ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 705 มือกลองระเบิด

พวกเขามองขึ้นไปเห็นมือกลองบนเวที เขากำลังมองกลับมาและหัวเราะอย่างเย็นชา จังหวะกลองทั้งรุนแรงและรวดเร็ว และพวกฝูงชนก็ขยับตามจังหวะกลองนั้น

 

 

“อาร์ตูโร!” มีใครบางคนพูดออกมาเสียงเบาเมื่อเขาเห็นมือกลองคนนั้น “เขาควบคุมทุกอย่างไว้”

 

 

“บอกทุกคนให้ล้อมที่นี่ไว้” ใครบางคนหัวเราะออกมาเสียงเย็น “ซาตานมาปรากฏตัวที่นี่เองเลย ถึงอาร์ตูโรจะมาอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก”

 

 

ผมของอาร์ตูโรถูกมัดเอาไว้ หนวดของเขาช่างดูมีสเน่ห์สำหรับชายวัยกลางคน เขาเป็นเหมือนศิลปินที่เดินผ่านท่ามกลางความทุกข์ยาก และร่างของเต็มไปด้วยพลังระเบิด

 

 

แล้วอยู่ๆ อาร์ตูโรก็หันไปที่ไมโครโฟน เสียงของนักร้องนำค่อยๆ เบาลงไป อาร์ตูโรหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “แขกเขาเรามาถึงแล้ว กลุ่มคาร์เทลของเราจะจัดแสดงครั้งนี้ยืนหยัดข้างความยุติธรรม”

 

 

ผู้ชมส่งเสียงดังกระหึ่ม และผู้คนทั้งซาร์ดิเนียก็เฉลิมฉลองด้วยเหมือนกัน

 

 

ผู้คนที่ตามหลี่ว์ซู่และคอรัลมายืนมองฝูงชนอยู่ข้างนอกด้วยสายตาน่ากลัว พวกเขาประหลาดใจที่เห็นว่าคาร์เทลไม่ได้ทำตัวเป็นกลางแล้วเหมือนเมื่อก่อน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าจะตอบโต้การดูหมิ่นและการเยาะเย้ยพวกนั้น ความสามารถของอาร์ตูโรยังเป็นปริศนาอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ใช่พวกไก่อ่อนที่จะจัดการได้ง่ายๆ

 

 

จากนั้นนักร้องนำก็เริ่มร้องเพลงอีกรอบหนึ่ง ครั้งนี้เธอรู้สึกเร่งจังหวะให้ตื่นเต้นและรุนแรงมากขึ้น

 

 

“โลกนี้กลายเป็นฉากที่ดูอ้างว้าง”

 

 

“แต่เรายึดมั่นในกระบี่และโล่ที่เราถืออยู่ เราจะปกป้องเขตแดนของเราด้วยความยุติธรรม”

 

 

“ศัตรูก็คือมหาสมุทร มองดูคลื่นพวกมันที่ม้วนก่อตัวกันมาแต่ไกลนั่นสิ”

 

 

“แต่มันจะทำอะไรเราไม่ได้!”

 

 

หลี่ว์ซู่เห็นคนอื่นๆ ในรถกระบะยิ้มให้พวกเขาอย่างใจดี ลุงคนขับรถที่ใส่แว่นกันแดดอยู่พูดขึ้นมาอย่างเท่ “แผนสองเริ่มแล้ว ไปกันเลย!”

 

 

หลี่ว์ซู่อุ้มคอรัลแบบที่อุ้มเจ้าสาวท่ามกลางฝูงชนไป พวกคนเหล่านั้นเดินข้ามเขตของที่จัดงาน เขาไม่รู้ว่ากลุ่มคนพวกนี้กำลังจะไปไหน

 

 

แต่ที่จัดงานนั้นโดนล้อมรอบด้วยรถที่จอดกันเป็นขบวน หลี่ว์ซู่และคอรัลมีคนเดินอยู่รอบๆ และพวกเขากำลังพาเดินไปอีกฝั่ง

 

 

มีคนขับรถข้างในเดินลงออกมาจากรถแล้วเปิดประตูให้พวกเขา เขาใส่ชุดคลุมพิธีการอย่างประณีต หลี่ว์ซู่อุ้มคอรัลเข้าไปในรถ แล้วก็มีคนเอามงกุฏดอกไม้สีขาวใส่ไว้บนหัวคอรัล

 

 

พวกคนที่ตามหลี่ว์ซู่และคอรัลมาได้แต่ยืนอยู่บนหลังคารถของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่เห็นว่าหลี่ว์ซู่และคอรัลหายไปไหน เพราะสมาชิกของคาร์เทลปิดทางพวกเขาไปหมด!

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกเหมือนกับว่าเขาอยู่ในหนังสายลับ และคนพวกนี้เป็นบอดี้การ์ดของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

หลังจากที่พวกเขาขึ้นรถมาไม่นาน เสียงกลองข้างนอกก็เปลี่ยนจังหวะไป รถหลายร้อยคันที่อยู่ข้างนอกเปิดไฟหน้าขึ้นมาสว่าง พวกเขาติดเครื่องยนต์แล้วรีบออกไป รถทุกคันขับไปในทิศทางเดียวกันคนนอกที่มองเข้ามาไม่มีทางรู้ว่ารถที่หลี่ว์ชู่อยู่เป็นคันไหน

 

 

อาร์ตูโรยังคงรัวกลองบนเทวีต่อไป แต่นักร้องหยุดร้องเพลงแล้ว อาร์ตูโรหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนผมที่มัดไว้ปลิวไปข้างหลัง “การเฉลิมฉลองกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตามแสงไฟไปเลย!”

 

 

สมาชิกของคาร์เทลเป็นเหมือนศิลปินที่ดูคลั่งไปแล้ว…

 

 

พวกคนที่ตามหลี่ว์ซู่กับคอรัลมาเริ่มหน้าซีด พวกเขาดูขบวนรถที่ขับผ่านไปในเวลาเดียวกันและก็ไม่สามารถบอกได้ว่ารถที่หลี่ว์ซู่และคอรัลอยู่คือคันไหน

 

 

พวกเขาโทรศัพท์หาใครบางคนแล้วตะโกนออกมา “เราตามเป้าหมายไปไม่ทันแล้ว! ไม่เห็นเป้าหมายแล้ว! คาร์เทลกำลังปกป้องพวกมันอยู่!”

 

 

พวกคาร์เทลไม่เคยเจอหลี่ว์ซู่และคอรัลมาก่อนในงานเฉลิมฉลองแห่งนี้ แต่พวกเขาก็จะสู้กับทั่วโลกเพื่อทั้งสองคน หลี่ว์ซู่ที่นั่งอยู่ในรถสับสนมากจึงถามคนขับรถออกไป “พี่ชายครับ เรากำลังจะไปไหนกัน”

 

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงนี้ เราเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว!” คนขับหันมามองพวกเขาอย่างมั่นใจ

 

 

“เตรียมอะไรไว้ครับ” หลี่ว์ซู่งงไปหมด “พี่ชาย เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่ผมรู้สึกว่าตอนนี้ชักจะอยากกระโดดออกไปจากรถคันนี้แล้วนะ” แล้วคนขับก็หันมาถาม

 

 

“พวกเธอสองคนอยากจะแต่งงานที่โบสถ์มหาวิหารเซนต์พอลไม่ใช่เหรอ”

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย

 

 

เขาบอกลุงคนนั้นแค่ว่าอยากไปโบสถ์มหาวิหารเซนต์พอล แต่ทำไมพวกคาร์เทลถึงคิดว่าพวกเขาจะไปแต่งงานที่นั่นล่ะ

 

 

หลี่ว์ซู่เห็นว่ารอยสีขาวบนมือของเขาสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เขาไม่ได้สังเกตมาจนถึงตอนนี้เลย เหมือนกับว่ามันจะดูดกลืนพลังของกุงเนียร์มาไว้ หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น

 

 

แล้วคนขับก็ถามต่อ “หรือไม่อยากแต่งที่โบสถ์มหาวิหารเซนต์พอลอย่างนั้นเหรอ”

 

 

“ทำไมถึงคิดว่าเราจะไปแต่งงานกันล่ะครับ” หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจ

 

 

“เพราะที่นั่นเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับงานแต่งงานอย่างไรล่ะ” คนขับพูดอย่างสบายๆ “ทุกๆ ปีก็จะมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่ แล้วพวกเขาต่างเชื่อมั่นว่าจะปกป้องซึ่งกันและกันไปตลอดชีวิต พวกเขาจะมาที่นี่เพื่อแต่งงาน และจะทำตามคำสาบานโดยจะรับพรที่นั่น ฟังดูศักดิ์สิทธิ์มากใช่ไหม”

 

 

หลี่ว์ซู่อึ้ง เขาไม่ค่อยเข้าใจหลังจากที่พยายามคิดอยู่นาน อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนจีนด้วย เมื่อคอรัลบอกว่าเธออยากไปที่โบสถ์มหาวิหารเซนต์พอล เธอก็คงจะคิดวางแผนอย่างที่คนขับรถพูดนั่นแหละ แต่เขาไม่เข้าใจเอง

 

 

หลี่ว์ซู่ถอนใจออกมา เขาไม่เข้าใจ และคอรัลก็ไม่ยอมบอกมาตรงๆ อีก

 

 

คอรัลคงไม่อยากจะจัดงานแต่งงานแบบจริงจัง แต่เธอคงจะเสียใจทีหลังเพราะตอนนี้เธอยังสาว เธอก็เลยอยากเห็นงานแต่งงานเยอะๆ ก่อนแล้วจึงค่อยๆ ลืมความเสียใจนั้นไป

 

 

และเธอก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับหลี่ว์ซู่เลย

 

 

“คุณขับเร็วกว่านี้ได้ไหมครับ” หลี่ว์ซู่พูดเสียงเบา

 

 

“ได้เลย!” คนขับรถเหยียบคันเร่งสุดปลายเท้าอย่างกับว่าเขาเป็นนักสู้บนหลังม้าที่กำลังควบม้าด้วยความเร็วสูง คนซาร์ดิเนียคนอื่นๆ ก็ใจสู้ตามคนขับรถที่เป็นเหมือนคนนำด้วยเหมือนกัน ดูน่าทึ่งมาก

 

 

ในขณะนั้นนั้นเฉาชิงฉือ เฉินจู่อาน และคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็รู้สึกเหมือนกับว่าทุกๆ อย่างไม่เป็นระเบียบเหมือนเมื่อกี้ ฝูงชนพวกนี้เดินตามกันไปเหมือนน้ำที่ไหลไปในทิศทางเดียวกัน

 

 

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เฉินจู่อานชะงัก “ฉันไม่เห็นใครสั่งคนพวกนี้เลย แล้วดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะทำตามคำสั่งและวิ่งไปทางเดียวกันด้วย!”

 

 

“มีคนออกคำสั่งพวกเขาแน่ล่ะ” เฉาชิงฉือพูดอย่างใจเย็น “แต่พวกเขาใช้เทคโนโลยีที่ไม่ค่อยทันสมัยเท่าไหร่ หลังจากที่มีคนหนึ่งได้รับคำสั่งแล้ว พวกคนอื่นๆ ก็จะทำตาม ดูสิ พวกเขากระซิบกระซาบอะไรกันด้วย”

 

 

“แต่ไม่มีใครพูดกับเราเลยนะ” เฉิงชิวเฉี่ยวพูด “พวกเขามีเป้าหมายอยู่ในหัวกันอยู่แล้ว จากนั้นก็ค่อยปล่อยข้อมูลออกไป พวกเราเป็นแค่คนแปลกหน้าสำหรับพวกเขาเท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้นคนซาร์ดิเนียเลยไม่บอกอะไรพวกเราเกี่ยวกับข้อมูลภายในเลย และคนพวกนี้เองก็รู้จักกันหมด”

 

 

“พวกเราไม่ต้องรู้เกี่ยวกับข้อมูลภายในของพวกเขาหรอก เราแค่ตามพวกเขาไปก็เท่านั้น เดี๋ยวพวกเขาก็จะนำทางเราไปในทางที่ถูกต้องเอง” เฉาชิงฉือเดินต่อไปข้างหน้า “เดี๋ยวเราก็จะเห็นว่าหลี่ว์ซู่กำลังจะไปที่ไหน ทุกคนเตรียมตัวสู้ไว้นะ เขาทำอะไรลับๆ ให้พวกเราไว้เยอะ เราไม่สมควรได้รับอะไรอย่างนี้เลย เราต้องทำอะไรคืนให้เขาด้วย”

 

 

หันโหยวและคนอื่นๆ ไม่เข้าใจ มีหลายเรื่องที่พวกเขายังไม่รู้แต่เฉาชิงฉือรู้สินะ แล้วทำไมหลี่ว์ซู่ถึงทำให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่สมควรได้รับอะไรพวกนี้ด้วย เฉาชิงฉือเป็นหัวกะทิที่ได้รับการยอมรับจากหัวกะทิระดับ A คนอื่นๆ และหลี่ว์ซู่ก็เป็นเพียงคนบ้าคนหนึ่งเท่านั้น

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset