ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 732 การโต้กลับ

หลายๆ คนมักมีอาการป่วยจากโรคกลัวความสูง ซึ่งมีอาการคลื่นเหียน อาเจียน หายใจแรงเนื่องจากขาดออกซิเจนเมื่อมาที่เมืองซ่าเฉิง และอาการจะดีขึ้นพอได้รับประทานยาแก้ปวดแล้ว แต่ร่างกายของคนที่ปีนเขามาก่อนและใช้ยาบ่อยๆ จะต้องพึ่งยาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ในอนาคตพวกเขาก็จะรับมือกับระดับความสูงที่สูงขึ้นได้ยากกว่าเดิม

แต่นักสำรวจที่นี่มีจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามนุษยชาติทั้งหลาย ไม่ว่าพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อหารายได้ มาสัมผัสความตื่นเต้น หรือมาเพราะความเชื่อของพวกเขาก็ตาม ขนาดช่วงก่อนยุคแห่งพลังจิตวิญญาณ พวกเขายังมีเสี่ยงปีนเขากันที่นี่แล้วเลย

หลี่ว์ซู่เดินออกมาจากสถานี เขาไม่เคยเป็นโรคกลัวความสูงมาก่อน ความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญไม่ได้มีแต่พละกำลังเท่านั้น แต่พวกเขายังมีความสามารถที่ปรับตัวให้อยู่รอดกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ด้วย

เขาเดินไปทางโรงแรมที่เขาเจอในอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นโรงแรมที่นักสำรวจชอบมาพักกัน ข้างนอกโรงแรมมีกระดานดำที่บอกเส้นทางต่างๆ ที่นักปีนเขาจะไปได้

ยกตัวอย่างเช่นมีใครอยากจะไปเริ่มต้นที่เมืองซ่าเฉิงและปีนเขาที่นั่น พวกเขาก็สามารถหารถนั่งไปฟรีๆ จากที่นี่ได้ หรือหาเพื่อนที่จะเดินไปทางเดียวกันก็ได้

เมื่อหลี่ว์ซู่เดินเข้าไปในโรงแรมแล้วเขาก็อึ้งไป เพราะเขาเห็นจางเยี่ยนเฟิงนั่งคุยอยู่กับกลุ่มคนประมาณห้าหกคนในสวนของโรงแรม เขาตกใจมาก “พี่ชายตามผมมาเหรอ”

จางเยี่ยนเฟิงสับสน

ฉันมาถึงที่นี่ก่อนนะ ใครตามใครมากันแน่

[ได้รับแต้มจากจางเยี่ยนเฟิง +166]

“ถ้าอยากมาร่วมกลุ่มกันก็บอกมาตรงๆ ได้นี่น้องชาย” จางเยี่ยนเฟิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมถึงตามฉันมาที่นี่ล่ะ ไม่เข้าใจกฎของกลุ่มเหรอ”

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่เห็นใครคนหนึ่งที่เขาคุ้นเคย คนคนนั้นจำหลี่ว์ซู่ไม่ได้ แต่หลี่ว์ซู่จำเขาได้!

หลี่ว์ซู่ตัดสินใจเปลี่ยนแผนกลางคัน เขาเลยพูดขึ้นมา “ถ้าจะเข้าร่วมจะต้องเสียเท่าไหร่ครับ ผมอยากจะไปเส้นทางหุบเขามรณะ”

“สองหมื่นหยวน” จางเยี่ยนเฟิงตอบ “ระดับความอันตรายของภูเขาคุนหลุนเปลี่ยนไปทุกวันนั่นแหละ เราต้องเสี่ยงเอามือใหม่เข้าไปในภูเขา ถ้านายอยากทำเรื่องท้าทายด้วยฉันก็ต้องเรียกจากนายเพิ่มอีก 5,000!”

สำหรับจางเยี่ยนเฟิงและนักสำรวจคนอื่นๆ แล้ว พวกเขาก็อยากจะไปเหยียบที่ช่องเขาเค่อหลี่หย่าหรือหุบเขามรณะก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ พวกเขาสามารถหาเงินและทำให้ฝันของนักสำรวจพวกนั้นเป็นจริงได้ในครั้งเดียว คุ้มมาก!

นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ว์ซู่ใจกว้างขนาดนี้ เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและหยิบเอาทองแท่งออกมา จากนั้นก็โยนไปให้จางเยี่ยนเฟิง “นี่น่าจะพอใช่ไหมครับ”

“พอสิ พอ น้องชายใจกว้างมาก!” จางเยี่ยนเฟิงออกเดินทางไปทั่วทุกที่มาแล้ว เมื่อเขามีทองแท่งอยู่ในมือ พวกเขาก็สามารถตัดสินได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอมโดยน้ำหนักและดูสีเท่านั้น!

ตอนแรกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นนักเรียนจนๆ แต่กลับกลายเป็นเศรษฐีเสียนี่!

หลี่ว์ซู่ยิ้มและออกไปหาเถ้าแก่ของโรงแรมเพื่อจองห้องพัก เขาให้ทองแท่งไปกับจางเยี่ยนเฟิงเพราะกลัวว่าเขาจะเอาเงินไปใช้จนหมด แต่กับทองแท่งมันไม่เหมือนกัน ตอนนี้เขาก็จะได้ใช้เงินแล้ว

คนที่เขาจำหน้าได้เป็นคนที่น่าสนใจมาก ตอนนั้นที่เขากลับมาจากกลุ่มทวยเทพและต้องไปเจอกับคนจากตระกูลใหญ่ๆ เขาก็ไปเจอตลาดมืดเมืองลั่วเข้า เขาเจอชายที่คอยเฝ้าอยู่หลังประตูเหล็กที่ชื่อหวังเจ๋อ เขาเป็นผู้บำเพ็ญระดับ D ที่อยู่ในกลุ่มนี้นั่นเอง!

เมื่อตอนที่หลี่ว์ซู่เข้าไปในตลาดมืด หวังเจ๋อเป็นคนขโมยศิลาวิญญาณไป และหลังจากที่มีการต่อสู้ระหว่างเขา หลีอีเสี้ยว และน่าหลานเชวี่ย หวังเจ๋อก็หนีไปและไม่กลับมาอีกเลย

แต่ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่แล้ว หลี่ว์ซู่จะคิดทั้งต้นทั้งดอกกับเขาให้สาสมเลย…

คนคนนี้น่าสนใจมาก พอขโมยศิลาวิญญาณไปเขาก็หนีไปโดยไม่กลับมาเฝ้าที่ตลาดมืดเลย และเขาก็หนีมาในที่ที่ห่างไกลแบบนี้ ตอนนั้นหลี่ว์ซู่ปลอมตัวเป็นเกาเสินอิ่น ตอนนี้หวังเจ๋อเลยจำเขาไม่ได้

หลี่ว์ซู่เริ่มต้นได้อย่างน่าประทับใจมาก เขาเอาทองแท่งออกมาซึ่งมีราคามากกว่า 20,000 หยวนอยู่แล้ว จางเยี่ยนเฟิงเลยคิดแผนออก เขาอยากรู้ว่าเขาจะทำให้หลี่ว์ซู่จ่ายได้มากกว่าเดิมหรือเปล่า

แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อหลี่ว์ซู่เดินเข้าโรงแรมมา เขาก็ทำให้ความชื้นในโรงแรมเพิ่มขึ้น ถ้าจะมีใครหนีโดยไร้ร่องรอยก็คงเป็นไปไม่ได้เลยเพราะเขามีพลังธาตุน้ำอยู่ พวกเขาคงจะอยากมาสู้กับหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่เล็งเป้าหมายไปที่หวังเจ๋อเท่านั้น

หลังจากที่หลี่ว์ซู่เดินขึ้นห้องไป หวังเจ๋อก็มองจางเยี่ยนเฟิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อะไรกัน พกทองแท่งมาที่นี่เป็นเรื่องปกติงั้นเหรอ แต่คนหนุ่มสาวสมัยนี้พกแต่เงินสดกันนะ”

คนที่เดินทางบ่อยๆ มักจะพกทองคำแท่งเพื่อที่จะหลบหนีได้ง่าย จะมีคนหนุ่มสาวสักกี่คนในสมัยนี้ที่ยังพกทองคำแท่งอยู่

เมื่อครั้งที่หวังเจ๋อเฝ้าประตูอยู่เขาเป็นคนที่มีรูปร่างผอมแห้ง แต่เมื่อเขาได้มานำกลุ่มปีนเขาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วเขาก็ดูล่ำขึ้น และหน้าของเขาก็ดูกลมขึ้นด้วย

“ฉันไปเจอเขามาที่รถไฟน่ะ ตอนนั้นฉันเห็นเขาหาอุปกรณ์ปีนเขาในมือถืออยู่ ก็เลยชวนเขามาร่วมกลุ่มด้วย ไม่คิดเลยนะว่าเขาจะเป็นเศรษฐี” จางเยี่ยนเฟิงหัวเราะแล้วพูดต่อ “เขาเป็นมือใหม่แน่ๆ และข้อมูลที่เขาหาเจอก็เชื่อถือไม่ได้ด้วย คนในหมู่เราจะไปโพสต์ข้อมูลไร้สาระแบบนั้นได้อย่างไร”

หวังเจ๋อพยักหน้า “ที่นั่นอยู่ไม่ไกลหรอก ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเครือข่ายฟ้าดินถึงปิดทางเข้าภูเขาคุนหลุนไว้ แต่ก็ไม่น่าจริงจังอะไรหรอก ที่ภูเขาไม่ได้มีคนที่มาจากเครือข่ายฟ้าดินอยู่ เดี๋ยวเรียกเขามากินข้าวเย็นกับเราด้วย มอมเหล้าเขาแล้วเอาข้อมูลมาจากเขาให้ได้ พยายามเอาเงินจากเขามาให้มากขึ้นกัน”

“ฮ่าๆ นี่แกกลัวเขาถึงแม้ว่าแกจะเป็นผู้บำเพ็ญงั้นเหรอ” จางเยี่ยนเฟิงสังเกตเห็นท่าทีของเขา

ในโลกนี้มีคนที่ปีนเขาเพราะสนใจในการปีนเขาจริงๆ แต่ก็มีหลายคนที่อยากจะหาเงินไปด้วยสนุกไปด้วย มีคนอยู่ทุกประเภท

ตกดึกจางเยี่ยนเฟิงก็เดินขึ้นไปเรียกหลี่ว์ซู่ “หลี่ว์ซู่ อยากมาร่วมวงกินข้าวกับพวกเราไหม เดี๋ยวเราน่าจะอยู่ด้วยกันเป็นเดือนเลย เราน่าจะมาทำความรู้จักกันไว้นะ”

หลี่ว์ซู่เดินตามจางเยี่ยนเฟิงไปอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้มีคนอยู่ในกลุ่มทั้งหมดรวมเขาแล้วเป็น 7 คน จางเยี่ยนเฟิงบอกว่าในกลุ่มจะต้องประกอบไปด้วยคนทั้งหมด 12 คน เมื่อออกเดินทาง เดี๋ยวก็หา 5 คนที่เหลือง่ายๆ เพราะมีคนหนุ่มสาวที่อยากไปปีนเขาในฤดูนี้เป็นจำนวนมาก

หวังเจ๋อและคนอื่นๆ ก่อกองไฟในสวนและย่างอาหารไว้กินแล้ว ยังมีกล่องไวน์ขาวสองกล่องอยู่ข้างๆ พวกเขาด้วย หลี่ว์ซู่ดึงเก้าอี้เล็กๆ ออกมาและกินอาหารข้างกองไฟ “พวกคุณเป็นกลุ่มที่สนุกสนานดีนะครับ”

จางเยี่ยนเฟิงเปิดขวดไวน์ขาวออกมาขวดหนึ่งและรินแจกในแก้วให้ทุกคน สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่หลี่ว์ซู่ พวกเขากะจะมอมเหล้าหลี่ว์ซู่เพื่อเอาข้อมูล

จางเยี่ยนเฟิงยิ้มออกมา “นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นายมาดื่มกับเรา เรามีกฎการดื่มอยู่ เดี๋ยวฉันจะแนะนำทุกคนบนโต๊ะนี้ และหลังจากนั้นเราก็จะดื่มหนึ่งแก้ว ถ้านายจำชื่อเราทั้งหมดได้ แปลว่านายเห็นเราเป็นเพื่อนของนาย ถ้าตอบถูกพวกเราจะเป็นฝ่ายดื่ม ถ้าจำชื่อไม่ได้ทั้งหมด ก็จะถือว่ามิตรภาพของเราก่อตัวขึ้นมาแล้ว และนายก็จะเป็นฝ่ายดื่มหนึ่งแก้ว คนข้างๆ นายชื่อกาหรับ บาลา ดันซ่า มูซู ชือดัน คนต่อไปนะชื่อ อุลเลอร์ เดเก มาฮัลลาเลล ริธู เบซิล…”

หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย

จางเยี่ยนเฟิงดื่มหนึ่งแก้วกับคนอื่นๆ อย่างอารมณ์ดี ทุกคนจึงได้ดื่มไวน์กันไปคนละสองถึงสามแก้ว

จากนั้นทุกคนก็มองหลี่ว์ซู่ วิธีแกล้งคนหนุ่มสาวนี่เป็นไปด้วยดีเลย ขนาดคนที่คอแข็งยังไม่สามารถเอาชนะไม้ตายนี้ได้ แน่ล่ะว่าชื่อที่เพิ่งพูดมาไม่ใช่ชื่อจริงหรอก แต่เดี๋ยวค่อยเฉลยหลังจากที่ทุกคนดื่มไปแล้ว พวกเขามีคนที่แข็งแกร่งตั้งหลายคน และยังมีผู้บำเพ็ญลับด้วย ชายหนุ่มคนเดียวเป็นเป้าง่ายๆ ให้พวกเขาได้เล่นงานเท่านั้น

หลี่ว์ซู่มองจางเยี่ยนเฟิงกลับและหยุดไปสองวินาทีก่อนพูดขึ้นมา “กาหรับ บาลา ดันซ่า มูซู ชือดัน อุลเลอร์ เดเก มาฮัลลาเลล ริธู เบซิล…”

[ได้รับแต้มจากจางเยี่ยนเฟิง +666]

[ได้รับแต้มจากหวังเจ๋อ +666]

[ได้รับแต้มจากหลี่คัง…]

หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมาเบาๆ แต้มอารมณ์ที่ได้รับมาแสดงให้เห็นแต่ชื่อจีนเท่านั้น ทำไมต้องแกล้งว่าตัวเองมาจากชนกลุ่มน้อยด้วย!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset