ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 701 ความหวังจากต้นไม้สีขาว

เจ้าของร้านไอศกรีมตักไอศกรีมด้วยที่ตักโลหะจากนั้นก็เอาใส่ลงไปในโคนไอศกรีม มันดูน่าอร่อยมาก แต่เมื่อเขายื่นไอศกรีมให้หลี่ว์ซู่ เขาก็เอาไอศกรีมออกไปจากมือหลี่ว์ซู่เมื่อหลี่ว์ซู่พยายามรับมันมา และในมือหลี่ว์ซู่มีแต่โคนไอศกรีมเปล่าๆ

 

 

คอรัลหัวเราะยกใหญ่ ไอศกรีมตุรกีมีชื่อเสียงที่นี่เหมือนกัน เธอก็เลยพาหลี่ว์ซู่มาลองที่นี่เพื่อดูว่าหลี่ว์ซู่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร

 

 

เจ้าของร้านยิ้มให้อย่างใจดี แต่พวกเขาก็เห็นว่าหลี่ว์ซู่กัดโคนเปล่าๆ นั้นเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น…

 

 

เจ้าของร้านเลยลองส่งไอศกรีมให้หลี่ว์ซู่อีกรอบหนึ่งและเหลือไว้ให้แต่โคนเปล่าๆ เหมือนเดิม หลี่ว์ซู่เลยยื่นโคนเปล่าๆ นั้นให้คอรัล “อ่ะ ลองกินดูสิ อร่อยเหมือนกันนะเนี่ย”

 

 

คอรัลพูดไม่ออกเลย

 

 

และเจ้าของร้านก็หยุดเล่นกับหลี่ว์ซู่แล้ว เขาจะส่งไอศกรีมให้หลี่ว์ซู่แต่เขาก็เห็นว่าหลี่ว์ซู่อารมณ์เสียเรียบร้อย!

 

 

“ไม่เอาแล้วครับ” หลี่ว์ซู่หยิบโคนไอศกรีมมาจากมือของเจ้าของร้านแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษ “คุณเอาโคนไอศกรีมเปล่าๆ มาให้ผมตั้งหลายอัน ผมไม่อยากได้ไอศกรีมอีกแล้ว”

 

 

[ได้แต้มจากจากเบอร์ริส +666]

 

 

ใครกันจะหลอกลูกค้าเพื่อให้ซื้อโคนเปล่าๆ กัน อายบ้างไหมเนี่ย!

 

 

คอรัลได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังจนตัวงอ ผู้หญิงที่ขายของอยู่ร้านข้างๆ ยิ้มออกมาให้ทั้งสองอย่างใจดีเหมือนกับว่าเธอกำลังมองสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกอยู่

 

 

เจ้าของร้านไอศกรีมยอมแพ้แล้ว เขาเอาโคนไอศกรีมให้หลี่ว์ซู่มาห้าอันแล้วก็เอาไอศกรีมให้หนึ่งลูกก่อนจะปล่อยหลี่ว์ซู่ไป คอรัลถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ

 

 

“หลี่ว์ซู่ทำไมนายคิดไม่เหมือนใครเลยล่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่เอาโคนพวกนั้นมาใส่ในแต่ละนิ้วเหมือนกับว่าเขากำลังกินขนมคอนเน่อย่างภูมิใจ

 

 

หลี่ว์ซู่ตอบกลับไป “ไม่รู้เหมือนกัน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว”

 

 

ทันใดนั้นคอรัลก็ก้มตัวลงอย่างเจ็บปวด เธอจับที่วางแขนของรถเข็นไว้ หลี่ว์ซู่อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก “เธอเป็นอะไรไป”

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก” คอรัลตอบกลับอย่างอ่อนแรง “ฉันอยากไปดูชายฝั่งของโอริสตาโน่ ได้ยินมาว่าทะเลที่นี่สะอาดมากจนมองไปแล้วเหมือนเห็นขอบฟ้าเลย”

 

 

หลี่ว์ซู่ค่อยๆ เข็นรถเข็นของคอรัลไปในเมือง ชายฝั่งในซาร์ดิเนียส่วนใหญ่จะไม่ใช่ชายหาด แต่เป็นหน้าผาที่ก่อตัวขึ้นมาจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก

 

 

เมื่อมันไม่มีชายหาดที่เป็นทราย ก็เลยไม่ค่อยมีมลพิษด้วยเหมือนกัน ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันมากและดื่มด่ำไปกับความเงียบสงบ

 

 

ตอนนี้อาการของคอรัลไม่ควรที่จะแย่ลงอย่างรวดเร็วแบบนี้เลย แต่ถ้าเธอไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรไปเมื่อคืน หลี่ว์ซู่คงจะโดนแสงสีเงินพันธนาการไปจนบาดเจ็บสาหัสแล้วล่ะ

 

 

เพราะฉะนั้นคอรัลเลยไม่สนใจว่าอาการของเธอหรือกุงเนียร์จะเป็นอย่างไร หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าที่เธอทำไปตัดสินใจถูกแล้วหรือเปล่า เขาอยากจะสู้เหมือนกันและเขาก็ไม่อยากเห็นใครต้องมาเสียสละมากมายเพื่อเขาด้วย

 

 

เขาเป็นคนที่ไม่ชอบติดหนี้คนอื่น หลี่ว์ซู่จำได้ว่าลุงหลี่และคนอื่นๆ ที่ขายอาหารเช้าก็เคยช่วยเหลือเขา เขาคงจะตอบแทนบุญคุณแล้วถ้าเขาทำได้

 

 

แม้เรื่องผ่านมาแล้วเขาก็ยังจำที่พวกเขาทำดีกับตัวเองได้ แต่สำหรับความรู้สึกของคอรัลแล้วหลี่ว์ซู่ไปไม่เป็นเลย เขาไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณเธออย่างไร

 

 

หลี่ว์ซู่พาคอรัลที่มาริมทะเลแล้ว คอรัลยืดแขนออกมาข้างหน้า “อุ้มฉันไปที่หน้าผาหน่อยได้หรือเปล่า”

 

 

คอรัลหลับตาลง หลี่ว์ซู่ค่อยๆ อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วพาเธอไปที่หน้าผา เธอตัวเบาเสียจนเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อุ้มอะไรเอาไว้เลย

 

 

ทั้งสองนั่งลงที่หน้าผาด้วยกัน หลี่ว์ซู่กางมือตัวเองออกอย่างเงียบๆ แล้วมองไปที่รอยต้นไม้สามรอยนั้น คอรัลมองมา

 

 

“อันนี้เป็นรอยสักเหรอ” หลี่ว์ซู่ได้ยินแล้วก็ส่ายหัว

 

 

“ไม่ใช่หรอก นี่อาจจะเป็นของขวัญที่โชคชะตาให้มาน่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทำอะไรได้ แต่พอเธอใช้กุงเนียร์ไปเมื่อคืนฉันก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของมันขึ้นมา ฉันเลยนึกออกว่ามันอาจจะเป็นต้นไม้แห่งโลกอีกอันหนึ่งก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันอาจจะช่วยเธอได้ก็ได้นะ”

 

 

แล้วจากนั้นคอรัลหัวเราะออกมา

 

 

“ตามบันทึกโบราณบอกไว้ว่าต้นไม้แห่งโลกตกลงมาจากบนฟ้า และสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็สามารถเต้นระบำและพักพิงบนกิ่งไม้ได้ แล้วมันจะถูกปิดผนึกอยู่ในมือของใครสักคนได้ยังไงล่ะ ฉันรู้ว่านายอยากช่วย แต่ว่าของพวกนี้ไม่จำเป็นหรอก แค่อยู่ข้างๆ ฉันก็พอ แค่นั้นก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว ไม่ว่านายจะพาฉันไปที่ไหนหรือจะปกป้องฉันเหมือนกับที่ทำเมื่อคืนก็เป็นเรื่องที่ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิตแล้ว ขอบคุณนะ หลี่ว์ซู่”

 

 

ถึงแม้ว่าเธอจะพูดอย่างนั้น หลี่ว์ซู่ก็รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ถ้ารอยสีขาวพวกนี้มันไม่เกี่ยวกับกุงเนียร์จริงๆ แล้วทำไมมันถึงมีปฏิกิริยาอะไรกับรอยแยกบนกุงเนียร์ด้วยล่ะ

 

 

เขาไม่เชื่อว่ามันไม่เกี่ยวกัน แล้วเขาก็คิดว่าถ้าเขาหาความเชื่อมโยงของรอยต้นไม้สีขาวกับกุงเนียร์ได้เมื่อไหร่เขาจะต้องช่วยชีวิตคอรัลได้แน่ แต่คอรัลนั้นเศร้าไปเล็กน้อย

 

 

“ฉันใช้ความสามารถของตัวเองไปมากเกินแล้วล่ะ ช่องเก็บของล่องหนของฉันมาจากกุงเนียร์ ในนั้นมีผลไม้เจ็ดผลที่เธอให้มาแต่ฉันไม่กล้ากินมันให้หมดเลยจะเอาคืน แต่ว่าตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยนะ”

 

 

“บ้าเหรอ ฉันเอาให้เธอกินให้หมดนั่นแหละ!” หลี่ว์ซู่ตกใจมาก

 

 

“แต่ว่านายน่าจะหาของพวกนี้มายากมากเลยนะ” คอรัลพูด

 

 

หลี่ว์ซู่เลยหยิบผลไม้พวกนั้นออกมาอีกเจ็ดผลออกมาทันที “กินนี่ซะ”

 

 

“ทำไมมีเยอะจัง!” คอรัลตกใจไปเหมือนกัน

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่สนใจความลับของเขาอีกแล้ว คอรัลเตรียมตัวจะตายไปขนาดนี้แล้ว ถ้าเขายังเก็บความลับต่อไปก็คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมา จริงอยู่ที่เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่เขาก็ยังมีคุณธรรมและความรู้สึกอยู่เหมือนกันนะ

 

 

หลี่ว์ซู่เห็นว่าคอรัลไม่เชื่อเขา เขาเลยแลกผลมาอีกสิบผลแล้วโยนเข้าปากตัวเอง เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะมีผลออกมาอย่างไร เขาแค่อยากจะแสดงให้เธอเห็นว่าผลพวกนี้ไม่ได้มีค่าอะไรกับเขาเลย

 

 

คอรัลพูดไม่ออก เธอคิดว่าเธอรู้ความลับของหลี่ว์ซู่หมดแล้ว แต่เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองเห็นไปแค่ผิวเผินเท่านั้นเอง ถ้าเขาทำเรื่องทั้งหมดนี่ได้ เขาก็คงจะสร้างองค์กรขนาดใหญ่ด้วยตัวเองได้เลยล่ะ

 

 

ถ้าองค์กรหนึ่งมีคนน้อยกว่ายี่สิบคน แต่ว่ามีพวกหัวกะทิที่มีความสามารถมากกว่าระดับ A ทั้งหมด แล้วองค์กรนั้นจะน่ากลัวขนาดไหน ถึงจะเห็นภาพได้ยากแต่พวกเขาก็คงจะเขย่าโลกนี้ได้เลย

 

 

คอรัลจึงกินผลพวกนั้นเจ็ดลูกเข้าไปทีเดียว แต่เมื่อเธอกินผลล้างไขกระดูกลูกที่สองไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่ส่งผลอะไรชัดเจนขึ้นมาอีกแล้ว

 

 

สายเลือดของเธอได้ถูกทำให้บริสุทธิ์อีกครั้ง และก็มีคลื่นพลังจิตวิญญาณก่อตัวขึ้นตรงที่หน้าผานี้ แต่มันกลับไม่ใหญ่เหมือนกับที่คิดไว้ คอรัลหยุดอยู่ที่ระดับ B ขั้นสูงและไม่ได้เลื่อนระดับไปต่อ

 

 

ค่าร่างกายของเธอเดิมทีก็สูงมากอยู่แล้ว และผลล้างไขกระดูกก็ช่วยทำให้มันสูงขึ้นด้วยอีกแรง แต่ก็ทำได้เท่านั้น หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พวกเขาจะต้องหาทางอื่นแล้ว

 

 

แต่เขายังไม่ยอมแพ้หรอกนะ อย่างน้อยเขาก็ยังมีรอยต้นไม้สีขาวนี้อยู่ พวกเขาอาจจะเจอเบาะแสอะไรจากตรงนั้นก็ได้

 

 

“นายเกลียดโลกนี้บ้างหรือเปล่าหลี่ว์ซู่” อยู่ๆ คอรัลก็ถามขึ้นมา เธอค่อยๆ เอนกายซบหลี่ว์ซู่ เหมือนกับว่าเธอไม่อยากจะคิดถึงความแข็งแกร่งที่ตัวเองมี หรือเธอจะทนต่อไปได้อีกนานแค่ไหน

 

 

เมื่อก่อนเธออยากจะปกปิดความลับจากหลี่ว์ซู่และให้หลี่ว์ซู่อยู่เคียงข้างเธอไปจนวันสุดท้าย เธอไม่อยากจะทำให้หลี่ว์ซู่อารมณ์เสีย เมื่อเธอไม่สามารถจะปกป้องตัวเองได้แล้ว เธอจะหาหน้าผาสักที่แล้วกระโดดลงไปซะเพื่อไม่ให้หลี่ว์ซู่หาเธอพบ

 

 

แต่ตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้ แผนของเธอแตกไปนานแล้ว และมันก็ทำให้เธอเศร้านิด ๆ

 

 

“ก็นิดหน่อย” หลี่ว์ซู่ตอบเบาๆ “ดูโลกอื่นๆ สิ พวกเขามีดราก้อนบอลทั้งเจ็ดลูก มีตะเกียงของอาละดิน เมื่อตอนที่พวกเขาหมดหวังแล้วยังเรียกเทพเจ้าหรือมังกร หรือว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติอื่นๆ ออกมาช่วยได้ อาจจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย และเอาอะไรที่เสียไปกลับมาก็ได้ แต่โลกเราไม่มีอะไรแบบนั้น ฉันก็เลยไม่ชอบมันเลยล่ะ”

 

 

“นี่เรื่องจริงจังนะ อย่าพูดถึงเรื่องแบบนั้นสิ” คอรัลรู้สึกตลกขึ้นมา แต่หลี่ว์ซู่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ล้อเล่นเลย

 

 

“ถ้ามีดราก้อนบอลเจ็ดลูกจริงๆ ฉันก็คงจะออกไปหาแล้ว ฉันจะรวบรวมมันมาให้ได้ถึงจะต้องตายก็ตาม”

 

 

“พาฉันไปที่เมืองทางเหนือหน่อยสิหลี่ว์ซู่ ฉันได้ยินว่ามีโบสถ์ที่ชื่อว่าเซนต์พอลแล้วอยากจะไปเห็นกับตาน่ะ” คอรัลพูดขึ้นมาเสียงเบาในขณะที่ซบเขาอยู่

 

 

“ได้สิ เดี๋ยวจะพาไปทุกที่ที่เธออยากไปเลย” หลี่ว์ซู่พยักหน้า

 

 

“แต่ที่นั่นอาจจะมีศัตรูอยู่ก็ได้นะ” คอรัลบอก

 

 

“ศัตรูก็มีอยู่ทุกที่นั่นแหละ” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างใจเย็น “ถึงแม้ว่าจะมีภูเขาอยู่ตรงหน้า ฉันก็จะไปเลื่อนมันออกให้เธอให้ได้”

 

 

แต่คอรัลดูเหมือนว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอยังเก็บเงียบไว้อยู่ หลี่ว์ซู่ก็ไม่อยากจะไปคาดคั้นเธอมาก

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่อุ้มคอรัลกลับไปที่รถเข็นแล้วเขาก็รู้สึกได้ว่าเธออ่อนแอลงไปขนาดไหน

 

 

เขาจับเท้าและขาผอมซีดของเธอไว้ คอรัลหน้าแดงขึ้นมา หลี่ว์ซู่เพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองทำเรื่องไม่เหมาะสมไป และบรรยากาศรอบตัวพวกเขาก็ดูคลุมเครือขึ้นมา

 

 

“ขาของเธอรู้สึกชาหรือเปล่า” หลี่ว์ซู่รวบรวมความกล้าถามออกไป

 

 

คอรัลไม่ได้ตอบและมองหน้าหลี่ว์ซู่อย่างเงียบๆ หลี่ว์ซู่กำลังสงสัยว่าคอรัลเข้าใจภาษาจีนของเขาหรือเปล่า

 

 

เขาเลยพูดช้าลงซ้ำไปอีกรอบหนึ่ง “ขาของเธอรู้สึกชาหรือเปล่า”

 

 

“แม่จ๋า” หัวใจของคอรัลเต้นรัว ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงขออะไรแบบนี้มานะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset