผู้มีอำนาจชั้นยอดเลย  

 

 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่องค์กรอื่นไม่เข้าใจ ที่จริงแล้วเครือข่ายฟ้าดินน่าจะเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งกว่าองค์กรไหนๆ แต่ทำไมกลุ่มเจรจาของพวกเขาถึงได้ดูอ่อนแอจังละ  

 

 

ก่อนที่พวกเขาจะมุ่งหน้ากันออกไป เซี่ยเหรินเซิงก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายไม่กลัวเลยนะหลี่เถิง ดูนายจะตื่นเต้นมากกว่าด้วยที่จะได้ไปน่ะ…”  

 

 

“ผมยังไม่เคยเห็นการเจรจาระดับใหญ่เท่านี้มาก่อนเท่านั้นเอง” หลี่ว์ซู่พูดและหัวเราะอย่างร่าเริง  

 

 

เซี่ยเหรินเซิงคิดว่าว่าหลี่เถิงไม่ได้ไว้ใจไม่ได้ขนาดนั้น แต่หลี่เถิงเป็นคนคิดเป็นต่างหาก เขาพาหลินกานอวี่ หลิวฝาน และคนอื่นๆ ไปที่ชายเมืองในพื้นที่ทุรกันดาร หลี่ว์ซู่มองดูทิวทัศน์รอบตัว ถ้าพวกเขาเกิดสู้กันที่นี่จริงๆ เขาต้องรู้ทิศทางต่างๆ ว่าควรมุ่งหน้าไปทางไหน ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีกลุ่มไหนสามารถประจันหน้ากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับ B แบบซึ่งๆ หน้าหรอก  

 

 

ตัวเขาเองไม่เป็นไรหรอก แต่หลินกานอวี่ หลิวฝาน และคนอื่นๆ อาจตายได้ ขนาดเซี่ยเหรินเซิงที่มีพลังระดับ C ก็ไม่น่าจะรอดเหมือนกัน  

 

 

กลุ่ม EO ก่อตั้งช่วงปลายของศตวรรษที่ยี่สิบซึ่งยังเป็นช่วงที่พลังทางจิตวิญญาณขาดแคลน พวกเขาก่อตั้งตัวเองเป็นองค์กรทหารรับจ้างในแอฟริกาใต้ พวกเขามีความสามารถและความแข็งแกร่งเพราะเคยเป็นทหารกันมาก่อน  

 

 

พอเข้าสู่ช่วงที่มีพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น เบ็นเนตต์ หัวหน้ากลุ่ม EO และสมาชิกคนสำคัญหลายๆ คนก็ปะทุพลังขึ้น และเนื่องจากแอฟริกาไม่ได้มีจำนวนผู้บำเพ็ญมากนัก พวกเขาจึงสามารถควบคุมพื้นที่นี้เอาไว้ได้  

 

 

แต่ด้วยสาเหตุนี้เอง EO จึงรักษาองค์กรของตนเองได้ยากไปด้วย มีแค่ครอบครัวของเบนเน็ตต์เท่านั้นที่ครอบครองเคล็ดการฝึกบำเพ็ญเอาไว้ เคล็ดวิชาเหล่านี้อาจใช้อะไรมากไม่ได้ในช่วงที่พลังจิตวิญญาณขาดแคลน แต่พอเข้าสู่ช่วงพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแล้ว เคล็ดวิชานี้ก็ส่องประกายคุณค่าขึ้นมา  

 

 

EO มีค่ายทหารของตนเองไว้ขัดเกลาเยาวชนหนุ่มทั้งหลาย ทั้งนี้ก็เพราะเบ็นเนตต์ไม่มีวิธีอื่นในการเลือกพวกที่มีความสามารถและฝึกพวกเขาให้เป็นผู้บำเพ็ญที่ง่ายกว่านี้แล้ว  

 

 

เพราฉะนั้นการที่ EO มีอำนาจขึ้นมาได้นั้นจึงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ กระนั้นนี่ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ หลี่ว์ซู่หยุดและอ่านข้อมูลที่สือเสวจิ้นส่งมาให้ โทรศัพท์มือถือที่เขาได้มาจากเครือข่ายฟ้าดินนั้นมีข้อมูลมากกว่าที่เซี่ยเหรินเซิง หลินกานอวี่และคนอื่นๆ มีเสียอีก  

 

 

ข้อมูลที่เขาได้มาเล่าถึงชีวิตวัยเด็กของเบ็นเนตต์เอาไว้ด้วย อย่างตอนที่เขาอายุได้สิบสามปี เขาทะเลาะวิวาทกับเพื่อนในห้องและใช้ดินสอแทงตาเพื่อนคนนั้นจนบอด เขาจึงต้องเดินทางไปต่างประเทศและประกอบอาชีพทหารรับจ้าง หลังจากยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแล้ว EO ก็ไม่ได้หารายได้เข้าองค์กรเพียงอย่างเดียว พวกเขายังมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยานกว่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่ชั่วร้ายที่สุดในประเทศ  

 

 

มีวิดิโอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่ม EO ที่แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมยามว่างของพวกเขาด้วย ในวิดิโอนั้น เบ็นเนตต์สวมหมวกทหาร สีหน้าของเขาเย็นชาและเ**้ยมเกรียม เขากำลังบรรยายให้กับคนอื่นๆ ฟังอยู่ คนที่แอบถ่ายวิดิโอนี้มาเป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมการฝึกทหารด้วย  

 

 

และเครือข่ายฟ้าดินก็ส่งวิดิโอนี้มาให้หลี่ว์ซู่  

 

 

แต่เขาไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเบ็นเนตต์ในตอนนี้ได้เลย  

 

 

เขากำลังคิดถึงอีกปัญหาอยู่ว่าจะหาแต้มอารมณ์มาได้ด้วยวิธีไหน ถ้าหาไม่ได้ การมาต่างประเทศคราวนี้ก็เรียกได้ว่าเปล่าประโยชน์! ตอนนี้เขาติดอยู่ที่การจุดประกายกลุ่มดาวกลุ่มที่สามและไม่สามารถใช้แต้มอารมณ์ของตัวเองด้วย น่าปวดหัวจริงๆ!  

 

 

แต่เดี๋ยวก่อนนะ หลี่ว์ซู่คิดออกแล้วว่าจะใช้แต้มอารมณ์อย่างไรดี เอาไปแลกผลชี่ไห่ไงล่ะ!  

 

 

เขาได้ขุดภูเขาพลังเพื่อสร้างจิตวิญญาณกระบี่แล้ว ภูเขาพลังแห่งที่สองของเขายังไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาเลย เขาเลยจะใช้แต้มอารมณ์ที่ได้มาเพิ่มนี้เพื่อไปแลกผลชี่ไห่และเร่งการเลื่อนระดับซะ!  

 

 

ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณกระบี่ของเขาจะไม่ได้มีพลังการโจมตีมาก แต่มันก็ยังช่วยสนับสนุนการโจมตีได้อยู่  

 

 

หลี่ว์ซู่คิดว่าไหนๆ เขาก็ติดแหง่กอยู่กับการจุดประกายกลุ่มดาวที่สามแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหาแต้มอารมณ์มาเพิ่มอีก แต่ตอนนี้เขาสามารถใช้แต้มอารมณ์เพื่อแลกผลชี่ไห่และสร้างจิตวิญญาณกระบี่ได้นี่นา  

 

 

ตอนนี้พวกเขาก็มาถึงที่หมายกันแล้ว ตัวแทนของแต่ละองค์กรกำลังรอกันอยู่ พวกเขาเว้นระยะห่างจากตัวแทนขององค์กรอื่นๆ และรอเพียงแค่เบ็นเนตต์ที่เป็นหัวหน้าของกลุ่ม EO และคนอื่นๆ เซี่ยเหรินเซิงเอ่ยเตือนพวกเขาเบาๆ อีกรอบ “จำที่บอกไว้ด้วยละ ระวังการกระทำและคำพูด แล้วก็… เดี๋ยวนะ หลี่เถิงหายไปไหนล่ะ!”  

 

 

พวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้ตามพวกเขามาด้วย และในขณะที่ทุกคนกำลังรออยู่นั้น จู่ๆ โทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมของพวกเขาก็ดังขึ้นพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง ฮาเวิร์ดขมวดคิ้วก่อนกดรับโทรศัพท์ เขาตกใจมาก “นายบอกว่ามีใครที่ไหนก็ไม่รู้เกือบจะทำลายสำนักงานใหญ่งั้นเหรอ! ใครทำกัน!”  

 

 

“แกะรอยคนร้ายไม่ได้งั้นเหรอ มีผู้บำเพ็ญระดับ B ตั้งสองคนแท้ๆ แต่ก็ยังแกะรอยคนร้ายไม่ได้เนี่ยนะ! เบ็นเนตต์อยู่ไหน!”  

 

 

หลังจากที่ถามคำถามกันไปมา พวกเขาก็ได้รู้ว่าผู้บำเพ็ญระดับ B ทั้งสองคนกับเบ็นเนตต์กำลังเดินทางมาเจรจาที่นี่ เลยไม่มีใครคอยเฝ้าสำนักงานใหญ่ไว้ และสำนักงานใหญ่ก็ถูกทิ้งไว้แบบนั้น ปราศจากการปกป้องใดๆ ทั้งสิ้น  

 

 

และในขณะนั้นก็มีใครบางคนวิ่งพล่านไปทั่วและถือภูเขาลูกเล็กเอาไว้ในมือ เขาขว้างภูเขาลูกนั้นไปที่สำนักงานใหญ่ของ EO ทำให้อาคารเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่…  

 

 

เบ็นเนตต์ละผู้บำเพ็ญระดับ B อีกสองคนที่กำลังมุ่งหน้ามาที่สถานที่เจรจาจึงต้องวกตัวกลับไปที่สำนักงานใหญ่ของพวกเขาอย่างกะทันหัน ตามรายงานพบว่าคนร้ายเป็นคนผิวขาว และตอนนี้เขาก็ได้หายวับไปแล้ว  

 

 

ตอนที่มีคนบอกว่าคนก่อเหตุเป็นชายผิวขาว ทุกคนต่างก็คิดไปถึงตัวการคดีเต้าหู้เหม็น มีคนบอกว่าคนร้ายคราวนี้กับคนร้ายที่ขว้างเต้าหู้เหม็นน่าจะเป็นคนเดียวกัน  

 

 

ด้วยเหตุนี้การเจรจาจึงถูกยกเลิกไปชั่วคราว ต้องมีองค์กรอื่นๆ ที่อยากขัดขวางการเจรจานี้แน่ๆ …  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากฮาเวิร์ด มิลเลอร์ +666!]  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเซี่ยเหรินเซิง +666!]  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +666!]  

 

 

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที พวกเขาจะหาตัวการมาให้ได้แล้วลงโทษเขาซะ!  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  สำนวนจีน แปลว่าขอให้คนที่มีนิสัยเ**้ยมเกรียมชั่วร้ายทำอะไรบางอย่างที่ขัดกับความต้องการของคนคนนั้น  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset