ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 725 ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ

ถึงกองทัพหนูที่เสี่ยวซยงสวี่ควบคุมอยู่ไม่ได้มีอันตรายอะไร เรื่องนี้ก็ยังจะต้องรายงานต่อเนี่ยถิงอยู่ดี อยู่ที่เนี่ยถิงจะตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างไรกับพวกมัน

เสี่ยวซยงสวี่ส่งลูกน้องของมันกลับไปในท่อน้ำทิ้งเพื่อไปลาดตระเวนต่อ มันพองตัวด้วยความหยิ่งผยองในขณะที่สะพายกระเป๋าบนหลังเดินกลับบ้าน หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ มันเอาสมุดเล็กๆ ของมันออกมาเขียน [ฉันกำจัดแมงป่องไปได้ตั้งหมื่นสองพันตัว หนูของเราบาดเจ็บไปทั้งหมดแปดพันตัว และหนูระดับ F ตายไปทั้งหมดสิบสามตัว จบการรายงาน]

หลี่ว์ซู่เหลือบมองมา “โอเค”

แล้วเขาก็ดูโทรทัศน์ต่อไป

[ได้แต้มจากกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ +199]

มันไม่ได้จะทำใจน้อยอะไร มันเอาสมุดให้หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดู แล้วหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็ตอบกลับว่า “โอเค” เหมือนกัน จากนั้นก็ไปดูโทรทัศน์ต่อ

[ได้แต้มจากกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ +399]

มันเสียใจมากและเดินออกไปพร้อมกับสมุดในมือ หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หัวเราะออกมาทันที เสี่ยวซยงสวี่คิดว่าทั้งสองคนล้อมันเล่นแน่ๆ เลยรีบวิ่งกลับไปดู แต่มันก็เห็นว่าทั้งสองคนยังดูโทรทัศน์ต่อไป มันเลยจะไม่เข้าไปยุ่งอะไรแล้ว

มันยังคงเดินออกไปอย่างหดหู่ หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เสี่ยวซยงสวี่คิดว่าทั้งสองคนคงดูโทรทัศน์แล้วหัวเราะ มันจะไม่สนใจทั้งสองคนไปอีกสัปดาห์หนึ่งเลย

แต่พอหันกลับไปมันก็เห็นว่าหลี่ว์ซูกำลังยิ้มให้มัน และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กำลังถือเค้กไว้ในมือ บนเค้กมีครีมสดวาดเป็นรูปเสี่ยวซยงสวี่อยู่ ถึงขนาดเติมสีม่วงไว้ที่ขนกระจุกบนหัวมันด้วย

เสี่ยวซยงสวี่ตกใจมาก มันเขียนตอบกลับบนสมุดเล็กๆ [สำหรับฉันเหรอ]

“สุขสันต์วันครบหนึ่งปีที่มาอยู่ในครอบครัวเรานะ” หลี่ว์ซู่พูดยิ้มๆ “ปีที่แล้วพอไปที่โบราณสถานเป่ยหมังเสร็จ แกก็ตามฉันกลับมาบ้าน”

หนึ่งปีผ่านไปเร็วชั่วพริบตา

หลี่ว์ซู่เข้ามาสู่โลกของการบำเพ็ญอย่างเต็มตัวก็เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ช่วงตรุษจีนปีที่แล้ว พอเดือนมิถุนายนเขาก็ได้ตามกลุ่มไปที่โบราณสถานเป่ยหมัง เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ

ตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็อายุสิบแปดปี ส่วนหลี่ว์เสี่ยวอวี๋อายุสิบเอ็ดปี และเสี่ยวซยงสวี่ก็ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวนี้ได้ปีหนึ่งแล้ว

เสี่ยวซยงสวี่มีสีหน้าดีใจอย่างมาก มันเขียนลงบนสมุดของมัน [ใจดีจัง!]

ทันใดนั้นก็มีสายเข้ามาในโทรศัพท์ของหลี่ว์ซู่ เขารับสายแล้วฟัง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวซยงสวี่เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเสียแล้วสิ…

หลี่ว์ซู่วางสายไปแล้วหันมามองเสี่ยวซยงสวี่ เขาหยุดไปถึงห้าวินาทีเต็มๆ ก่อนจะพูดออกมา “ฉันได้ยินว่าแกไปโผล่ในฝันของชาวบ้านและบังคับให้พวกเขาบอกว่าแกเป็นคนช่วยชีวิตพวกเขางั้นเหรอ แล้วก็บอกให้พวกเขาสร้างอนุสรณ์สถานให้แกด้วยเนี่ยนะ”

[ได้แต้มจากกระรอกเสี่ยวซยงสวี่ +299]

เสี่ยวซยงสวี่เตรียมตัวจะหันหน้าวิ่งหนีแล้ว ช่างมันสิ! มันถูกจับได้แล้ว!

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ครั้งนี้ไม่ต้องหนีหรอก” หลี่ว์ซู่พูด “อย่าเอาความสามารถเข้าฝันของแกไปใช้แบบผิดๆ แบบนี้อีก ระวังหน่อย!”

แล้วเสี่ยวซยงสวี่ก็กินเค้กของมันอย่างมีความสุข มันมองไปรอบๆ บ้าน ถึงแม้ว่าบนพื้นจะมีกระเบื้องแตกๆ และกำแพงก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว นี่มันก็คือบ้าน

มันตัดสินใจว่าจะไม่ก่อปัญหาอีกแล้ว มันทำให้ชื่อเสียงครอบครัวด่างพร้อยไม่ได้หรอก

คืนนั้นหลี่ว์ซู่เลื่อนดูบางอย่างในโทรศัพท์ก่อนจะไปฝึกบำเพ็ญ เขาเห็นโพสต์ที่นักเรียนม.ปลายคนหนึ่งบนไทม์ไลน์เขา นักเรียนคนนั้นบอกว่า [ไม่นานมานี้ผมเห็นอะไรแปลกๆ มีกระรอกตัวหนึ่งโผล่มาในฝันของผม และบอกว่ามันคือผู้ที่ช่วยชีวิตเมืองนี้ไว้แล้วอยากให้ผมสร้างอนุสรณ์สถานให้มัน ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นแค่ฝันธรรมดา แต่ตอนนี้มันมาปรากฏตัวในฝันผมอีก และบอกว่าไม่ต้องสร้างอะไรให้มันแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเครือข่ายฟ้าดินจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้…]

ในขณะที่ลำดับวัฏจักรธรรมชาติกำลังล้มครืน วิทยาลัยลั่วเสินก็กำลังเริ่มขั้นตอนการสอบเข้า

หลี่ว์ซู่พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาที่วิทยาลัยลั่วเสินอย่างรีบร้อน เขาเพิ่งเห็นว่าแต่ละคนหน้าตาคุ้นๆ ทั้งนั้น พวกเขาเป็นนักเรียนที่อยู่ในเมืองลั่วมาก่อนแล้ว ส่วนพวกนักเรียนจากต่างเมืองกำลังทยอยกันมา

เครือข่ายฟ้าดินครอบคลุมค่าเล่าเรียนของที่นี่ไว้แล้ว พวกเขาเอาเงินส่วนหนึ่งมาเป็นทุนการศึกษา มากไปกว่านั้นนักเรียนห้องเต้าหยวนยังจะได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงและศิลาวิญญาณกันทุกเดือนด้วย

หลี่ว์ซู่อ่านเนื้อความในหนังสือแนะนำโครงการ “วันนี้เราจะต้องไปทำทุกขั้นตอนให้เสร็จ เราต้องไปกรอกว่าอยากจะเอาดีทางด้านไหน แล้วก็ต้องฟังประกาศก่อนกลับด้วย”

หนังสือแนะนำโครงการแสดงให้เห็นว่ามีสาขากว้างๆ ที่สามารถเลือกได้อยู่ 8 แขนง ก็คือ การต่อสู้ การสืบสวน การบัญชาการ วิจัยสายพันธุ์ ความสัมพันธ์และความมั่นคงระหว่างองค์กรผู้บำเพ็ญ การปะทุพลัง และ การวิจัยเคล็ดวิชา

วิทยาลัยลั่วเสินเป็นวิทยาลัยแรกที่เครือข่ายฟ้าดินได้สร้างขึ้นมา และในอนาคตก็จะมีสาขาให้เลือกได้อีกหลายแขนง

สาขากว่าครึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ แต่เครือข่ายฟ้าดินก็ไม่ได้รับสมาชิกที่ไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้มามากนัก หลังจากเลือกสาขากันแล้ว จะมีเพียงผู้สมัครที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นที่จะได้รับคัดเลือกเข้ามา โดยจะพิจารณาจากความสามารถและคะแนนที่พวกเขามี ส่วนคนอื่นๆ ถ้าพวกเขาสมัครสาขาใดเข้ามาแต่คุณสมบัติไม่ตรงตามข้อกำหนด จะถูกจัดสรรให้ไปเรียนในสาขาแขนงอื่นแทน

นี่ไม่เหมือนกับการเข้ามหาวิทยาลัย แต่ละโรงเรียนก็จะสอนเนื้อหาที่แตกต่างจากโรงเรียนอื่นๆ ไปนอกเหนือจากภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ แน่นอนว่ามีโรงเรียนบางแห่งที่มีนักเรียนไม่ต้องเรียนคณิตศาสตร์อยู่เหมือนกัน

แต่ที่วิทยาลัยลั่วเสินนั้นจะต่างออกไป พวกเขาจะจัดวิชาพื้นฐาน เช่น ภาษาศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้บำเพ็ญ ปรัชญา จิตวิทยา และวิชาอื่นๆ เอาไว้ นักเรียนจะต้องเข้าเรียนตามนี้ทั้งหมด และจะจัดให้ไปเรียนตามชั้นเรียนต่างๆ เหมือนกับเรียนมัธยมปลาย

สาขาพวกนี้เป็นวิชาที่นักเรียนจะต้องฝึกฝน ในช่วงเวลาเรียน พวกนักเรียนก็จะต้องไปที่ห้องเรียนและสนามฝึกซ้อมที่จัดให้ตามลำดับ

หลี่ว์ซู่ถามขึ้นมาเบาๆ “เธอจะเลือกสาขาไหนเหรอ”

“ก็เลือกตามที่เธอเลือกนั่นแหละ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบ เธอไม่เห็นว่ามันจะสำคัญว่าเธอจะเลือกอะไร

“การวิจัยสายพันธุ์ดีไหม” หลี่ว์ซู่ถาม “ฉันสนใจตรงนี้มากเป็นพิเศษ อย่างอื่นมันดูธรรมดาไปน่ะ”

“ตามนั้นเลย!” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตกลง เธอข้ามชั้นมาไม่ใช่เพื่อได้เรียนโรงเรียนดีๆ หรอก แต่มาเพราะอยากอยู่กับหลี่ว์ซู่ต่างหาก

หลี่ว์ซู่พาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มาสมัครสาขาที่เลือกไว้ ทุกคนจะได้รับศิลาวิญญาณตามจำนวนจากหน่วยขนส่งหลังจากสมัครเรียนแล้ว ซีเฟ่ยก็เข้ามาที่วิทยาลัยลั่วเสินเหมือนกัน ทหารผ่านศึกหลายคนจากเครือข่ายฟ้าดินก็ได้เข้ามาเรียนเพิ่มเติมด้วย คนที่สมัครเข้าเรียนอย่างหลี่ว์ซู่และซีเฟ่ยจะได้รับเบี้ยเลี้ยงและศิลาวิญญาณ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องนี้ดูมีมนุษยธรรมดี มนุษยธรรมคืออะไรน่ะเหรอ การให้เงินน่ะสิคือการมีมนุษยธรรม

หลังจากที่หลี่ว์ซู่ไปส่งความสนใจที่เลือกแล้ว เขาก็รอจะรับศิลาวิญญาณ แต่หน่วยขนส่งกลับไม่ทำอะไรเลย หลี่ว์ซู่สงสัย “ศิลาวิญญาณของผมล่ะครับ”

คนของหน่วยจัดขนส่งมองเขาอย่างระมัดระวัง “คุณหลี่ว์ซู่ ตามบันทึกของผมบอกว่าคุณเป็นนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนโดยไม่เอาหน่วยกิต เราให้ศิลาวิญญาณคุณไม่ได้หรอกครับ”

หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย วิทยาลัยลั่วเสินมีนักศึกษาที่เข้าไปนั่งเรียนเฉยๆ แบบไม่เอาหน่วยกิตด้วยเหรอ เขาคงจะเป็นนักเรียนคนนั้นคนเดียวในเมืองเลยมั้ง!

นี่แน่ะ! หลี่ว์ซู่ชูหอกสามง่ามของเขาขึ้นมา “ไหนมองหน้าผมแล้วพูดแบบนั้นอีกสิครับ”

หน่วยขนส่งจะจำเถ้าแก่อย่างเขาไม่ได้ได้อย่างไร คนคนนั้นเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “ราชันฟ้าเนี่ยเซ็นชื่อและประทับตราตรงนี้แล้วครับ คุณไม่ใช่นักศึกษาอย่างเต็มตัวของที่นี่”

หลี่ว์ซู่กัดฟันแน่น “เนี่ยถิง! เขาส่งจดหมายรับเข้าเรียนให้ผมเองเลยนะ! เขาเป็นคนปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอจริงๆ! เราไม่จบกันง่ายๆ หรอกนะ!”

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถามอย่างใจเย็น “ฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าน้ำใจจะไปเชือดคอคนได้ยังไง”

หลี่ว์ซู่เงียบไป “ฮ่าๆๆๆ เชือดคอคนน่ะเหรอ ฮ่าๆๆๆ อย่างนี้ไงล่ะ”

[ได้แต้มจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ +666]

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset