ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 650 สะสาง

ตอนที่ 650 สะสาง  

 

 

การต่อสู้ระหว่างฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์นั้นถูกคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าสักวันต้องเกิดขึ้น แต่อยู่ๆ ก็กลายเป็นเรื่องตลกไปเสียอย่างนั้นเพราะมีใครก็ไม่รู้โผล่เข้ามาป่วน  

 

 

ทั้งสององค์กรเป็นองค์กรผู้บำเพ็ญระดับต้นๆ ที่แก่งแย่งชิงดีกันทั้งอำนาจทั้งอิทธิพล เพราะฉะนั้นการต่อสู้ของฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์ดูจะเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต่อสู้นี้อาจเกิดขึ้นในหรือนอกโบราณสถานก็ได้ และผู้ชนะก็จะเพลิดเพลินไปกับการมีอำนาจที่เหนือกว่าการครองโลกไปได้  

 

 

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้คงถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าอับอายสำหรับองค์กรทั้งสอง…  

 

 

ฟรานเชสโก้ไม่สามารถหาคำอธิบายให้กับการกระทำที่น่ารังเกียจของชายคนนั้นได้  

 

 

ตอนแรกฮาเวิร์ดแทบจะกระอักเลือดออกมาตอนที่โดนฟรานเชสโก้โจมตีจนสูญเสียการควบคุมพลังวิญญาณไปด้วย  

 

 

ต่อมาเขาก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้เพราะอาวุธของฟรานเชสโก้ถูกขโมยไปเสียอย่างนั้น…  

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +999!]  

 

 

อันที่จริงแล้วไม้เท้าไฟของฮาเวิร์ดนั้นไม่ได้ได้มาง่ายๆ กลุ่มฟีนิกซ์ต้องวิจัยประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตำนานมากมายเพื่อค้นหาไม้เท้าที่เหมาะที่สุดสำหรับผู้มีพลังสายธาตุไฟ แต่สุดท้ายมันก็ถูกฉกไปดื้อๆ  

 

 

เขาโกรธมาก แต่เขารู้ว่าดาบของฟรานเชสโก้นั้นสำคัญกว่าเป็นไหนๆ เพราะมันถือเป็นสิ่งแสดงสถานะที่เหนือกว่าภายในกลุ่ม สำหรับฟรานเชสโก้แล้ว ดาบถือเป็นทั้งอาวุธและสัญลักษณ์แห่งพลัง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ โดนฉกไปเหมือนกัน …  

 

 

ฮาเวิร์ดควรจะรู้สึกเศร้าสิ แต่น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกอย่างนั้น…  

 

 

ทั้งสองคนพยายามยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล พวกเขาไม่มั่นใจว่าควรดำเนินการต่อสู้ต่อไปหรือไม่ อะไรเนี่ย… ขนาดความคิดของพวกเขายังฟุ้งซ่านไปด้วย  

 

 

ตอนนี้ทั้งฟรานเชสโก้และฮาเวิร์ดต่างตกลงกันอยู่ในใจว่าจะไม่พูดอะไรต่อ หลังจากมองหน้ากันแล้ว พวกเขาก็รีบวิ่งไปทางที่หลี่ว์ซู่หายตัวไปพร้อมกับคนของกลุ่มตัวเอง…  

 

 

ฟรานเชสโก้หัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา “นี่เป็นความคิดโง่ๆ ของแกเองนะว่าจะให้ใช้ความขัดแย้งของเราล่อยอดฝีมือของเครือข่ายฟ้าดินออกมาน่ะ แต่ดูสิว่าเราต้องเสียอะไรไปเท่าไหร่ก่อนที่มันจะออกมาได้เสียอีก!”  

 

 

คนนอกคงคาดไม่ถึงว่าฝ่ายศรัทธาและกลุ่มฟีนิกซ์จะจับมือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว เพราะพวกเขาเพิ่งเห็นองค์กรทั้งสองสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่จริงแล้วพวกเขาอยากจะกำจัดเครือข่ายฟ้าดินออกไปก่อนนี่เอง!  

 

 

กระนั้นกลับกลายเป็นว่ากลุ่มของเครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่มีผู้มีพลังระดับ B เลย ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนแผน  

 

 

พวกเขาตั้งใจจะฆ่าราชันฟ้ามาตั้งนานแล้ว ถึงกลุ่มฟีนิกซ์และฝ่ายศรัทธาจะเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นองค์กรที่เกือบจะแข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ตาม ทว่าพวกเขาก็ยังต้องระวังศัตรูคนเดียวกัน นั่นคือเครือข่ายฟ้าดิน  

 

 

ทั้งสองกลุ่มเป็นองค์กรระดับต้นๆ ที่มีผู้มพลังระดับ A หนึ่งคนอยู่ในกลุ่มของตัวเอง แต่เครือข่ายฟ้าดินนั้นมีถึงสองคน ด้วยเหตุนี้พวกเขาถึงต้องร่วมมือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของเครือข่ายฟ้าดินด้วยกัน และเมื่อตกลงกันว่าจะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องกำจัดราชันฟ้าออกจากสถานการณ์นี้  

 

 

อย่างไรก็ตาม กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ราชันฟ้าที่พวกเขารอคอยกลับไม่ปรากฏตัว…  

 

 

ความจริงแล้วทั้งฟรานเชสโก้และฮาเวิร์ดต่างก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้หัวขโมยนั่นเป็นใคร  

 

 

แต่นับแต่นี้ต่อไป ไอ้หมอนั่นได้เข้าไปอยู่ในบัญชีดำของกลุ่มฟีนิกซ์และฝ่ายศรัทธาแน่!  

 

 

ฮาเวิร์ดเอ่ยตอบอย่างใจเย็น “แต่แกเองก็เห็นด้วยกับความคิดนั้นไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องมาโทษกันเลย อีกอย่างตอนนี้ก็แน่ใจแล้วว่าเครือข่ายฟ้าดินไม่ได้สนใจทรัพยากรแร่ คนของฝั่งฉันจับตาดูพวกมันไว้แล้ว การต่อสู้ของเราไม่ได้ดึงดูดคนของมันมาเลย”  

 

 

“เดี๋ยวนะ” ฟรานเชสโก้หยุดและถาม “คนของแกไม่เห็นไอ้หมอนั่นเข้ามางั้นเหรอ”  

 

 

“เห็นสิ” ฮาเวิร์ดตอบ “มันไม่ได้ซุ่มมองมาจากความมืดหรอก แต่มันมาพร้อมอาวุธครบมือและคนของฉันก็หยุดมันไว้ไม่ได้”  

 

 

ฟรานเชสโก้ได้ยินอย่างนั้นก็พูดไม่ออก  

 

 

ฮาเวิร์ดเลยเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “รีบส่งคนไปหาไอ้หมอนั่นเร็ว ตอนนี้เบ็นเนตต์ไม่ใช่ปัญหาหรอก เรื่องสำคัญตอนนี้คือหาตัวเจ้านั่นให้เจอ”  

 

 

พวกเขาสู้กันที่ไหนก็ได้ แต่จะสู้กันแบบไม่มีอาวุธไม่ได้…  

 

 

พวกเขาจับมือเป็นพันธมิตรกันด้วยเป้าหมายที่จะจู่โจมเครือข่ายฟ้าดินเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วพวกเขาก็ยังเป็นศัตรูกันในเรื่องโบราณสถานและเรื่องแร่อยู่ดี  

 

 

นี่แหละคือวิธีที่องค์กรใหญ่ๆ มักจะใช้กัน พวกเขามีทั้งเรื่องที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย  

 

 

ตอนนี้พวกเขาตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์แล้วว่าจะหยุดการต่อสู้เรื่องแร่เอาไว้ก่อนจนกว่าจะจับตัวคนร้ายมาได้ ตอนนี้พวกเขาต้องจัดการปัญหาภายนอกก่อนแล้วค่อยมาสะสางเรื่องส่วนตัว  

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือจะต้องสะสางเรื่องในสนามต่อสู้ก่อน!  

 

 

จนป่านนี้เบ็นเนตต์ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ตกเป็นเป้าหมายที่อ่อนแอเหลือเกิน ในขณะที่เขาหวังว่าตัวเองจะรอดด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อขัดแย้งระหว่างองค์กรใหญ่ๆ  

 

 

เขาขอร้องให้เสือช่วย แต่เขาลืมไปว่าเสือตัวจริงนั้นกระหายเลือดและเนื้อแค่ไหน  

 

 

ฟรานเชสโก้หยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนพูด “เอาตามที่ว่า เริ่มที่เบ็นเนตต์น่าจะดี”  

 

 

…  

 

 

สำนักงานใหญ่ของ EO ถูกทิ้งร้างไว้ กลุ่ม EO ได้ขอใช้อาคารใกล้เคียงชั่วคราวโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า  

 

 

ตอนนี้หลี่ว์ซู่ได้เปลี่ยนหน้าตาและเสื้อผ้าเป็นฮาเวิร์ดแล้ว เขากำลังเดินไปในตึกด้วยท่าทางสง่างามราวสุภาพบุรุษ ในมือเขามีไม้เท้าไฟอยู่ในมือ  

 

 

ปกติแล้วยามรักษาการณ์ท่าทางน่ากลัวที่อยู่ข้างหน้าตึก EO จะไม่ยอมให้ใครเข้าไปง่ายๆ โดยไม่ผ่านการยืนยันตัวตนก่อน แต่พวกเขาไม่กล้าเข้าไปขวางฮาเวิร์ดที่มีพลังระดับ B หรอก เพราะฉะนั้นพวกเขาเลยปล่อยให้เขาเข้าไปและรายงานหัวหน้าทันที  

 

 

หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปด้วยท่าทีหยิ่งยโสประหนึ่งกลุ่มทหารรับจ้างจาก EO ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย  

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มให้เบ็นเนตต์อย่างใจเย็นขณะที่เบ็นเนตต์เข้ามาทักทายเขา “ผมมีข้อเสนอ”  

 

 

แล้วเบ็นเนตต์ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป “เข้ามาสิครับ”  

 

 

หลังจากที่หลี่ว์ซู่เดินตามเบ็นเนตต์เข้าไปในห้อง เขาก็พูดว่า “ผมรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังกังวลเรื่องฝ่ายศรัทธาอยู่ งั้นมาพูดกันตรงๆ ดีกว่า ผมขอให้คุณเข้าร่วมกับเราในนามของกลุ่มฟีนิกซ์ ไม่ใช่เข้าร่วมเฉยๆ นะ แต่เราจะให้ศิลาวิญญาณสามหมื่นเม็ด อาวุธวิเศษสิบชิ้น และผลปะทุพลังอีกสิบผล คุณจะได้เป็นสมาชิกสภาในกลุ่มฟีนิกซ์ แต่คุณจะต้องให้กรรมสิทธิ์แร่แก่เราอย่างเต็มรูปแบบ และแร่ในเหมืองทั้งหมดจะต้องถูกส่งไปที่อเมริกา”  

 

 

เบ็นเนตต์นิ่งไป ทำไมข้อเสนอล่อตาล่อใจแบบนี้เนี่ย เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยนะ!  

 

 

แต่เบ็นเนตต์เองก็มีแผนของเขาเองเหมือนกัน เขาเลยตอบกลับไปว่า  

 

 

“กลุ่มเรามีผู้บำเพ็ญระดับ B อีกคนหนึ่ง เขาควรที่จะได้เป็นสมาชิกสภาเหมือนกันนะครับ”  

 

 

หลี่ว์ซู่ลุกขึ้นและเตรียมตัวเดินออกไป “

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset