เมื่อหลี่ว์ซู่โดนหลี่อีเสี้ยวจับได้เขาก็เริ่มคิดว่าตัวเองเหมาะกับการเป็นสายลับปลอมตัวหรือเปล่า ทำไมถึงโดนจับได้ง่ายเสียเหลือเกิน
แต่หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าหลี่อีเสี้ยวนั้นรู้อยู่แล้วว่ามีหลี่ว์ซู่อยู่ในกลุ่ม และราชันฟ้าอย่างเขานั้นก็จำหลี่ว์ซู่ได้ตั้งแต่แรกเห็นด้วยซ้ำ อีกทั้งเขายังรู้อีกว่าคนกลุ่มนี้ได้เดินทางออกมาจากเมืองลั่วและมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
กลุ่มผู้บำเพ็ญลับนั้นเป็นชาวเมืองลั่ว แต่พวกนักเจรจานั้นมาจากทางใต้ ฉะนั้นจึงต้องมีเหตุผลอธิบายว่าทำไมพวกคนกลุ่มนี้ถึงต้องเริ่มเดินทางออกมาจากเมืองลั่วที่เป็นเมืองเล็กๆ และมีเพียงสนามบินเล็กๆ อยู่ด้วย
ถึงคนอื่นจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่หลี่อีเสี้ยวรู้ว่าต้องมีคนสำคัญปลอมตัวมาด้วยแน่ แล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ ในเมื่อคำตอบมันชัดเจนขนาดนี้
เพราะฉะนั้นหลี่อีเสี้ยวเลยมองหาแต่ร่องรอยของหลี่ว์ซู่ในวินาทีที่เขาเปิดประตูเลยทีเดียว ตอนแรกเขาก็กลัวว่าจะหาหลี่ว์ซู่ไม่เจอเพราะหลี่ว์ซู่คงจะใส่หน้ากากปิดบังตัวเองไว้
แต่พอผ่านไปเขาก็เห็นว่าเขาไม่ควรจะกังวลไปเลย นิสัยส่วนตัวของหลี่ว์ซู่เหมือนกับแสงสว่างในความมืด ออกจะเด่นออกมาเสียขนาดนี้…
หลี่ว์ซู่เลยพูดอ้อมแอ้ม “แต่ในแอฟริกาไม่มีแหล่งทำเงินเลยนะครับ แถมน่าหลานเชวี่ยยังจับตาดูท่านอยู่อย่างใกล้ชิดเลยด้วย แล้วแบบนี้จะหาเงินกันยังไงล่ะครับ” แล้วหลี่อีเสี้ยวก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา
“ฉันว่าสำนักงานใหญ่ของ EO ต้องเต็มไปด้วยเงินสดจำนวนมากแน่ๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะฟังนายทำตามนายทุกอย่าง แล้วเรามาแบ่งเงินกัน 90 ต่อ 10 นายเก็บเงินไว้ก่อนแล้วฉันค่อยไปเอาจากนายตอนเรากลับถึงบ้านแล้ว!”
ฉลาดนี่ หลี่ว์ซู่คิด น่าหลานเชวี่ยยึดกระเป๋ามิติของหลี่อีเสี้ยวไป หลี่ว์ซู่เลยจะเป็นตู้เก็บเงินให้เขาไปพลางๆ ก่อน แต่ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะได้พูดอะไรหลี่อีเสี้ยวก็พูดขึ้นมาก่อน
“น้องชาย ช่วยฉันหน่อยเถอะ ช่วงนี้ฉันลำบากจริงๆ อย่าคิดเป็นหลักทศนิยมกันเลยครั้งนี้ ใจฉันจะทนไม่ไหวเอา”
“แหม ก็นะ” หลี่ว์ซู่ไม่คิดว่าหลี่อีเสี้ยวจะพูดแบบนี้ออกมาก่อน แต่อย่างไรก็ตามแผนเดิมก็คือการไปตกลงกับ EO แบบสันติ ซึ่งนั่นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้แล้วล่ะในเมื่อหลี่อีเสี้ยวมาที่นี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเขาจะไปเอาเงินมาได้อย่างไรล่ะ พวกเขาต้องเตรียมการกันอย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจออกไปสู้ หลี่ว์ซู่ก็อยากจะเตรียมกลยุทธ์ในการโจมตีแบบลับๆ ที่จะทำให้เขาได้เปรียบมากขึ้นด้วย
“รอฟังสัญญาณจากผมแล้วกันครับ เราค่อยเริ่มกันพรุ่งนี้” หลี่ว์ซู่พูดจบก็กระโดดออกไปทางหน้าต่าง
หลี่อีเสี้ยวทำหน้าดีใจมากเมื่อเห็นว่ามีบะหมี่สองถ้วยวางอยู่บนโต๊ะของหลี่ว์ซู่ เขาหยิบทั้งสองถ้วยนั่นไปที่ห้องกินข้าว เขาเห็นน่าหลานเชวี่ยและหลินกานอวี๋พูดคุยกันอย่างถูกคอ เมื่ออยู่กับพวกผู้ชายนานๆ แล้วหลินกานอวี๋ก็อยากจะคุยกับผู้หญิงด้วยกันบ้าง
เธอเอ่ย “คุณสองคนเป็นผู้บำเพ็ญเหมือนกันแล้วดูน่ารักมากเลย แล้วพวกคุณก็ได้ใช้ชีวิตน่าตื่นเต้นด้วยกันอีก”
ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเรื่องราวความรักของน่าหลานเชวี่ยและหลี่อีเสี้ยวนั้นเป็นเรื่องที่ซึ้งกินใจ ในเวลาสงบอย่างนี้มีแต่สาวๆ นับไม่ถ้วนฝันอยากจะร่วมรบกับคนรัก พวกเขาจะได้ต่อสู้ในเวลายากลำบากด้วยกัน ช่างแสนโรแมนติกและน่าตื่นเต้นอะไรอย่างนี้ อย่างกับเป็นคู่รักในตำนานเลย
แต่เมื่อน่าหลานเชวี่ยได้ยินอย่างนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ
“น่ารักงั้นเหรอ ฉันยังไม่รู้เลยว่าเขารักฉันจริงๆ หรือเปล่า”
ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มตึงเครียดเล็กน้อยเมื่อหลี่อีเสี้ยวปฏิเสธที่จะมีลูกกับเธอ น่าหลานเชวี่ยไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าหลี่อีเสี้ยวเข้าใจที่เธอพูดและยังจะปฏิเสธเธออีก
หลินกานอวี่กระซิบตอบเธอ “ถ้าคุณอยากรู้ว่าผู้ชายรักคุณจริงไหมให้คุณมองเข้าไปในตาเขาสักสิบวินาที ถ้าเขาจูบคุณก่อนก็แปลว่าเขารักคุณจริงๆ ”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” น่าหลานเชวี่ยพูดอย่างเหลือเชื่อ
“ลองดูแล้วกันค่ะ” หลี่ก้านอวี๋พูดยิ้มๆ
ในขณะที่หลี่อีเสี้ยวเดินออกไปพร้อมกับถ้วยบะหมี่สองถ้วย เขาก็เห็นน่าหลานเชวี่ยมาปรากฏตรงหน้าและจ้องเขาไม่วางตา พอผ่านไปห้าวินาทีเขาก็ยื่นถ้วยบะหมี่สองถ้วยนั่นให้น่าหลานเชวี่ย “เอาไปสองถ้วยเลยก็ได้ ฉันยังไม่ได้กิน…”
น่าหลานเชวี่ยอึ้งไปเลย สรุปเขารักเธอหรือไม่รักล่ะเนี่ย…
…
หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปในร้านขายของของจ้าวหย่งเฉิน เขากำลังดูละครในโทรศัพท์มือถือไปพลางหัวเราะไปพลางจนตาเล็กๆ ของเขาเกือบหายไป จ้าวหย่งเฉินรีบเก็บโทรศัพท์เข้าไปเมื่อเขาเห็นหลี่ว์ซู่เดินเข้ามา
“ให้ผมช่วยได้อย่างไรบ้างครับ”
“ช่วยจัดชุดทหารแบบนายร้อย EO ให้หน่อยสิ” หลี่ว์ซู่ไม่พูดเป็นรหัสลับอีกแล้ว
“อะไรนะครับ” จ้าวหย่งเฉินถามอย่างไม่มั่นใจ แล้วหลี่ว์ซู่ก็ชี้ไปที่โค้กกระป๋อง
“อันนี้กระป๋องเท่าไหร่ ขอลดสัก 2.333 ดอลลาร์ได้ไหม”
จากนั้นจ้าวหย่งเฉินก็กลับมาพูดธรรมดาเหมือนเดิม เขาถามอย่างระมัดระวังออกไปว่า
“ได้สิ เอาไปหนึ่งดอลลาร์ก็ได้ แต่อย่ามาโทษกันล่ะ ก็รู้อยู่ว่างานผมต้องเข้มงวดกันหน่อย คุณเปลี่ยนหน้าตาได้ก็จริงแต่คนอื่นๆ ก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน งั้นเรามาทำตามขั้นตอนเดิมกันทุกครั้งจะดีกว่าไหม”
หลี่ว์ซู่เข้าใจ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของความเป็นมืออาชีพ ถ้าสายลับหน่วยข่าวกรองโดนจับได้ขึ้นมาคนคนนั้นจะโดนลงโทษอย่างหนักและคงจะโดนทรมานเพื่อเค้นเอาความจริงและจะทำให้หน่วยข่าวกรองทั้งหมดล่มไปด้วย ดังนั้นการที่จะเข้มงวดก็ไม่ได้ผิดหรอก หลี่ว์ซู่เรียนรู้มาแล้ว เขาเลยพูดออกไป
“เข้าใจแล้วล่ะ ขอบคุณนะครับ งั้นช่วยเตรียมชุดของนายร้อย EO ให้ผมหน่อยนะ”
แล้วเขาก็พยายามจะเปิดกระป๋องตรงแผ่นเหล็กข้างบนกระป๋อง แต่มันหลุดออกมาเสียก่อนก็เลยเปิดไม่ได้ หลี่ว์ซู่มองดูกระป๋องแล้วพบว่ามันคือยี่ห้อ ‘ค็อก’ อย่างที่คิดไว้เลย…
หลิวฟ่านคงจะมาซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่นี่ด้วยสินะ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไปจ้าวหย่งเฉินก็พูดเสียงจริงจัง “เคยได้ยินตำนานความเชื่อนี้ไหม ว่ากันว่าถ้าคุณเปิดกระป๋องไม่ออกแต่ดึงแผ่นเหล็กติดออกมาด้วยแปลว่าแผ่นเหล็กนั้นถูกพระเจ้าเลือกไว้แล้ว และคุณจะต้องสวมแผ่นเหล็กนั้นไว้เป็นแหวน อ้าว เดี๋ยวก่อนสิ”
หลี่ว์ซู่ยื่นหอกสามง่ามไปจ่อบนหน้าผากของจ้าวหย่งเฉินเรียบร้อยแล้ว
“จะเอากระป๋องใหม่มาให้หรือไม่ให้”
[ได้แต้มจากจ้าวหย่งเฉิน +666…]
จ้าวหย่งเฉินเลยยื่นกระป๋องโค้กของจริงให้หลี่ว์ซู่อย่างช้าๆ แถมยังมีของจริงให้อีกกล่องวางอยู่ข้างๆ ด้วย
หลี่ว์ซู่เม้มปาก “ทำไมคนค้าขายต่างประเทศของเครือข่ายฟ้าดินถึงเป็นคนไม่ดีเยอะจังนะ!”
“ก็นะ” จ้าวหย่งเฉินถูมือตัวเองด้วยความอาย “ราชันฟ้าเนี่ยบอกว่าให้ทำดีกับคุณไว้เราจะได้เป็นเพื่อนกันและทำงานด้วยกันแบบไม่มีปัญหา”
“นี่ด่ากันชัดๆ!” หลี่ว์ซู่ทำหน้าขึงขังทันที
“ขอถามอีกอย่างหน่อยนะ” จ้าวหย่งเฉินเปลี่ยนเรื่องเพราะเขาไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของยอดฝีมือทั้งสองคน “คุณมาที่นี่เพื่อมาเอาของหลังจากที่ราชันฟ้าหลี่เพิ่งมาถึงเลยเนี่ยนะ มีแผนใหม่อะไรหรือเปล่า ผมช่วยอะไรได้ไหม”