นี่เป็นคืนที่สองในภูเขาคุนหลุนแล้ว หลี่ว์ซู่เดินออกมาจากเต็นท์ของเขาอย่างสดชื่นเพราะเขาเพิ่งร้องเพลงดาวดวงน้อยไป นักปีนเขาคนอื่นๆ มีปัญหาเรื่องแผลพุพอง แต่ไม่ใช่กับเขา…
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าการฝึกเพลงดาวดวงน้อยที่นี่ได้ผลมากกว่าปกติ
ในวันนั้นพวกเขาจะต้องเดินหน้าไปตามทะเลทราย และพวกเขาก็เห็นอูฐป่า ม้า และลาที่กลายพันธุ์นับไม่ถ้วน แต่พวกมันก็ไม่ได้แสดงท่าทีดุร้ายอะไร มีร่องรอยเท้าสัตว์อยู่ตามหน้าผา และคนก็สามารถเดินตามทางนั้นได้เช่นกัน
หลี่ว์ซู่จะจับสัตว์กลายพันธุ์และเก็บไว้ในตราแผ่นดินทุกครั้งที่เขามีโอกาส เพราะตัวอย่างเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับสาขาวิจัยสายพันธุ์ของวิทยาลัยบำเพ็ญลั่วเสิน…
แล้วในวันที่ห้าระดับความสูงของภูเขาคุนหลุนก็ลดลงอย่างมาก แต่พืชพรรณต่างๆ กลับสูงขึ้น หลี่ว์ซู่เพิ่งเห็นพืชต้นสูงเท่ามนุษย์มา
ตั้งแต่นั้นมาทุกคนในกลุ่มก็เข้าใจนิสัยของหลี่ว์ซู่อย่างแจ่มแจ้ง เขาเป็นคนต่อต้านสังคม และจะไม่ถูกหลอกได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่มถึงแม้เมื่อดูภายนอกจะอ่อนแอก็ตาม
วันที่ห้านี้ทุกคนเริ่มจะมีปัญหาเรื่องปากแตกแล้ว อีกอย่างพวกเขายังแสดงอาการเหนื่อยล้าเมื่อเดินภายใต้แสงแดด แต่หลู่ว์ซู่ดูเหมือนจะสบายดี
แล้วเขาก็อยู่รอดด้วยการกินผลไม้วันละผลเพื่อให้ได้วิตามินและน้ำด้วย…
จางเยี่ยนเฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย เหมือนว่าหลี่ว์ซู่จะไม่ได้รับความลำบากอะไรเลยทั้งๆ ที่เขาดูอ่อนแอมาก
โดยปกติแล้วคนบางประเภทจะได้รับการต้อนรับน้อยที่สุดในกลุ่มเดินสำรวจ อย่างเช่นคนมาทีหลัง คนที่ดูต่อต้าน อ่อนแอ หยิ่งผยอง และคิดว่าทุกคนจะต้องมาคอยรับใช้เขา
แต่พอเป็นหลี่ว์ซู่แล้ว จังเหยียนเฉิงก็ต้องทนกล้ำกลืนนิสัยแย่ๆ ของหลี่ว์ซู่ไปเพื่อเงิน
การจะปล้นเขาก็ดูจะเป็นไปได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำผิดกฎหมายถ้าคนคนนั้นไม่ใช่โจรโดยสันดาน
ในขณะที่พวกเขากำลังปีนบนเนินทราย หวังเจ๋อที่กำลังนำกลุ่มอยู่ๆ ก็ย่อตัวลงเพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ เมื่อทุกคนทำตามแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองดูอีกฝั่งหนึ่งของภูเขา
“มีอะไรเหรอครับ”
หวังเจ๋อตกใจแทบสิ้นสติ จากนั้นเขาก็หันไปมองหน้าหลี่ว์ซู่ที่อยู่ข้างๆ เขา…
หลี่ว์ซู่เงยหน้าขึ้นมองเห็นหมีตัวใหญ่ยักษ์ ตัวของมันใหญ่เกือบเท่าวัวสองตัว ในโลกมนุษย์ไม่ได้มีสัตว์ที่น่ากลัวแบบนี้เหรอ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหวังเจ๋อถึงได้กลัวขนาดนั้น
หลี่ว์ซู่ตกตะลึงมาก เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังจากหมีตัวนั้นซึ่งอยู่ประมาณระดับ E เป็นอย่างน้อย และนี่ก็เพิ่งเป็นวันที่สองในหุบเขามรณะเท่านั้น ในหุบเขานี้จะมีอะไรซ่อนอยู่อีกนะ
“เป็นไปได้ยังไง” จางเยี่ยนเฟิงถาม เขาสนใจว่าจะได้อะไรจากหมีนี่บ้าง ถ้าพวกเขาฆ่ามันได้ก็คงเอาขน อุ้งเท้า และถุงน้ำดีไปขายได้ราคางามเลย
หลี่ว์ซู่เหลือบมองจางเยี่ยนเฟิงอย่างดูถูก เครือข่ายฟ้าดินเคยให้ข้อมูลเรื่องหมีกลายพันธุ์ไปแล้ว ในทางเหนือของจีนมีคนขังหมีไว้ในกรงเพื่อเอาน้ำดีของมัน พวกเขาสอดท่อผ่านคอของมันไปเอาน้ำดีในตัวมันอย่างทารุณ
พอตอนยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืน หมีก็กลายพันธุ์ขึ้นมา และพลังของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย พวกหมีฆ่าคนที่ทำงานในโรงงานเก็บน้ำดีไปหมดในเวลาไม่นาน
และหมีที่พวกเขาเจออยู่ตอนนี้ก็แข็งแกร่งกว่านั้นด้วย มันอยู่ระดับ E ในกลุ่มนี้ไม่มีใครนอกจากหลี่ว์ซู่และหวังเจ๋อที่จะมีโอกาสเอาชนะมันได้แน่ๆ
“ไปหลบหลังเขากัน” หวังเจ๋อพูดขึ้นมา “หวังว่ามันจะหันไปสนใจสัตว์อื่นๆ ก่อนนะ”
แต่อย่างไรก็ตาม หวังเยี่ยน สามีของเธอ และสมาชิกหนุ่มสาวในกลุ่มอีกสามคนก็วิ่งลงเขาไปแล้ว หวังเยี่ยนรีบเสียจนสะดุดกิ่งไม้หักๆ บนพื้น เธอกรีดร้องดังลั่น!
หมีกริซลีตัวนั้นหันไปทางเนินทรายและจ้องเข้าไปในดวงตาของหวังเจ๋อ หวังเจ๋อไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย เลยทำให้ทั้งสองสบตากันอย่างเคร่งเครียด
หลี่ว์ซู่ที่อยู่ข้างๆ หวังเจ๋อก็มองทั้งสองสลับไปมา หลังจากที่หยุดไปสักครู่เขาก็ถาม “หมีนี่เป็นเพื่อนคุณเหรอ”
[ได้รับแต้มจากหวังเจ๋อ +999!]
แก้มของหวังเจ๋อมีเหงื่อไหลหยดลงมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าหมอนี่กำลังคิดอะไรอยู่ มาพูดเรื่องตลกในตอนที่กำลังเสี่ยงเพื่อ!
หวังเจ๋อไม่ใช่คนบ้าบิ่นอะไรเลย ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับคำชมมาทั้งวันก็เถอะ เขารีบหันหลังแล้ววิ่งหนีทันที
หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดหวัง ขี้ขลาดจังนะ!
ในขณะเดียวกันหมียักษ์ตัวนั้นก็พุ่งใส่เขาอย่างรวดเร็ว ขนและเสียงคำรามของมันสั่นไหวขณะกำลังวิ่งเข้าใส่ มันทิ้งรอยเท้าหลุมลึกบนพื้นไว้ตลอดทางที่มันก้าวมา
แต่อย่างนั้นหลี่ว์ซู่ก็ประหลาดใจที่เห็นจางเยี่ยนเฟิงยังคงยืนอยู่ เขาหยิบเอามีดสั้นออกมาจากกระเป๋าและตะโกน “วิ่ง! เดี๋ยวฉันระวังหลังให้นายเอง!”
ในสถานการณ์แบบนี้มนุษย์ไม่มีทางเอาชนะหมีได้หรอก จะมีคนตายเพิ่มอีกแน่ ถ้าไม่มีใครสักคนยอมเสียสละชีวิต หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจที่จางเยี่ยนเฟิงทำไปเลย เขาเป็นพวกนักเลงหิวเงินไม่ใช่เหรอ
แต่หลี่ว์ซู่ก็รีบวิ่งลงเขาไปและคว้าเอาคอเสื้อจางเยี่ยนเฟิงลงมาด้วย หวังเจ๋อที่กำลังเตรียมวิ่งอยู่นั้นไปสะดุดขาหลี่ว์ซู่เข้า และหลี่ว์ซู่ก็เหมือนจะยืดขาออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจขณะกำลังวิ่งหนี หวังเจ๋อน่าจะพยายามอะไรมากกว่านี้หน่อยนะเพราะเขาก็เอาเงินหลี่ว์ซู่ไปแล้ว! อีกอย่างหลี่ว์ซู่ยังไม่ได้จัดการเขาเรื่องขโมยศิลาวิญญาณไปเลย
หลี่ว์ซู่ไม่ได้อยากจะสร้างศัตรูเพราะศิลาวิญญาณเพียงเม็ดเดียวหรอก แต่ถ้าเพื่อชีวิตดีๆ แล้วล่ะก็ เขาจะไม่ยอมเสียศิลาวิญญาณไปแม้แต่ครึ่งเม็ด
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นแค่นักเรียนที่ไม่ได้รับหน่วยกิตเท่านั้น บ้าเอ๊ย เนี่ยถิง
แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ใช่คนใจร้าย เขาส่งกระบี่เฉวียอินสองเส้นออกไปเลียบพื้นจากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่หน้าอกของหมีกริซลี และเจ้าหมียักษ์ระดับ E ตัวนั้นก็ถูกแทงเข้าไป ถึงภายนอกของมันจะดูไม่เป็นไรแต่ระบบไหลเวียนเลือดและทางเดินหายใจของมันเริ่มล้มเหลวแล้ว
หวังเจ๋อกระโดดเข้าโจมตีหมีอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่มีทางหนีอื่นแล้วเพราะหมีกำลังพุ่งตรงมาที่เขา แต่หมีตัวนี้ก็ไม่ได้มีทักษะการต่อสู้ใดๆ มันก็แค่หลบการโจมตีของมีดเยอรมันเป็นครั้งคราวเมื่อมีโอกาสเท่านั้น
หวังเจ๋อดูน่าสมเพชท่ามกลางทรายที่ฟุ้งกระจาย แค่หมีโจมตีเขาด้วยอุ้งเท้าไม่กี่ครั้งก็ทำให้เกิดแผลเหวอะหวะยาวบนตัวหวังเจ๋อแล้ว
หวังเจ๋อรวบรวมความกล้าหาญเข้าต่อสู้ในนาทีที่ชี้เป็นชี้ตายแบบนี้ เขารู้ว่าเขาคงไม่รอดแน่ๆ ถ้าไม่เสี่ยงชีวิตสู้กับหมีตัวนี้!
เขาก็เลยขว้างมีดไปที่หมีตัวนั้นด้วยกำลังทั้งหมดที่มี และทันใดนั้นหมีตัวนั้นก็ตายไป ถึงแม้จะไม่มีแผลฉกรรจ์ให้เห็นก็ตาม…
มันตายแล้วงั้นเหรอ! หวังเจ๋อทรุดลงบนพื้นอย่างใจลอย เมื่อกี้ฆ่าง่ายไปไหม…
อย่างไรก็ตามเขาก็รอดชีวิตมาได้ล่ะนะ แล้วเขาก็ระเบิดหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในขณะที่หน้าเปื้อนดินไปหมด “ฉันนี่เก่งจริง!”
ทุกคนหันมามองหมีที่ตายอย่างตกใจ ในตอนนั้นเองสมาชิกหนุ่มสาวทั้งห้าคนก็รู้สึกว่าตัวเองจ่ายเงินไปคุ้มแล้ว ผู้บำเพ็ญนี่แข็งแกร่งจริงๆ ด้วย!
มีแต่หลี่ว์ซู่เท่านั้นที่ยืนทำสีหน้าเรียบเฉยห่างออกไป และเขาก็เห็นจางเยี่ยนเฟิงทำสีหน้าแปลกๆ