ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 515 คอรัล โอดิน จอห์นสัน

คอรัล โอดิน จอห์นสัน

 

กลุ่มคนต่างตั้งคำถาม “ท่านคุริยามะกับท่านมิยาซากิอยู่ที่ไหน ทำไมเราไม่เห็นเลย”

 

“ฉันก็ไม่เห็นพวกเขาเหมือนกัน… สงสัยว่ายังอยู่ในห้องทำงาน ติดต่อก็ไม่ได้ พอกดกริ่งก็ไม่มีใครตอบรับเลย” ใครสักคนหนึ่งพูด ดูท่าแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะไม่ใช่ความลับสินะ

 

“อย่านินทาเจ้านายกันได้ไหมเจ้าพวกนี้! กลับไปประจำที่ซะ นี่เป็นเหตุฉุกเฉินระดับหนึ่งนะ!” ใครอีกคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวแม้จะอยู่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน “ในเมื่อท่านคุริยามะไม่อยู่ ฉันจะจัดการแทนเอง!”

 

หลี่ว์ซู่เดินออกมาจากสถานการณ์ชุลมุนนั้น ความวุ่นวายในหมู่พวกทวยเทพน่าจะเกิดแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ พวกนั้นมีวินัยทหารสูงมากและไม่นานก็คงกลับเข้าไปประจำที่กันเรียบร้อยเหมือนเดิม หลี่ว์ซู่ต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่อย่างไวแล้ว

 

เขาเดินมาถึงประตูหลัก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณนั้นจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ไม่แม้แต่จะขยับตัวเปิดทางให้

 

หลี่ว์ซู่ยื่นใบอนุมัติให้พวกการ์ดดู “ให้ฉันออกไป ท่านคุริยามะอนุญาตให้ฉันลาได้!”

 

“นี่เป็นเหตุฉุกเฉินระดับหนึ่ง ห้ามใครออกเด็ดขาด” เจ้าหน้าที่ตอบอย่างไร้อารมณ์

 

หลี่ว์ซู่มีลางสังหรณ์แปลกๆ “ใครเป็นคนประกาศเหตุฉุกเฉิน ฉันได้ใบอนุญาตนี้มาจากท่านคุริยามะเองเลยนะ”

 

“ท่านทาคาชิมะเป็นคนสั่ง!”

 

น่ารำคาญจริง เจอคุริยามะว่าว้าวซ่าแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยกับเจ้าทาคาชิมะ

 

ถ้าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึเป็นคนสั่งการห้ามคนในออกไปจริง หลี่ว์ซู่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ เห็นทีเขาต้องกำจัดเจ้าพวกนี้ออกไปให้พ้นทาง จิตสังหารของหลี่ว์ซู่แผ่ออกมา ในเมื่อข้างในกำลังโกลาหล เขาต้องฉวยโอกาสอันดีนี้หนีออกไป

 

แต่แล้วจู่ๆ ประตูหลักก็เปิดออก หลี่ว์ซู่เห็นทาคาชิมะสับขาเดินเข้ามาอย่างว่องไว “ปิดทางเข้าออกให้หมด ห้ามใครออกไปได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน! ปิดประตูเหล็กเดี๋ยวนี้!”

 

???

 

เฮ้ยพี่ชาย! กลับมาได้จังหวะอะไรแบบนี้ ถ้านายกลับมาแล้วฉันจะทำไงล่ะพวก ทีนี้จะเอาศิลาพวกนี้ออกไปได้ยังไง!

 

จากนั้นประตูเหล็กก็ปิดเสียงดังปังกันไม่ให้ใครออกไป เจ้าประตูเหล็กนี่สร้างมาเพื่อป้องกันการรุกรานจากภายนอก หลี่ว์ซู่ไม่คิดเลยว่าพวกทวยเทพจะได้ใช้ประโยชน์ไอ้ประตูได้ไวถึงเพียงนี้ ตอนนี้ไม่มีใครสะบัดตูดออกไปข้างนอกได้แล้วถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากทาคาชิมะ…

 

ทาคาชิมะมองมาที่หลี่ว์ซู่ “นายมาทำอะไรที่นี่”

 

“เอ่อ…ผมมาดูว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหมน่ะครับ” เขาตีเนียนตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ข้างในเจ็บปวดร้อนรุ่มเหลือเกินที่ไม่สามารถขนศิลากว่าเก้าหมื่นกว่าเม็ดนี่ออกไปไม่ได้ กลัดกลุ้มใจไปหมด

 

ทาคาชิมะไม่มีเวลามายุ่งกับหลี่ว์ซู่ เขากระโจนไปบนกำแพงปราการแล้วมองดูสถานการณ์จากข้างบน

 

หลี่ว์ซู่ไม่กล้าหนีออกไปผ่านกำแพงนี่แล้ว ตอนนี้ทาคาชิมะเป็นคนควบคุมที่นี่ เขากลัวว่าทาคาชิมะจะเปลี่ยนเป้ามาเป็นเขาแทนที่จะไปสนใจศัตรูที่มาบุกรุก

 

เขากลับเข้าไปข้างในป้อมปราการแล้วจัดแจงกำลังคนระดับ C ไปต่อสู้ ในขณะที่กองทัพกำลังระดมพลเตรียมต่อสู้ หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินทาคาชิมะพูดว่า “กลุ่มเทพเจ้า! เราจะปล่อยสถานการณ์ให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”

 

“ข้าขอปฏิญาณ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”

 

“ข้าขอปฏิญาณ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”

 

หลี่ว์ซู่เหลือบมอง เดี๋ยวนะ! กลุ่มเทพเจ้างั้นเหรอ กลุ่มนี้มันสังกัดที่คอรัลเคยอยู่มาก่อนไม่ใช่เหรอ หลังจากหลี่ว์ซู่มาที่กลุ่มทวยเทพ ข้อมูลที่เขาได้มาก็มีแค่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทวยเทพเท่านั้น ส่วนข้อมูลของกลุ่มเทพเจ้า… เนี่ยถิงไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ว์ซู่กับคอรัล

 

แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมคอรัลถึงอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่ กลุ่มเทพเจ้าน่าจะอยู่ไกลจากกลุ่มทวยเทพไม่ใช่เหรอ คงไม่ใช่เพราะเหตุผลส่วนตัวหรอกใช่ไหม ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะยืนยันเรื่องนี้ยังไม่ได้ แต่เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วรางๆ ไม่มีทางที่กลุ่มเทพเจ้ากับกลุ่มทวยเทพจะเกี่ยวข้องกันได้เพราะระยะทางห่างกันขนาดนั้น หากเธอกลับมาโจมตีที่นี่จริงละก็ ก็คงไม่มีสาเหตุอื่นแล้วนอกจากมาเพื่อล้างแค้นให้เขา…

 

ภายในใจหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน นอกจากเสี่ยวอวี๋แล้วยังมีคนอื่นที่ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเขาอยู่อีกด้วย

 

เรื่องนี้ตราตรึงใจเขาจนหลี่ว์ซู่จนพูดไม่ออก แต่เธอก็มาได้ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มดีจริงๆ เลย…

 

หลี่ว์ซู่ไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ตอนนี้ เขาครุ่นคิดพักหนึ่งก็แล้วก็ตะโกนออกไปพร้อมกับกลุ่มคนที่อยู่แถวนั้น “ข้าขอปฏิญาณ หากไม่สู้จนรอด เราทวยเทพก็ขอพินาศไปพร้อมกัน!”

 

แต่แล้วผู้คนก็หยุดตะโกน ไอ้คติพจน์นี่มันมีไว้ปลุกใจนี่นา ถ้ามัวแต่ตะโกนต่อไปแล้วเคลื่อนพลเตรียมรับการต่อสู้ได้ยังไง แต่กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็ยังตะโกนต่อไป…

 

ในที่สุดก็มีระดับ C คนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป “พอได้แล้ว! หยุดแหกปากได้แล้วโว้ย!”

 

หลี่ว์ซู่ชะงักแล้วมองไปที่เขา “นายไม่เต็มใจสู้จนรอด ถ้าไม่รอดก็ขอพินาศไปกับกลุ่มทวยเทพงั้นเหรอ!”

 

“… ฉันสัญญาว่าจะสู้จนรอด ถ้าไม่รอดก็ขอพินาศไปกับกลุ่มทวยเทพ”

 

[ได้แต้มจากคาวาโนะ ทาโร่ +666!]

 

หลี่ว์ซู่ถาม “มีกำลังคนเท่าไหร่ที่มาจากกลุ่มเทพเจ้า”

 

คนระดับ C งุนงง “น่าจะมีแค่ผู้นำหญิงคนใหม่กับอัศวินเหล็กยักษ์อีกสอง”

 

หลี่ว์ซู่แทบกระอักเลือด อะไรเนี่ย! มีกันอยู่สามหน่อเองเหรอ?!

 

เขาไม่นับรวมอัศวินพวกนี้เป็นคนอยู่แล้ว พวกนี้มันก็แค่อัศวินหุ่นเชิดของกลุ่มเทพเจ้าเท่านั้น พวกมันแทบไม่ปริปาก งั้นก็มีแค่คอรัลคนเดียวน่ะสิที่มาจากกลุ่มเทพเจ้า

 

สำหรับคอรัลแล้ว เธอบุกมาด้วยความไม่พอใจส่วนตัวเอง ถึงแม้กลุ่มเทพเจ้าจะยกย่องเธอเป็นผู้นำของเหล่าเทพเจ้าด้วยเชื้อสายโอดินที่เธอสืบทอดมา แต่เธอก็ไม่อยากลากพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเสียสละตนเองอย่างไร้ความหมายในครั้งนี้ เพราะตราบใดที่ย่างเท้าเข้ามาในสมรภูมิรบก็ย่อมมีการนองเลือดเกิดขึ้น

 

ยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุที่กลุ่มเทพเจ้าเคารพยกยอคอรัลก็ไม่ได้มีแค่เรื่องที่เธอปะทุพลังจากการสืบสายเลือดจากโอดินหรอก แต่เพราะในบรรดากลุ่มเทพเจ้ามีผู้มีพลังระดับ B ไม่มากนักในกลุ่ม พวกเขาไม่แน่ใจว่าคอรัลเป็นคนเดียวที่ปะทุสายเลือดแห่งโอดินหรือเปล่า ยังมีใครคนอื่นที่ทำแบบนี้ได้อยู่อีกไหม

 

ถึงแม้ว่าคอรัลจะมีหอกวิเศษกุงเนียร์ [1] ที่หลังคอ พวกเขาก็ยังไม่ปักใจเชื่ออยู่ดี

 

แต่ในระหว่างที่ในใจยังเต็มไปด้วยความลังเลไม่แน่นอนนี้ จู่ๆ อัศวินหุ่นเชิดสองตัวที่พวกเขามองว่าเป็นเพียงของตั้งประดับก็ดันถวายความเคารพกับคอรัล พวกมันติดตามเธอไปไหนต่อไหนประหนึ่งมือซ้ายมือขวา

 

ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเจ้าอัศวินหุ่นเชิดสองตัวนี้ได้ตกเป็นของของเธอแล้วโดยสิ้นเชิง และไม่มีใครสามารถใช้พวกมันได้นอกจากคอรัล

 

ความจงรักภักดีของอัศวินสองตัวนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้กลุ่มเทพเจ้าปรองดองรวมกันได้ ทุกคนเข้าใจกันดีว่าหากผู้นำแห่งเทพเจ้าที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ต้องปฏิญาณตนเคารพคอรัลในฐานะสมาชิกกลุ่มเทพเจ้า

 

ถ้าเพียงแต่หลี่ว์ซู่ได้แต้มอารมณ์จากคอรัล เขาก็จะเห็นว่าชื่อของคอรัลนั้นเปลี่ยนไป กลายเป็น ‘คอรัล โอดิน จอห์นสัน’ แล้ว

 

สรุปสั้นๆ ว่ากลุ่มเทพเจ้านั้นดีกว่ากลุ่มทวยเทพเป็นไหนๆ ไม่มีการทะเลาะถกเถียงกันใดๆ หลังได้ตัวผู้นำองค์กร ทว่าสิ่งที่สร้างปัญหาให้เหล่าสมาชิกนั้นคือการที่ผู้นำของพวกเขาตรอมใจอย่างหนักหลังจากผู้มีพลังจากเครือข่ายฟ้าดินตายไป ทุกวันนี้เธอแทบไม่กินอะไรเลยด้วยซ้ำ

 

พวกเขาคิดว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว หากโอดินอดอาหารตาย กลุ่มเทพเจ้าจะทำยังไงต่อล่ะ! นี่เธอเล่นอะไรอยู่กันแน่

 

ดังนั้นจึงมีคนไปเตือนคอรัล “ท่านต้องทานอะไรบ้างนะครับ จะได้ไต่ระดับขึ้นไปสู่ระดับ A แล้วล้างแค้นให้กับเขาได้”

 

และในวันต่อมา คนที่เข้าไปบอกคอรัลคงอยากตบหน้าตัวเองสักร้อยที เพราะอยู่ๆ คอรัลก็หายตัวไปจากกลุ่ม โดยไม่มีใครรู้เลยว่าเธอหายไปทำอะไร!

 

 

——

 

[1] เป็นหอกประจำตัวของเทพเจ้าโอดินราชาแห่งเหล่าทวยเทพ ชื่อ ‘กุงเนียร์’ มีความหมายว่า ‘เจ้าแห่งการกวัดแกว่ง’ ความสามารถของมันคือ เมื่อผู้ใช้ได้ปาหอกไปยังเป้าหมายมันจะไม่มีทางพลาดเป้าเพราะมันจะตามเป้าหมายไปจนกว่าจะเข้าเป้า

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset