ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 669 จะบ้าไปแล้วเหรอ!

“ไม่เป็นไรหรอก” หลี่ว์ซู่โบกมือแล้วเก็บไม้สามง่ามเข้าไปในตราแผ่นดิน “มันอันตรายเกินไป เดี๋ยวได้ตายเอาที่นี่หรอก”

 

 

จ้าวหย่งเฉินก็เงียบไปครู่หนึ่ง “ขอบคุณครับ”

 

 

งานของสายลับหน่วยข่าวกรองนั้นเสี่ยงเสมอ พวกเขารู้ว่าต้องยอมสละชีวิตเพื่อชาติถ้าต้องทำภารกิจอย่างนั้นจริงๆ แต่จะมีใครกันที่อยากตายล่ะ

 

 

จ้าวหย่งเฉินและคนอื่นๆ กังวลกันอยู่พอควรว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการต่างประเทศ แล้วถ้าคนคนนั้นไม่สนใจว่าชีวิตพวกเขาจะเป็นอย่างไรเลยล่ะ อย่างน้อยคนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นคนจิตใจดี ทำให้จ้าวหย่งเฉินยังรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนคนหนึ่งที่มีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่แค่สิ่งของ

 

 

“นี่คุณเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าหรือเปล่าครับเนี่ย” อยู่ๆ จ้าวหย่งเฉินก็ถามขึ้นมา

 

 

หลี่ว์ซู่ชะงักกลางคันตอนกำลังจะผลักประตูออกไป “ไม่ใช่”

 

 

“หวังว่าคุณจะได้เป็นนะ โชคดีครับ” พอพูดจบเขาก็หันกลับไปดูละครต่อ เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่หลี่ว์ซู่กลับรู้สึกได้ถึงความคาดหวังอยู่ในนั้น

 

 

หลี่ว์ซู่เดินออกไปจากร้าน ได้เวลาเล่นกันแล้ว เขาและหลี่อีเสี้ยวจะโค่นผู้นำของ EO ได้ง่ายๆ ก็ต่อเมื่อได้ต่อสู้ด้วยกัน ซึ่งจะทำให้คนแอฟริกาหน้าใหม่ๆ ได้เข้ามาดูแลเรื่องกรรมสิทธิ์แร่ แล้วเครือข่ายฟ้าดินค่อยตกลงร่วมงานกับพวกเขา

 

 

จริงๆ แล้วนี่เป็นแผนดั้งเดิมของเครือข่ายฟ้าดิน พวกเขาต้องการให้ใครสักคนมาเป็นกันชนให้ระหว่างพวกเขาและองค์กรอื่นๆ และก็ต้องเป็นคนของพวกเขาเองด้วย และในขณะเดียวกันนั้นเบ็นเนตต์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่จุดไหนหรือกำลังทำงานให้ใครกันแน่ ก่อนหน้ายุคของคลื่นพลังชี่นั้น พวกทหารรับจ้างของ EO ได้เข้ามาทำลายโรงงานของคนจีนไป เมื่อเวลาผ่านไปคนส่วนใหญ่ก็ลืม แต่เนี่ยถิงกลับจำเรื่องนั้นได้ขึ้นใจ

 

 

เบ็นเนตต์ถูกกลุ่มแก่นความเชื่อกดดันและทำให้เขาต้องอยู่ในความเสี่ยง แต่เขาไม่คาดคิดหรอกว่าคนระดับ B สองคน รวมถึงตัวเขาเองนั้นจะเป็นตัวอุปสรรคขององค์กรอื่นๆ เพราะทั้งสองคนไม่เคยได้แสดงความจงรักภักดีกับใครเลย

 

 

 

 

 

 

ตกกลางวันต่อมาเบ็นเนตต์ก็จัดประชุมในคฤหาสน์ซึ่งตอนนี้ได้ถูกใช้เป็นสำนักงานใหญ่ชั่วคราวเนื่องจากพวกเขามีอำนาจเรื่องคู่เจรจาธุรกิจ บรรยากาศทุกอย่างดีไปหมด แล้วคนระดับ B อีกคนหนึ่งก็พูดพลางหัวเราะออกมา “ไม่คิดเลยนะว่ากลุ่มแก่นความเชื่อและกลุ่มฟีนิกซ์จะต่อสู้กันแบบนั้น ดูเหมือนว่าที่เบ็นเนตต์คิดจะถูกต้องนะ เราจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้ายและเราจะทำให้องค์กรใหญ่แตกกันได้”

 

 

“องค์กรเดียวที่เราจะต้องระวังในตอนนี้ก็คือเครือข่ายฟ้าดินแล้ว แต่ที่ผ่านมาพวกเขาก็ดูเป็นมิตรดี ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ให้เราสักเท่าไหร่” เบ็นเนตต์ยิ้มตอบอย่างมั่นใจ

 

 

“จริงทีเดียว เราน่าจะยืดเวลาออกไปสักเดือนหรือสองเดือนนะ จะได้โอนถ่ายทรัพย์สินบางส่วนออกไปได้ จากนั้นเราก็คงจะจัดการอะไรๆ ได้ง่ายขึ้นถ้ามีเหตุฉุกเฉินอะไร พวกเราน่ะเป็นทหารรับจ้าง เราเอาตัวรอดได้ในทุกๆ ที่อยู่แล้ว” ใครอีกคนหนึ่งเสริมขึ้นมา

 

 

ที่จริงแล้วพวกเขาวางแผนจะโอนทรัพย์สินออกไปตั้งนานแล้ว ตอนแรกพวกเขาก็กะว่าจะทำกำไรจากการถือกรรมสิทธิ์แร่ แต่หลังจากนั้นก็เพิ่งมาเข้าใจว่าพวกเขาไม่มีอะไรไปต่อรองกับพวกองค์กรใหญ่ๆ ได้หรอก

 

 

และ EO เองก็เป็นองค์กรใหญ่เหมือนกัน พวกเขาสามารถย้ายองค์กรไปตั้งที่อื่นได้อยู่แล้วถ้ามันมีความปลอดภัยกว่า

 

 

แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งเร่งเข้ามาในห้องประชุมและตะโกน “มียอดฝีมือสองคนที่ห่างออกไป 500 เมตรกำลังตรงเข้ามาหาเราครับ!”

 

 

“จากองค์กรไหน” ทุกๆ คนได้ยินอย่างนั้นก็นั่งกันไม่ติดเก้าอี้อีกต่อไป

 

 

“น่าจะเป็นเครือข่ายฟ้าดินครับ พวกเขาหน้าเหมือนคนเอเชีย” ลูกน้องคนหนึ่งรายงาน

 

 

. หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยกำลังมุ่งหน้าเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด พวกเขาถือเสาหินอันใหญ่ยักษ์มากันคนละอัน แต่ไปเอามาจากไหนก็ไม่มีใครรู้

 

 

เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับรัวกลองรบอย่างไรอย่างนั้น!

 

 

ระยะทาง 500 เมตรสำหรับคนระดับ B นั้นถือเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว พวกเขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น! กว่าเบ็นเนตต์จะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว!

 

 

การเคลื่อนไหวของหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว น่าหลานเชวี่ยตะโกนออกมา “ไปเลย!”

 

 

เสาหินทั้งสองบินตัดอากาศออกไปด้วยแรงเคลื่อนไหวอันทรงพลัง แล้วเบ็นเนตต์ก็เห็นว่าอยู่ๆ ข้างนอกหน้าต่างก็มืดลงไปทันที จากนั้นอยู่ๆ ห้องประชุมก็ถูกโค่นด้วยเสาหินจนพังลงมา!

 

 

เบ็นเนตต์และคนระดับ B อื่นๆ หลบได้ทัน แต่พวกลูกน้องไม่ได้โชคดีแบบนั้น เสาหินทั้งสองได้เจาะทะลุเข้าไปในกำแพงใหญ่ก่อนที่ค่อยๆ ลดความเร็วและหยุดลงในที่สุด!

 

 

หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยย่อเข่าลงเล็กน้อยก่อนที่จะกระโจนเข้าไปในห้องประชุม ทั้งคฤหาสน์เต็มไปด้วยเสียงร้องจากผู้บาดเจ็บ

 

 

เบ็นเนตต์และคนระดับ B คนอื่นๆ เตรียมตัวที่จะต่อสู้เมื่อหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยพุ่งเข้าไปในห้องเร็วอย่างกับจรวด แต่ผู้บุกรุกสองคนกลับไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลย พวกเขาเตรียมตัวจะโจมตีด้วยความดุร้ายและปัดป้องการโจมตีที่จะเข้ามาด้วยการป้องกันที่ไม่สามารถทำลายได้!

 

 

และเมื่อพวกทหารของ EO วิ่งออกไปจากคฤหาสน์ หลี่ว์ซู่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายนั้น เขาอยู่ในชุดทหารของ EO และมองไปรอบๆ อย่างสบายๆ เหมือนกับว่าเขาอยู่บ้านตัวเอง

 

 

พวกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ของเบ็นเนตต์ไม่ได้มีช่องเก็บของล่องหน เพราะฉะนั้นเบ็นเนตต์จึงไม่ได้เก็บทรัพยากรต่างๆ ไว้ในช่องเก็บของส่วนตัวของเขาเองเพื่อแสดงให้เห็นความใจกว้างและความยุติธรรม

 

 

นอกจากนั้นแล้วช่องเก็บของของเบ็นเนตต์ไม่ได้มาจากดวงตาแห่งค่ายกลด้วย มันจึงมีพื้นที่จัดเก็บที่จำกัด

 

 

ข้อมูลนี้จ้าวหย่งเฉินเป็นคนบอกหลี่ว์ซู่มาเอง ภารกิจของหลี่ว์ซู่ในวันนี้ก็คือใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในวันนี้ไปเพื่อเอาตู้นิรภัยออกมา หลี่อีเสี้ยวกับน่าหลานเชวี่ยสองคนก็เอาชนะเบ็นเนตต์ได้ง่ายๆ ด้วยการต่อสู้ร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นพวกเขาค่อยเอาทรัพยากรไปได้ตามใจ

 

 

แต่คนที่หลี่ว์ซู่กับหลี่อีเสี้ยวต้องระวังไม่ใช่เบ็นเนตต์หรอก คนที่พวกเขาต้องระวังคือน่าหลานเชวี่ยไว้…

 

 

หลี่ว์ซู่เข้ามาถึงในตู้นิรภัยแล้ว แต่ประตูกลับเปิดออกก่อนที่เขาจะได้แตะเสียอีก หลี่ว์ซู่มองพวกทหารที่กำลังขนกระเป๋าไว้บนบ่าออกไปอย่างอึ้งๆ พวกทหารพวกนี้กะจะปล้นเงินออกไปลับหลังเบ็นเนตต์แบบนี้เลยสินะ!

 

 

พวกเขาตกใจมากที่เห็นหลี่ว์ซู่ หนึ่งในพวกนั้นตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

 

 

“ออกไปซะ! ไม่งั้นแกตายแน่!” พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าหลี่ว์ซู่เป็นใครเพราะทหารรับจ้างที่เป็นคนเอเชียใน EO นั้นมีเยอะอยู่เหมือนกัน เห็นแบบนี้ใจของหลี่ว์ซู่เจ็บไปหมด

 

 

“รู้ไหมว่าถ้าขโมยเงินของฉันไปแล้วจะจบยังไง”

 

 

“ในนี้ไม่มีเงินซะหน่อย” หัวหน้ากลุ่มนั้นดูสับสน หลี่ว์ซู่ได้ยินอย่างนั้นก็เลยเปิดกระเป๋าดู แล้วเขาก็รู้สึกอนาถใจเหลือเกินเมื่อรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน

 

 

“จะบ้าไปแล้วเหรอ! จะเก็บยาหม่องไว้ในตู้นิรภัยทำไมเนี่ย!”

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset