ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 810 สัญชาตญาณของเฉินจู่อาน

ถ้ามีใครที่เด่นออกมามากๆ คนพวกนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างด้วย อย่างหลี่ว์ซู่ที่ถือว่าเป็นคนสำคัญของสาขาการวิจัยสายพันธุ์ เขาส่งผลให้เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวมีวิธีการพูดเหมือนหลี่ว์ซู่อย่างไม่รู้ตัว คนที่อยู่ด้วยกันมากๆ จึงทำให้นิสัยคล้ายๆ กันตามไปด้วย  

 

 

และแน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถ้ามีใครบางคนมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือในหอพัก ทั้งหอพักก็จะเริ่มพูดสำเนียงแบบเขา บางทีไม่ใช่เพราะคนคนนั้นจะโดดเด่นอะไรหรอก แต่เป็นเพราะสำเนียงจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเด่นมากต่างหาก  

 

 

เฉินจู่อานเป็นคนพูดจริงทำจริงและเขาก็จะไปทันทีโดยไม่ลังเลด้วย แต่เฉิงชิวเฉี่ยวกลับเป็นคนที่ตรงไปตรงมา เขาถึงกับกลับไปที่วิทยาลัยผู้บำเพ็ญลั่วเสินเพื่อไปทำเรื่องขอลาก่อนไปด้วย  

 

 

เฉินจู่อานไม่ชอบใจ “นายไปขอลาแบบนั้นคิดเหรอว่าพวกเขาจะให้นายไป ไม่เห็นนักศึกษาคนอื่นๆ ที่ได้แต่นั่งอยู่ในห้องเรียนเหรอ”  

 

 

แต่เฉิงชิวเฉี่ยวไม่นิ่งนอนใจหรอก ถ้าเกิดพวกเขากลับมาแล้วโดนไล่ออกล่ะ จะไปบอกพ่อแม่อย่างไรกัน  

 

 

เฉินจู่อานดูจะคาดหวังกับเฉิงชิวเฉี่ยวมากกว่านี้ “พี่ซู่กลายเป็นราชันฟ้าแล้ว จะกลัวอะไรล่ะ”  

 

 

เฉินจู่อานจึงเริ่มจะใจชื้นขึ้นมา จริงสิ หลี่ว์ซู่เป็นราชันฟ้าแล้วนี่นา พวกเขาจะพึ่งของชื่อราชันฟ้าได้ใช่ไหมนะ  

 

 

ทุกคนตกใจมากเมื่อรู้ว่าหลี่ว์ซู่เป็นราชันฟ้า ที่ตกใจกันขนาดนี้เพราะอยู่ๆ ราชันฟ้าก็ปรากฏตัวท่ามกลางพวกนักศึกษา แต่ความคิดของเฉินจู่อานกลับแตกต่างออกไป ตอนเขารู้ว่าหลี่ว์ซู่เป็นราชันฟ้าคนที่เก้าลึกลับคนนั้น ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือเขาจะต้องไปเลียขาเอาใจหลี่ว์ซู่ไว้!  

 

 

“นายคิดผิดแล้ว” เฉิงชิวเฉี่ยวเถียง “ตอนนั้นพวกเขาก็ให้พี่ซู่เป็นแค่นักศึกษาแบบไม่เอาหน่วยกิต…”  

 

 

เมื่อเฉินจู่อานได้ยินอย่างนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นแล้วนี่นา…  

 

 

“แต่เรื่องไปขอลาน่ะ” เฉินจู่อานตอบ “ก็ยืดหยุ่นกันได้นี่นา!”  

 

 

“ยังไงล่ะ” เฉิงชิวเฉี่ยวถามด้วยความสงสัย  

 

 

“โยวหมิงอวี่เป็นคนจัดการเรื่องวิทยาลัยใช่ไหม” เฉินจู่อานกล่าว  

 

 

“ก็ใช่”  

 

 

“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะ” เฉินจู่อานกล่าวถาม  

 

 

“ได้ยินว่าเขาไปที่ภ฿เขาจั่งไป๋แล้ว” เฉิงชิวเฉี่ยวตอบ  

 

 

“’ งั้นเราก็ไปภูเขาจั่งไป๋เพื่อไปขอลากับโยวหมิงอวี่ที่นั่นไง” เฉินจู่อานกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง  

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวล่ะทึ่งกับความคิดของเฉินจู่อานจริงๆ คิดได้ยังไงเนี่ย  

 

 

แล้วทั้งสองก็เดินทางไกลไปยังภูเขาจั่งไป๋เพื่อไปขอลากับโยวหมิงอวี่  

 

 

พอเฉินจู่อานนั่งอยู่บนเครื่องบินแล้วเขาก็เฝ้ามองพื้นดินที่กำลังอยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ เขาอดคิดไม่ได้เลยว่าหลี่ว์ซู่แผ่ออร่าที่แข็งแกร่งออกมาจริงๆ ตอนเฉินจู่อานเลื่อนระดับมาเป็นระดับ B ก็ไม่มีใครประหลาดใจมากเท่าไหร่ และเขาเองก็ไม่ได้ดีใจอยู่นานด้วย เพราะเขาต้องไล่ตามเป้าหมายที่ชื่อว่าหลี่ว์ซู่มาโดยตลอด  

 

 

หลี่ว์ซู่แข็งแกร่งเร็วเกินไปแล้ว และเฉินจู่อานก็ไม่อยากปล่อยให้ช่องว่างระหว่างพวกเขาห่างไปมากกว่านี้  

 

 

เฉินจู่อานมีความคิดตั้งมากมาย ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ไปที่โบราณสถานทะเลสาบเกลือเพื่อไปหาประสบการณ์หรอก  

 

 

อย่างไรก็ตามเขายังเป็นคนที่ฉลาดแต่ขี้ขลาด เขามักจะเลี่ยงอันตรายต่างๆ ในโบราณสถาน เฉินจู่อานรู้สึกว่าความคิดของเขาเป็นยักษ์ใหญ่ แต่การกระทำของเขากลับเล็กเท่ามด ตอนนี้เขาอยากไปโบราณสถานทะเลสาบเกลือแทบตาย แต่พอเขาไปถึงที่นั่นก็ปอดแหกขึ้นมา  

 

 

เหมือนกับว่าเขาปฏิญาณความรักของเขาให้กับบางสิ่งที่เขากลัวมากๆ เขาไม่อยากเป็นแค่ดอกไม้ในเรือนกระจก แต่เขาอยากจะไปเผชิญหน้ากับอันตรายแล้ว แต่เมื่อเขาไปเจออันตรายจริงๆ เขาก็กลับกลัวโดยอัตโนมัติ  

 

 

ซึ่งนี่เป็นสถานการณ์ที่ขัดแย้งในตัวเองมาก จนกระทั่งเขาได้ใช้เวลาอยู่กับหลี่ว์ซู่มากขึ้นเรื่อย ๆ  

 

 

ในความเป็นจริงแล้วภูเขาจั่งไป๋ตอนนี้อันตรายมาก เฉินจู่อานรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน ถึงเขาจะเป็นแค่ระดับ B แต่เขาก็อาจจะไม่รอดกลับมาก็ได้ แต่เฉินจู่อานรู้ว่าหลี่ว์ซู่คงจะรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ไม่น้อยถ้าหลี่ว์ซู่จะต้องสู้อยู่คนเดียว  

 

 

เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าใจหลี่ว์ซู่นอกเหนือไปจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนดื้อรั้น เขาไม่ยอมปริปากขอความช่วยเหลือเพราะไม่อยากตกเป็นหนี้บุญคุณของใคร แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้เกิดมาโดดเดี่ยวคนเดียว  

 

 

ถึงแม้ทางที่จะไปภูเขาจั่งไป๋จะอันตราย แต่เฉินจู่อานก็พร้อมจะไป  

 

 

เขาเคยคิดว่าพวกวีรบุรุษที่เคยอ่านเจอในนิยายหรือหนังสือประวัติศาสตร์ดูจะอยู่ไกลตัวเขามากเกินไป  

 

 

แต่เฉินจู่อานคิดว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในประวัติศาสตร์ต่างหาก ไม่แน่เขาอาจจะปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสต์ในอนาคตเคียงข้างกับหลี่ว์ซู่ก็ได้ แล้วประวัติศาสต์นั้นจะกล่าวถึงเขาว่าอย่างไรล่ะ  

 

 

เฉินจู่อานบอกกับเฉิงชิวเฉี่ยวด้วยความตื่นเต้น “ถ้าพี่ซู่เก่งขึ้นไปอีก เขาอาจจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์โลกของผู้บำเพ็ญก็ได้ แล้วเราก็จะเป็นสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่เขา แล้วพวกเขาจะบันทึกประวัติศาสต์เกี่ยวกับเราว่าไงล่ะ”  

 

 

เมื่อเฉิงชิวเฉี่ยวได้ยินเรื่องนี้ ตาของเขาเป็นประกาย “พวกเขาก็คงบอกว่านายกินจุ หน้าไม่อาย ชอบโกงตอนเล่นหมากรุก กรนเสียงดังตอนนอน แล้วเท้าก็เหม็น…”  

 

 

เฉินจู่อานทำหน้าหม่นหมอง “เท้าฉันไม่เหม็นเสียหน่อย”  

 

 

“ฮ่าๆ ” เฉิงชิวเฉี่ยวหัวเราะเสียงเย็น “จะเถียงไปก็เชิญ เมื่อคืนฉันเอาห่มผ้าให้นาย แล้วใครกันดึงผ้าห่มออกไปล่ะ”  

 

 

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเฉิงชิวเฉี่ยวบอกว่าเท้าของเฉินจู่อานเหม็น เฉินจู่อานปฏิเสธและบอกว่าเขาไม่ได้กลิ่นอะไรเลย เฉิงชิวเฉี่ยวก็เลยแอบเอาผ้าที่เฉินจู่อานใช้ห่มเท้าไปห่มตัวเขาตอนกลางคืน ปรากฏว่าเฉินจู่อานทนกลิ่นไม่ได้จนต้องตื่นขึ้นมา!  

 

 

…  

 

 

ตอนนี้เครื่องบินมาถึงที่เมืองเชิงในจังหวัดจี๋โจวแล้ว เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวอยากจะบินตรงไปที่สนามบินภูเขาจั่งไป๋ แต่เที่ยวบินถูกยกเลิกเพราะมีสงครามในโลกของผู้บำเพ็ญ พวกเขาก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเช่ารถขับไปที่นั่นแทน  

 

 

พวกเขาเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามได้ง่ายๆ เพราะพวกเขามียศทางทหารที่สูง ก็เลยทำให้การเข้าออกเป็นเรื่องง่าย  

 

 

พอพวกเขาไปถึงที่แคมป์แล้ว เฉินจู่อานและเฉิงชิวเฉี่ยวก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศของสงครามที่แท้จริงแล่นไปทั่ว ที่นี่เต็มไปด้วยสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินและเสบียงอื่น ๆ  

 

 

ทุกคนในแคมป์นี้ดูจะเร่งร้อนกันไปหมด มีเต็นท์ทหารขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง และผู้คนก็เดินเข้าเดินออกอยู่ตลอด ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เห็นทีมที่กำลังเตรียมอาหารเพื่อขนย้ายเข้าไปในภูเขา  

 

 

พวกเขาได้ยินผู้คนพูดถึงสงครามที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขาระหว่างทางที่เดินเข้าไป และฟังดูร้ายแรงมาก  

 

 

ในตอนนั้นเฉินจู่อานก็ได้ยินใครคนหนึ่งพูดว่า “มีกลุ่มหนึ่งโหดมาก ได้ยินมาว่าเราเข้าไปที่แม่น้ำขั้นบันไดและหลังพยัคฆ์ได้แล้ว มีกลุ่มหนึ่งไปที่นั่นแล้วพวกเขาก็เจอศพอยู่เต็มพื้นไปหมด แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนฆ่า”  

 

 

“ได้ยินมาเหมือนกันว่าแนวป้องกันของเราดันกลับไปได้แล้ว แต่มีบางกลุ่มสร้างทางใหม่ขึ้นมา แล้วที่แปลกก็คือพอกองทัพของเรากลับมา พวกเขาก็กลับบอกว่าไม่เคยไปบริเวณนั้นมาก่อน แปลกไหมล่ะ”  

 

 

“บางทีสถานการณ์ตอนนี้ของเราก็อาจจะดีอยู่ก็ได้นะ พวกเขาอาจจะยังไล่ล่าพวกที่ยังอยู่บนภูเขา แล้วพวกนั้นก็โหดมาก หรือกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มลับของเครือข่ายฟ้าดินกันล่ะ”  

 

 

“อาจจะเป็นอย่างนั้น เรามีคนระดับ B ตั้งเยอะในเครือข่ายฟ้าดินนี่”  

 

 

เฉินจู่อานได้ยินเข้า จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเฉิงชิวเฉี่ยว “ฉันว่าพี่ซู่น่าจะอยู่ตรงแนวป้องกันล่ะ!”  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset