ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 512 ปกคลุมด้วยความมืดมิด มุ่งหน้าสู่แสงสว่าง

ปกคลุมด้วยความมืดมิด มุ่งหน้าสู่แสงสว่าง

 

ไม่มีทางที่คาวาโยชิจะรู้ได้เลยว่ายามาดะ อาคิระ ที่อยู่ระดับ D คนนี้จะเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าที่พลิกแผ่นดินตามหามานาน

 

คาวาโยชิคงคิดอยากจะฆ่าหลี่ว์ซู่แทบตายแต่ก็คงทำได้แค่ฝัน ไม่มีใครในกลุ่มทวยเทพทำอะไรหลี่ว์ซู่ได้ คงจะมีแต่ทาคาชิมะ ทาอิรัตสึกับคิตะมุระ คิจิโทริเท่านั้นแหละที่พอจะเป็นไปได้

 

แต่ก็นะ คิตะมุระ คิจิโทริก็ไม่อยู่ที่ฐาน และคนระดับ B อย่างทาคาชิมะ ทาอิรัตสึก็ไม่น่าอยู่ประจำฐานตลอดเวลาแน่ๆ ไม่มีใครที่จะมาประมือกับหลี่ว์ซู่ในตอนนี้ได้หรอก

 

แต่ก็ไม่รู้ว่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึจะมาถึงที่ฐานตอนไหน หลี่ว์ซู่กะเวลาไม่ได้เลย เขาไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้เชื่อมต่อรับข้อมูลจากข้างนอก เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทาคาชิมะจะโผล่มาเมื่อไหร่

 

หลี่ว์ซู่มองคาวาโยชิที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น คอเขาพับหักอย่างดูไม่ได้ หลี่ว์ซู่ไม่ได้รู้สึกสงสารเขาเลยสักนิด ถ้าเป็นพวกทวยเทพ หลี่ว์ซู่ก็ฆ่าทิ้งได้หมดทั้งนั้น

 

แต่หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่ควรจะฆ่าใครทิ้งมั่วซั่วเพราะในบรรดาทวยเทพมีสายลับจากเครือข่ายฟ้าดินอยู่หลายคนเหมือนกัน เขาอาจจะพลั้งมือไปฆ่าสายลับพวกนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ ถ้าเป็นงั้นหลี่ว์ซู่คงรู้สึกผิดมาก เขาไม่ได้ใจร้ายใจดำขนาดนั้นหรอกนะ แค่บางทีเขาก็เห็นแก่ตัวไปบ้างเท่านั้นเอง

 

แต่ถึงยังไงการฆ่าคนย่อมต้องเป็นไปตามแผนอยู่เหมือนเดิม เป้าหมายที่เขาต้องเก็บยังมีอีกเยอะ รวมถึงคุริยามะด้วย

 

ในสายตาหมอนั่นคงมองว่าเขาเป็นแค่ระดับ D ไร้น้ำยา ไม่คู่ควรแก่การยอมรับสินะ หลี่ว์ซู่แค่นหัวเราะ เขาหยิบศิลาวิญญาณออกมาจากตัวคาวาโยชิจนหมดทุกเม็ดแล้วเก็บลงตราแผ่นดิน รวมถึงเม็ดที่คาวาโยชิกำไว้ในมือและดูดพลังออกไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม

 

ถึงพลังจะหายไปครึ่งหนึ่งแต่ทั้งหมดนี่เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น ถึงจะมีศิลาวิญญาณเป็นแสนเม็ดแต่คนเราก็ยังต้องทำมาหากินอยู่ดีละนะ

 

คนจนเปลี่ยนมาใช้ชีวิตอู้ฟู่แบบคนรวยน่ะไม่ยากหรอก แต่ถ้ารวยแล้วเกิดจนขึ้นมาคงลำบากหน่อยล่ะ หลี่ว์ซู่ยังติดนิสัยประหยัดและทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่

 

ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลออกมาจากตราแผ่นดินเพื่อทำลายหลักฐาน หลี่ว์ซู่พบว่าดาบคาตานะของคาวาโยชิมอบพลังที่แปลกใหม่ให้กับธารน้ำ เขาคิดอยากจะปลอมตัวเป็นคาวาโยชิเพื่อเข้าหาคุริยามะ แต่ไม่น่าจะทำได้เพราะส่วนสูงของพวกเขาต่างกันอยู่

 

หลี่ว์ซู่มุ่งหน้าไปทางห้องทำงานของคุริยามะ เขาเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาจึงเคาะอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว เขาเพิ่งนึกออกว่ากำแพงที่ฐานนี้มันกันเสียงได้ดีขนาดไหน สรุปว่ากำแพงมันกันเสียงได้ดีหรือว่าไม่มีใครอยู่ข้างในกันแน่เนี่ย

 

แต่ยังไงก็ตาม หลี่ว์ซู่ต้องได้คำอนุมัติออกจากฐาน เขาเลยลองเคาะดูอีกครั้ง

 

ปัง! ปัง! ปัง! หลี่ว์ซู่เกือบทำประตูพังด้วยแรงเคาะแล้ว!

 

[ได้แต้มจากคุริยามะ คุโมะ +399!]

 

[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +499!]

 

หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียง ติ๊ง! เขาเห็นว่าไฟหน้าประตูเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว แล้วเสียงเกรี้ยวกราดของคุริยามะก็ดังลอยมาจากข้างใน “เข้ามา”

 

ยะฮู้! ในที่สุดประตูก็เปิด หลี่ว์ซู่ผลักประตูเปิดออก เขาเห็นผู้บำเพ็ญหญิงที่ชื่อมิยาซากิกำลังติดกระดุมเสื้ออยู่ กระทั่งคนของทาคาชิมะสองคนก็อยู่ในนี้ด้วย

 

หลี่ว์ซู่พูดไม่ออก คาวาโยชิหนอคาวาโยชิ นี่แกเทิดทูนคนแบบนี้จริงดิ…

 

คุริยามะพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “กดกริ่งไม่เป็นหรือไง” ส่วนมิยาซากินั่งเช็คเมคอัพอย่างเฉิดฉายอยู่บนโซฟาที่อยู่ด้านข้าง เธอเมินหลี่ว์ซู่ไปโดยสิ้นเชิง

 

หลี่ว์ซู่ลืมเรื่องกริ่งไปเสียสนิท…

 

“ผมเพิ่งเคยมาที่ฐานใต้ดินเป็นครั้งแรก ไม่รู้เรื่องกริ่งมาก่อน ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ แล้วปิดประตูตามหลัง

 

“แล้วที่มานี่มีเรื่องอะไร” คุริยามะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องหลี่ว์ซู่เข้ามาเห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับมิยาซากิ

 

“เรื่องมีอยู่ว่า ผมอยากกลับไปที่นิชิโนเกียวน่ะครับ” หลี่ว์ซู่พูดติดตลก

 

คุริยามะถึงกับงง เขาชักเริ่มสงสัย “นายเพิ่งมาถึงเองนี่ จะขอกลับแล้วงั้นเหรอ”

 

“ก็แหม วันนี้เป็นวันที่เจ็ดหลังจากโนกิวะ ฮากุชุนเสียชีวิตนี่ครับ ผมอยากจะไปทำความเคารพศพสักหน่อย” หลี่ว์ซู่ตอบ

 

คุริยามะนิ่งไป

 

เขาไม่เคยคิดเลยว่ายามาดะจะอยากทำความเคารพศพโนกิวะ ฮากุชุน ไอ้หมอนี่ก็มีอารมณ์เห็นอกเห็นใจคนอื่นเหมือนกันนะ

 

“งั้นก็ไปเถอะ” คุริยามะอนุมัติวันลาให้ยามาดะ อาคิระในคอมพิวเตอร์ หลี่ว์ซู่ต้องได้คำอนุญาตจากคุริยามะเท่านั้นถึงจะออกไปจากที่นี่ได้

 

แต่แล้วคุริยามะก็เอ่ยต่อว่า “ถ้านายพอจะช่วยฉันแบบเดียวกันบ้าง ฉันก็จะไม่ขวางนายหรอก”

 

หลี่ว์ซู่อึ้งกิมกี่ เขาแค่หาข้ออ้างไปเรื่อยจะได้ออกจากที่นี่เฉยๆ ไม่ได้จะมาฟังพี่แกเล่นบทดราม่าอะไรทั้งนั้นซะหน่อย

 

เขาหยุดคิดชั่วครู่แล้วตอบกลับ “ได้เลยครับ ถ้าท่านซี้แหงแก๋เมื่อไหร่ ผมจะช่วยไปเยี่ยมท่านหลังครบเจ็ดวันแน่นอน”

 

[ได้แต้มจากคุริยามะ คุโมะ +999!]

 

[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +399!]

 

 

คุริยามะอ้าปากค้าง ฉันยังไม่ได้พูดเรื่องตายเลยโว้ย ไอ้หมอนี่เสียสติไปแล้วรึไง

 

สีหน้าคุริยามะมืดครึ้ม “เหอะๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไปเยี่ยมศพโนกิวะ ฮากุชุนเถอะ เดี๋ยวนายก็รู้เองว่าอวดดีแล้วจะมีจุดจบยังไง”

 

ขณะที่เขาพูด คุริยามะก็หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา เป็นโทรศัพท์ที่ดูจะถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในฐานใต้ดินและสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เขาจิ้มโทรศัพท์กดเบอร์” ไปขุดโนกิวะ ฮากุชุนขึ้นมาจากหลุมให้ฉัน!”

 

คุริยามะกดวางสายแล้วหัวเราะเ**้ยมๆ “ไปลิ้มรสรสชาติแห่งความเจ็บปวดเถอะ แล้วจำไว้ด้วยว่าครั้งหน้ากดกริ่งก่อนเข้ามาล่ะ”

 

หลี่ว์ซู่เหม่อซึม จะดีแค่ไหนนะ ถ้าความตายของโนกิวะ ฮากุชุนจะมอบแต้มให้เขาด้วย

 

“ผมว่าท่านไม่น่าจะต้องใช้กริ่งประตูอีกต่อไปแล้วล่ะครับ พอเรื่องออกมาเป็นงี้ เห็นทีผมไม่น่าจะได้ไปเยี่ยมศพท่านหลังครบรอบเจ็ดวันแล้วล่ะ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ

 

หลี่ว์ซู่ไม่รอจนพูดจบประโยค เขาถือโอกาสตอนที่คุริยามะกำลังวางโทรศัพท์ ปลดปล่อยซือโก่วและฝูฉื่อออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วทั้งห้องก็สั่นสะท้านไปด้วยพลัง คุริยามะไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมโต้กลับอะไรทั้งนั้น

 

ความหวาดกลัวฉายชัดในดวงตาของมิยาซากิ เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็นกระบี่ของคนจากเครือข่ายฟ้าดิน โดยเฉพาะกระบี่สองเล่มนี้ที่แทบไม่มีใครเคยสัมผัสด้วยตา!

 

คุริยามะอยากหนีไปหลบที่มุมห้อง แต่ตัวเขาลอยอยู่กลางอากาศ มือพยายามเอื้อมไปหยิบอาวุธดาวกระจาย

 

ทว่าคมกระบี่กลับพุ่งทะลุเข้ามาแทงทะลุศีรษะลงไปถึงหัวใจขณะที่เขาไร้การป้องกัน

 

มิยาซากิไม่อาจรักษาภาพลักษณ์งามสง่าของเธอได้อีกต่อไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของคุริยามะแข็งค้าง เลือดของเขาสาดกระจายไปในอากาศราวกับการดอกกุหลาบที่เบ่งบานยามรุ่งสางในนรกอเวจี แม้จะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด แต่ก็มุ่งหน้าไปสู่แสงสว่าง

 

หลี่ว์ซู่ยืนนิ่งในห้องทำงาน อา… ราวกับว่าอยู่ๆ อากาศในนี้ก็บริสุทธิ์ขึ้นมา เขาสูดหายใจเข้าลึก

 

นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของเขา

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset