ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 708 คุยต่อไม่ได้แล้ว

ขนาดคอรัลเองยังไม่รู้เลยว่าเธอฝันไปนานแค่ไหน เธอร้องอยู่หน้าป้อมสีเทานั้น และสิ่งที่เธอรักที่สุดได้เกือบแตกสลายไปแล้ว ในขณะนั้นสัญชาตญาณจิตหยั่งรู้ของเธอก็ปรากฏตัวต่อหน้าต้นไม้ใหญ่ มีเสียงดังขึ้นมาเบาๆ

 

 

“ข้าล่องลอยมาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ข้ามกาลเวลาและสถานที่มา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนยอมจำนนอย่างง่ายดายหลังจากผ่านมาหลายปีแล้ว”

 

 

คอรัลไม่เข้าใจ เธอตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วต้นไม้นี้คืออะไรกัน เธออยู่ที่ไหนกันนะ เสียงนั้นดังขึ้นมาอีก

 

 

“จำกุงเนียร์ได้หรือเปล่า”

 

 

“จำได้ค่ะ” เธออึ้ง

 

 

“จำกลุ่มเทวาได้ไหม”

 

 

“ได้ค่ะ”

 

 

“แล้วจำคนที่ชื่อหลี่ว์ซู่ได้หรือเปล่า”

 

 

คอรัลงุนงง ชื่อนี้ก็คุ้นอยู่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะถูกดินกลบให้ตายไปพร้อมกับกุงเนียร์ ชื่อนี้ดูจะสำคัญอย่างแน่นอน สำคัญมากจนเธอรู้สึกว่าคุ้นเคย แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตดูเหมือนจะย้อนอดีตแล้วก็หายไปแล้ว

 

 

“หลี่ว์ซู่คือใครกันคะ”

 

 

“จำชื่อเขาไว้ให้ดี เขาจะเป็นคนเริ่มยุคใหม่ของโลก”

 

 

“ยุคอะไรคะ”

 

 

“เจ้าจะโหยหามัน” แต่ต้นไม้แห่งโลกก็ไม่ได้บอกว่าจะออกมาเป็นยุคแบบไหน และมันก็จะปิดปากไว้เงียบสนิท

 

 

“แล้วทำไมฉันถึงต้องจำเขาด้วยล่ะคะ” คอรัลถามเบา ๆ

 

 

“เพราะเขายอมสละข้าที่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกเพื่อช่วยชีวิตเจ้าน่ะสิ” ต้นไม้แห่งโลกหัวเราะ

 

 

“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณเป็นคนปากไม่ตรงกับใจแบบนี้กันล่ะคะ” คอรัลถามอย่างสงสัย

 

 

“ข้าว่าเราคุยต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ”

 

 

ทันใดนั้นโลกของคอรัลก็ตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง แล้วรอยต้นไม้สีขาวก็ปรากฏบนมือของคอรัล กุงเนียร์ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ของเธอกับต้นไม้แห่งโลกอีกต่อไปแล้ว แต่มันเป็นอาวุธที่แท้จริงที่เธอเป็นเจ้าของต่างหาก

 

 

แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของต้นไม้แห่งโลก เสียงนั้นย้ำชื่อของหลี่ว์ซู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความมืด เมื่อกับว่ามันกำลังพยายามจะจำชื่อเขาให้ได้

 

 

หลี่ว์ซู่เปิดประตูออกกว้างและเดินออกไปจากโบสถ์ เมื่อเขาเปิดประตูเสียงดังเขาก็เห็นแสงส่องสว่างและเลือดไหลนองไปทั่ว ทุกคนต่างหยุดต่อสู้ไปครู่หนึ่ง พวกเขามองดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าโบสถ์ สีหน้าของเขาทั้งเรียบเฉยแต่ก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่

 

 

กระบี่เฉวียอินทั้งสามสิบหกเล่มโฉบขึ้นมาเหมือนกับพายุ ซาตานที่กำลังสู้อยู่กับเฉาชิงฉือได้แต่มองลูกน้องตายไปทีละคนอย่างหมดหวัง แต่ละคนถูกแทงเข้าไปในหัวใจ

 

 

ด้ายกระบี่ทั้งสามสิบหกเส้นนั้นก็เป็นเหมือนเส้นแห่งความตาย พวกมันตรงเข้าไปฆ่าลูกน้องของซาตานได้อย่างง่ายดาย

 

 

ในโบสถ์มีแต่ความเงียบงัน คอรัลนอนอยู่บนพรมแดง และบนศีรษะของเธอก็ถูกประดับด้วยดอกไม้

 

 

ส่วนข้างนอกโบสถ์นั้นก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายและการนองเลือด บนพื้นมีแต่ศพเรียงราย

 

 

หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปในสนามรบอย่างใจเย็นเหมือนกับว่าเขาได้เดินเข้าไปในสวนดอกไม้ และชีวิตก็จะถูกคร่าไปด้วยน้ำมือของกระบี่เฉวียอินในทุกที่ที่เขาเดินผ่าน

 

 

หลี่ว์ซู่ประหลาดใจนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าเฉาชิงฉือประมือกับซาตานได้ เฉาชิงฉือและเฉินจู่อานเองก็ประหลาดใจที่เห็นหลี่ว์ซู่ฆ่าคนอย่างง่ายดาย น่ากลัวอะไรอย่างนี้!

 

 

ทั้งโลกเหมือนมีแต่ความเงียบงันและหลี่ว์ซู่ก็เดินอยู่ในโลกนั้นคนเดียว

 

 

นอกจากเนี่ยถิงแล้วพวกเขาก็เพิ่งเจอคนที่มาจากเครือข่ายฟ้าดินที่สามารถฆ่าคนอื่นได้อย่างใจเย็นนี่แหละ อีกอย่างแล้วเขายังเป็นแค่ชายหนุ่มเท่านั้น

 

 

สมาชิกคนอื่นๆ จากคาร์เทลเพิ่งจะมาถึง พวกเขาไม่ได้แต่งหน้ามาร่วมการต่อสู้ครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็เข้ามาให้กำลังใจพวกเขา เมื่อการต่อสู้เริ่มดุเดือดก็มีเสียงดังขึ้นมาจากหน้าต่าง

 

 

เหมือนกับว่าคนธรรมดาพวกนี้มีตัวตนในโลกแห่งการบำเพ็ญด้วย และไม่มีการแบ่งแยกใดๆ ระหว่างพวกเขา

 

 

ซาตานอ้าแขนและหุบแขนตัวเอง จากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา หลี่ว์ซู่มองไปที่สนามต่อสู้อย่างใจเย็น ซาตานมีความสามารถในการควบคุมอากาศนี่เอง

 

 

เฉาชิงฉือและคนอื่นๆ ที่อยู่ล้อมรอบซาตานต้องเปลี่ยนตำแหน่งกันอย่างกะทันหันเมื่อซาตานทำให้อากาศรอบตัวเขาเบาบางลง พวกเขาต้องห่างจากซาตานและหายใจก่อนที่จะต่อสู้ต่อไปได้

 

 

ทันใดนั้นมีคนกระโดดลงมาจากดาดฟ้าของอาคารใกล้ๆ เหมือนม้าป่า เขาถือไฟมาในมือแล้วโยนมันใส่ซาตาน คนคนนั้นอยู่ในความบ้าคลั่ง เขาส่ายกำปั้นราวกับว่าเขากำลังแสดงอยู่ มีคนจากคาร์เทลบนถนนหยิบเอาลำโพงออกมาและเล่นดนตรีร็อค ราวกับว่าเขาเล่นเพลงประกอบของตัวเอง

 

 

เฉินจู่อาน เฉิงชิวเฉี่ยวและคนอื่นๆ ตะลึงไป เขาเคยไปทำภารกิจมามากมายแต่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน พวกผู้มีพลังพวกนี้น่าสนใจจริง ๆ

 

 

หลี่ว์ซู่เริ่มจะสนใจมากขึ้นแล้ว คนคนนั้นเป็นหัวหน้าของคาร์เทลนั่นเอง เขาเป็นผู้มีพลังธาตุไฟและเขาเกือบจะเลื่อนระดับเป็นระดับ A อยู่แล้ว

 

 

ถึงแม้ว่าซาตานจะแข็งแกร่งมาก แต่ความสามารถของอาร์ตูโรนั้นก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน เขากล้าที่จะสนับสนุนหลี่ว์ซู่ในซาร์ดิเนียเพราะเขาได้ตัดสินใจให้คาร์เทลเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลาง ตอนนี้พวกกลุ่มแก่นความเชื่อก็โดนปรมาจารย์หุ่นเชิดรั้งไว้ในเมืองทางเหนือ เขาต้องรับศึกหนักทั้งสองทางเลย!

 

 

ซาตานรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ได้เข้าข้างเขาจึงเตรียมตัวจะหนี หลี่ว์ซู่เลยหัวเราะออกมาเสียงดัง “คิดว่าจะหนีไปได้ตามใจชอบเหรอ”

 

 

ไม่แปลกใจเลยที่ซาตานได้ชื่อว่าเป็นระดับ B ลำดับต้นๆ ในยุโรป เขาไล่เฉาชิงฉือและอาร์ตูโรออกไป พวกเขาพยายามจะไล่ตามเขาไปบนถนนเพื่อที่จะสู้ต่อ มีเสียงตูมตามตามมา

 

 

หลี่ว์ซู่กระโดดออกมาจากบนท้องฟ้า เหมือนเป็นเหยี่ยวที่บินอยู่บนนั้น!

 

 

ไม่มีทางที่จะมีใครไม่เห็นเขาได้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงไหนในสนามรบเขาก็จะเป็นจุดสนใจได้ตลอด

 

 

แล้วภูเขาหิมะในจุดชี่ไห่ของหลี่ว์ซู่ก็ถล่มลงมาเสียงดัง จำนวนของกระบี่ต้นแบบเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง!

 

 

วิญญาณกระบี่เล็กๆ กระโดดออกมาจากภูเขาหิมะนั้น มันกระโดดอย่างเริงร่าพร้อมกับกระบี่ฝูฉื่อ

 

 

วิญญาณกระบี่ภายในกระบี่ซือโก่วก็กระโดดออกมาด้วยเหมือนกัน

 

 

หลี่ว์ซู่มองแสงแดดแล้วเขาก็เริ่มเศร้าโศกขึ้นมา เขาเป็นคนไม่แน่นอนเองและเขาก็โทษใครไม่ได้ เขาคงเป็นคนที่แปลกที่สุดในโลก มิน่าล่ะถึงไม่มีใครชอบเขาเลย

 

 

กระบี่ฝูฉื่อและกระบี่ซือโก่วบินโฉบไปที่ซาตาน เมื่อมันบินไปข้างหน้าเขาแล้วเขาก็หันกลับไปวิ่งหนีมัน แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าวิญญาณกระบี่จะกระโดดออกมาจากกระบี่ฝูฉื่อและกระบี่ซือโก่ว เขาหลบวิญญาณกระบี่ตนแรกที่กำลังตบหน้าเขา และเขาก็ต้องหลบการโจมตีจากกระบี่ของเฉาชิงฉือด้วย เขาต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเพื่อหลบการโจมตีของผู้มีพลังของคาร์เทล แต่วิญญาณกระบี่ของกระบี่ฝูฉื่อกลับหัวเราะชอบใจ มันยังไม่ได้เคลื่อนไหวเลย!

 

 

ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดเวลาได้ วิญญาณกระบี่ตัวเล็กๆ นั้นกระโดดออกมาจากกระบี่ฝูฉื่อ เสียงหัวเราะที่ไพเราะและชัดเจนของมันทะลุผ่านความเงียบขึ้นมา ในขณะที่ทุกคนจับตามองวิญญาณกระบี่อยู่นั้น มันก็โจมตีต่อยเข้าไปที่เป้าของซาตาน!

 

 

เมื่อเฉิงชิวเฉี่ยวและเฉินจู่อานเห็นฉากนั้นแล้วพวกเขาอยากจะปิดตาตัวเองเสียจริงๆ โหดร้ายอะไรแบบนี้!

 

 

พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้ยังสู้กันอย่างจริงจังอยู่ดีๆ ทำไมตอนที่หลี่ว์ซู่โลผ่มาแล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปอย่างนี้ได้นะ!

 

 

ถ้าอาร์ตูโรเล่นเพลงเพลงประกอบของตัวเองถือว่าแปลกแล้ว แล้วหลี่ว์ซู่ล่ะจะแปลกกว่าไหม!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset