ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 734 ราชาปิศาจผู้ทำบรรยากาศเสีย

หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ได้ไปเจอกับจามรีป่าในวันแรกที่เข้าไปในภูเขาคุนหลุน และเป็นครั้งแรกที่เจอสัตว์ที่สามารถเข้าโจมตีมนุษย์ได้

ปกติแล้วจามรีเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่เป็นฝูง และจะไม่เข้าโจมตีสายพันธุ์อื่นๆ แต่จามรีป่านั้นต่างออกไป นักปีนเขาทั้งหลายกลัวการเจอจามรีในป่ามาก และจามรีพวกนี้ก็โหดเหี้ยมด้วย

หลี่ว์ซู่ยืนห่างออกไป เขาไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆ จามรีตัวนี้เป็นระดับ F ซึ่งมีระดับที่สูงกว่าสัตว์กลายพันธุ์อื่นๆ ในเมือง แต่หวังเจ๋ออยู่ระดับ D หลี่ว์ซู่อยากจะรอดูว่าศิลาวิญญาณที่เขาขโมยไปจะทำอะไรได้หรือเปล่า

แต่หลี่ว์ซู่ก็ต้องผิดหวัง เพราะหวังเจ๋อไม่มีอาวุธอะไรดีๆ เลย เขามีแต่มีดเยอรมันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของเขา ก่อนหน้านี้จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ อวดเรื่องที่พวกเขามีปืนล่าสัตว์ แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่เห็นใครจะมีอาวุธแบบนั้นสักคน

น่าผิดหวังจัง…

หวังเจ๋อฆ่าจามรีป่าตายได้ง่ายๆ ขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังรุดหน้ากันไปอยู่นั้น หลี่ว์ซู่ก็บอกว่าเขาอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา แต่เขาเดินไปบริเวณที่หวังเจ๋อโยนศพจามรีทิ้ง และอุ้มเอาศพจามรีนั้นใส่เข้าไปในตราแผ่นดิน

อย่างไรก็แล้วแต่เขาก็เป็นนักศึกษาวิจัยสายพันธุ์ ถึงแม้ว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อทำให้เนี่ยถิงอับอาย แต่ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่จะกลับไปมือเปล่านี่

อีกอย่างนักศึกษาในทุกๆ สาขาก็หวังพึ่งซึ่งกันและกัน เขาไม่สามารถลดค่าของทุกคนจากเคล็ดวิชาของพวกเขาได้

แล้วกลุ่มก็เดินหน้าต่อไป หลี่ว์ซู่เพิ่งเห็นว่าสมาชิกผู้หญิงคนเดียวในทีมได้รับการเอาใจใส่มากกว่าคนอื่นๆ ในสถานการณ์ปกติแล้วคนพวกนี้จะกินอาหารกลางวันด้วยการยัดอาหารเข้าปากแบบง่ายๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ประณีตกว่านั้น ถ้าเธออยากจะกินข้าวต้มขึ้นมา ทั้งกลุ่มก็จะหยุดรอเธอ

เมื่อกลุ่มคุณลุงอยู่ในป่าแบบนี้แต่ยังไม่เจออันตรายใดๆ พวกเขาก็เลยอยากจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษเสียหน่อย

ได้กินข้าวต้มสักถ้วยในสถานที่แบบนี้อย่างกับได้ขึ้นสวรรค์ สามีของเธอถึงกับแบกถุงข้าวเล็กๆ ไปไหนมาไหนด้วย

จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ ต่างอิจฉาพวกเขาเล็กน้อย ยกเว้นแต่หลี่ว์ซู่เท่านั้น

บ่ายวันนั้นผู้หญิงที่ชื่อว่าหวังเยี่ยนได้ทำข้าวต้มหม้อเล็กๆ หลี่ว์ซู่หยิบเอาลูกแพร์สองลูกออกมาจากกระเป๋า มันทั้งใหญ่และชุ่มฉ่ำ หลี่ว์ซู่กัดแค่คำเดียวน้ำจากผลแพร์ก็ไหลลงมาตามคางของเขา

[ได้รับแต้มจากจางเยี่ยนเฟิง +166]

[ได้รับแต้มจากหวังเยี่ยน…]

ทุกคนมองหลี่ว์ซู่กินลูกแพร์ในสภาพอากาศแบบนี้ และพวกเขาก็เกือบทำน้ำลายไหล พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลี่ว์ซู่จะเอาผลไม้มามากมายขนาดนี้!

หลี่ว์ซู่เพิ่งเอาแอปเปิลไปแจกฟรีๆ สองลูกด้วย ทุกคนเลยสงสัยว่าหลี่ว์ซู่น่าจะใช้ชีวิตสบายมาตลอด เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่มีสามัญสำนึกเท่าไหร่

หวังเยี่ยนเม้มปากแน่นขณะที่เธอกำลังต้มข้าวต้ม ใครๆ ก็มาเอาใจใส่เธอมากที่สุด ทุกคนต่างอิจฉาที่สามีหลงเธอขนาดนี้ แต่ไม่ว่าข้าวต้มจะอร่อยมากแค่ไหน มันก็สู้การกินผลไม้ในตอนนี้ไม่ได้หรอก

“ไปถามให้หน่อยสิว่าเขาจะขายผลไม้หรือเปล่า” หวังเยี่ยนใช้ศอกถองเอวสามี

สามีของเธอเลยเดินไปหาหลี่ว์ซู่ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เปิดปาก หลี่ว์ซู่ก็โพล่งขึ้นมา “ลูกละ 5000 หยวนครับ”

[ได้รับแต้มจากหวังเยี่ยน +666]

[ได้รับแต้มจาก… ]

จางเยี่ยนเฟิงอึ้งไปเลย เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อปีนเขาแต่มาขายผลไม้งั้นเหรอ!

หวังเจ๋อขมวดคิ้ว “เขาคงจะไม่หายตัวไปหลังจากขายผลไม้ใช่ไหม”

“ฉันสงสัยว่าเขาจะทำอย่างนั้นน่ะสิ…”

สุดท้ายแล้วหวังเยี่ยนก็ไม่ได้ซื้อลูกแพร์ของหลี่ว์ซู่ ใครจะไปโง่ขนาดนั้นล่ะ หลังจากนี้พวกเขาก็ไม่อยากจะไปเสวนากับหลี่ว์ซู่อีกแล้ว

ใครคนหนึ่งกระซิบขึ้นมา “มีผลไม้ตั้งมากมายแต่ไม่มีน้ำใจจะแบ่งคนอื่นงั้นเหรอ ฮ่าๆ ฉันไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีใครแบกผลไม้ไปด้วยเยอะๆ แล้วจะปีนเขาสำเร็จ ปล่อยเขาทรมานไปเถอะ”

คืนนั้นหลี่ว์ซู่เอาลูกแพร์อีกสองลูกออกมา…

เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าเขาหาแต้มอารมณ์มาได้โดยการกินผลไม้เท่านั้น…

บ่ายวันนั้นพวกเขาเจอโครงกระดูกของสัตว์ป่าไปตลอดทาง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่การไปเจอฝูงหมาป่าและรอยเท้าหมีใกล้แหล่งน้ำทำให้พวกเขากลัวกันเล็กน้อย

จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ มีประสบการณ์มาแล้ว หลี่ว์ซู่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะเอาอวนจับปลากันมา

พวกเขาติดอวนจับปลาขนาดใหญ่ไว้ที่เสาเดินป่ารอบๆ พื้นที่ตั้งแคมป์ จางเยี่ยนเฟิงถอนใจแล้วยิ้ม “ถ้าทำแบบนี้แล้วสัตว์ป่าจะไม่เข้าโจมตีพื้นที่ตั้งแคมป์ นี่เป็นวิธีที่ทำกันมาแล้วและผ่านการทดสอบแล้ว ไม่ต้องขึงอวนไว้สูงมาก ขึงไว้สูงประมาณเอวก็ได้แล้ว มันจะทำให้หมาป่าและหมีถอยหนีไปเอง”

“ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ กลุ่มที่เราไปด้วยก่อนหน้านี้ไม่เคยทำเลย” หวังเยี่ยนกล่าวชม

จางเยี่ยนเฟิงรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมามากทันที “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมเก็บเงินพวกคุณมาแล้ว ไม่มีใครตายในความดูแลของผมหรอก เดี๋ยวผมจะพาทุกคนกลับโดยสวัสดิภาพเอง”

หลี่ว์ซู่มองจางเยี่ยนเฟิงและอึ้งไปเลย ขนาดคนไม่สำคัญอย่างเขายังมีความภาคภูมิใจเลยเหรอเนี่ย สองวันที่ผ่านมา หลี่ว์ซู่เพิ่งสังเกตว่าก่อนหน้านี้จางเยี่ยนเฟิงเป็นคนนำกลุ่มปีนเขา แต่หลังจากยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนทำให้พวกสัตว์รับมือได้ยากขึ้น เขาก็เลยต้องหวังพึ่งหวังเจ๋อ

ถึงแม้ว่าจางเยี่ยนเฟิงจะโลภอยากได้เงินมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้เห็นชีวิตของคนอื่นๆ เป็นเรื่องเล่นๆ

แน่นอนว่าหลี่ว์ซู่รู้ว่าเห็นหน้าคนก็ไม่ได้แปลว่าจะรู้ใจคนเสมอไป หลี่ว์ซู่เลยยังต้องดูท่าทีของจางเยี่ยนเฟิงไปจนจบการเดินทาง พอจบการเดินทางไปหุบเขามรณะแล้ว ทุกคนก็คงต้องไปตามทางของตัวเองและไม่หวนมารวมตัวกันอีก

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ง่ายและใช้มันสมองของตัวเองได้ดี เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์ถึงครองโลกนี้ได้ แต่หลี่ว์ซู่ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าพวกสัตว์พวกนี้พัฒนาสติปัญญาจนฉลาด พวกมันจะหาวิธีแบบเดียวกันอย่างนี้ได้หรือเปล่า

พวกเขาสามารถเห็นป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลและสัตว์ป่าได้ในเวลาเดียวกันในสถานที่แบบนี้ และจะทำให้มนุษย์รู้สึกโดดเดี่ยว

การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มในทุกๆ คืนหลังจากที่จุดกองไฟเป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกคนจะมารวมตัวกันเล่าเรื่องราว เล่าเรื่องตลก หรือกระทั่งร้องเพลงกัน

นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกัน และไม่มีใครถูกทิ้งไว้

มันก็เหมือนทะเลทรายที่มีพืชสีแดงกระจายทั่วอยู่บนพื้น เมื่อพวกเขามองขึ้นไปก็เห็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ แต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวมากเหลือเกิน

ทุกๆ คนกำลังร้องเพลง เล่าเรื่องให้กันฟัง และเล่าเรื่องตลก พวกลุงๆ เล่าเรื่องตลกใต้สะดือกันแน่อยู่แล้ว และหวังเยี่ยนก็ทำเป็นเขินอายขณะฟังเรื่องที่พวกเขาพูด

บรรยากาศโดยรอบดูกลมเกลียวกันมาก พอถึงตาหลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่ก็หยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องขึ้นมา “พ่อแม่ของเสี่ยวหมิงเก็บเขาไว้ในความมืดมานาน สุดท้ายแล้วเขาก็ตายด้วยความทรมาน”

จางเยี่ยนเฟิงพูดไม่ออก

หวังเจ๋อก็เงียบไป

ทันใดนั้นก็มีความเงียบที่น่าอึดอัดก่อนตัวขึ้นมา…

หลี่ว์ซู่ยังเล่าไม่จบ เขาเลยพูดต่อ “เสี่ยวหมิงกำลังจะเป่าเทียนที่สว่างไสวให้ดับลง แต่ก่อนที่เขาจะอธิษฐาน เขาก็ถูกไล่ออกมาจากงานศพเสียก่อน…”

“อะแฮ่ม” จางเยี่ยนเฟิงลุกขึ้น “ดึกแล้วนะ ทุกคนจัดการแผลพุพองที่เท้าของตัวเองแล้วเข้านอนกันเถอะ…”

หลี่ว์ซู่รู้สึกเศร้าเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นทุกคนถอยกลับหันไปหมด ทำไมพวกเขาไม่รอฟังเรื่องของเขาให้จบนะ

หวังเจ๋อรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่าเขาเคยเจอหลี่ว์ซู่มาก่อน และหลี่ว์ซู่ก็เป็นคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด แต่หวังเจ๋อเคยเห็นหน้าคนคนนั้นมาแล้ว เขาเลยไม่คิดอะไรมากเท่าไหร่

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset