หลายคนบอกว่าในเมืองลั่วเหมือนจะอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดปี และเหมาะกับการอยู่อาศัยมาก แต่สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วฤดูใบไม้ผลิก็เป็นแค่หนึ่งในสี่ฤดูเท่านั้น
เพราะฤดูหนาวที่นี่หนาวมาก ผู้คนจึงไม่อยากออกไปข้างนอกกันเท่าไหร่ ส่วนฤดูร้อนก็ร้อนตับแตกเช่นกัน
เฉินจู่อานนอนกลิ้งในบ้านและใช้พัดคลายร้อน เขาดูไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ร่างของเขามีแต่เหงื่อปกคลุม และเครื่องปรับอากาศที่เพิ่งติดใหม่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้เลย
บ้านที่หลี่ว์ซู่อาศัยอยู่นั้นถูกเจ้าของบ้านปรับปรุงใหม่ หลังคามีฉนวนกันความร้อน ท่อน้ำและสายไฟทั้งหลายก็เพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่ด้วย
แต่บ้านของหลี่เสียนอีแตกต่างออกไป หลี่เสียนอีและป้าหลิวเป็นคนสมถะ พวกเขาอยู่กันแบบเรียบง่าย เพราะฉะนั้นสายไฟในบ้านหลังเก่านี้จึงใช้กับเครื่องปรับอากาศไม่ได้ ถ้าพวกเขาเปิดเครื่องปรับอากาศ ไฟฟ้าทั้งบ้านก็จะดับไปหมด…
เฉินจู่อานเพิ่งจะใช้เงินของทั้งเดือนไปซื้อเครื่องปรับอากาศมาด้วย…
ที่นี่ซ่อมซ่อเสียจริง เฉินจู่อานไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขาจะต้องหาบะหมี่ในบ้านกินเป็นมื้อกลางวัน ถ้าเขาอยู่ในเมืองหลวงป่านนี้คงได้กินข้าวในร้านอาหารที่ดีที่สุดแล้ว!
เฉินจู่อานอารมณ์เสียมาก เขาเป็นเด็กรวยแต่ทำไมเขาจะต้องมาใช้พัดด้วยนะ แล้วทำไมพวกเพื่อนๆ ของเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองหลวง เขาโดนไล่ออกจากบ้านมาที่เมืองลั่ว และเขาก็แค่อยากอยู่ใกล้กับหลี่ว์ซู่ไว้ แต่หลี่ว์ซู่หายไปไหนไม่รู้เนี่ยสิ…
แต่เฉินจู่อานก็เห็นข้อดีบางอย่างเหมือนกัน เฉินจู่อานแยกตัวเองออกมาจากกลุ่มเพื่อนเก่าแล้ว เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ระดับ B
เขาจะต้องขอบคุณหลี่ว์ซู่เรื่องนี้เลย ถ้าไม่มีหลี่ว์ซู่แล้วเขาก็คงไม่ได้เข้าร่วมการฝึกทหารของพวกหัวกะทิศักยภาพระดับ A และเขาก็คงไม่ได้ดื่มน้ำยาจิตวิญญาณที่ภูเขาคุนหลุนแน่
หลังจากที่เฉินจู่อานเลื่อนระดับเป็นระดับ B แล้ว เขาก็อยากจะกลับเมืองหลวงทันทีที่จะเป็นไปได้ เขาอยากจะกลับไปชวนเพื่อนเก่าและฟังคำชมจากพวกเขาเสียหน่อย…
เฉิงชิวเฉี่ยวกลับมาถึงบ้านแล้ว เมื่อเฉินจู่อานเห็นเฉิงชิวเฉี่ยวเดินเข้ามาเขาก็รีบถามด้วยความประหม่า “นายกล้าหาญไหม”
เฉิงชิวเฉี่ยวอึ้งไปเล็กน้อย “ก็กล้าอยู่ มีอะไรเหรอ”
“งั้นขอบอกอะไรหน่อย!” เฉินจู่อานพูดให้สงสัย “บ้านนี้มีของสกปรกอยู่”
เฉิงชิวเฉี่ยวมองไปรอบๆ บ้าน “งั้นคุณย่าของฉันก็พูดถูกน่ะสิ”
เฉินจู่อานตกใจ “ย่าของนายพูดว่าไงล่ะ”
เฉิงชิวเฉี่ยวหัวเราะอย่างเย็นชา “ฮ่าๆ คุณย่าบอกว่าหมามักจะเห็นในสิ่งที่คนมองไม่เห็นน่ะสิ”
เฉินจู่อานพูดไม่ออก “พี่ซู่พูดแบบนั้นได้เพราะพี่เขาแข็งแกร่งและไม่มีใครเอาชนะได้ แต่ถ้านายพูดแบบนั้นก็ขอบอกอีกรอบเลยนะว่าฉันอยู่ระดับ B แล้ว!”
เฉิงชิวเฉี่ยวตบโต๊ะเสียงดังด้วยความไม่ชอบใจ “ตั้งสติหน่อย นายเป็นคนอยากดูหนังผีเมื่อคืนเองนะ แล้วพอเจอซอมบี้ไปไม่กี่ตัวก็กรี๊ดซะเสียงหลง คนระดับ B กลัวซอมบี้ได้ด้วยเหรอ!”
เฉินจู่อานดูจะไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อไปแล้ว “กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า ฉันว่าบ้านนี้มีผี นายบอกว่าตัวเองกล้าหาญงั้นก็ไปกำจัดผีซะสิ ถ้าทำสำเร็จก็จะเชื่อว่านายกล้ากว่าฉันก็ได้!”
เฉิงชิวเฉี่ยวงุนงงมาก บ้านนี้มีผีจริงๆ เหรอ แต่ถ้าเฉินจูอ่านจะยอมรับว่าเขากล้าหาญกว่าก็ไม่แย่เหมือนกัน เฉิงชิวเฉี่ยวจึงถามกลับด้วยความร่าเริง “ฉันมองไม่เห็นผีแล้วจะให้ไปกำจัดยังไง”
“ไปดูในครัวสิ นายเห็นแน่” เฉินจู่อานพูดด้วยความมั่นใจ
เฉิงชิวเฉี่ยวมองไปรอบๆ ครัว แล้วเขาก็เงียบไป “ของสกปรกในบ้านที่นายว่าคือจานที่ยังไม่ได้ล้างเนี่ยนะเหรอ!”
เฉินจู่อานลืมตาขึ้นและยิ้ม “ใช่แล้ว ถ้านายล้างจาน ฉันจะยอมรับก็ได้ว่านายกล้าหาญกว่าฉัน”
ขณะนี้สาขาการวิจัยสายพันธุ์ถูกปล่อยปละละเลยกันอีกครั้ง เพราะไม่มีอาจารย์มาสอน พวกเขาก็เลยหาวิธีฆ่าเวลา จ้าวหย่งเฉินมาสอนแทนแค่เพียงครั้งเดียวก่อนที่เขาจะต้องไปภูเขาจั่งไป๋
เฉิงชิวเฉี่ยวยังคงทำตัวเป็นเด็กดี เขาไปเรียนวิชาของสาขาอื่นๆ ด้วยตัวเอง แต่เฉินจู่อานนั้นกลับทำตัวว่างไปอย่างนั้น เขาไม่ไปเรียนด้วยซ้ำ
ตอนที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยังอยู่ พวกเขาเล่นกันอย่างมีความสุขในห้องแล็บ แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่หายตัวไปไหนไม่รู้ ทั้งสาขาการวิจัยสายพันธุ์เลยไม่เล่นสนุกกันอีกแล้ว…
“ทำไมพวกเราไม่ไปที่ภูเขาจั่งไป๋กันล่ะ” เฉินจู่อานพูดขึ้นมา “ตั้งแต่พี่ซู่ไปก็รู้สึกเงียบเหงาจัง ไม่มีใครอยู่ดูแลเราเลย เราอาจจะเป็นประโยชน์ได้ตอนอยู่ที่ภูเขาก็ได้นะ พวกนักศึกษาปกติถ้าไปคงเป็นตัวถ่วง แต่เราไม่ใช่นักศึกษาปกตินี่”
นักศึกษาในวิทยาลัยผู้บำเพ็ญทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุม และอาจารย์ทุกคนกังวลมากว่านักศึกษาของพวกเขาจะหนีไปช่วยที่ภูเขาจั่งไป๋ด้วยความกระตือรือร้น แต่สาขาการวิจัยสายพันธุ์ไม่มีอาจารย์นี่…
“ไปที่ภูเขาจั่งไป๋เนี่ยนะ” เฉิงชิวเฉี่ยวคิดตาม เอาจริงๆ แล้วหลังจากที่หลี่ว์ซู่หายไปเขาก็รู้สึกเหมือนว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างหายไปเช่นกัน ปกติเวลาเกิดเรื่องยากๆ พวกเขาก็จะไปตามหาหลี่ว์ซู่กันก่อน พอหลี่ว์ซู่ไม่อยู่ก็เลยรู้สึกแปลกๆ
“เอางั้นไหม เราก็โทรหาเฉาชิงฉือกับเสี่ยวอวี๋กันสิ ถ้าระดับ B ทั้งสามคนไม่ไปช่วยก็เสียของแย่” เฉินจู่อานรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายฟ้าดิน เขารู้สึกไม่สบายใจเลยที่รู้ว่ามีหลายคนกำลังสละชีวิตอยู่ที่ภูเขาจั่งไป๋ในขณะที่พวกเขาไปเรียนกัน
ถ้าเฉินจู่อานเป็นแค่ระดับ D หรือระดับ C ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ในเมื่อเขาอยู่ระดับ B แล้ว เขาจะมานั่งสงบทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจไม่ได้หรอก
อีกอย่างเฉินจู่อานก็รู้สึกว่าทั้งสาขาการวิจัยสายพันธุ์นั้นได้กลายมาเป็นทีมเดียวกันแล้ว ถ้าพวกเขาได้ร่วมสู้ด้วยกันในสนามรบก็คงจะเป็นการต่อสู้ที่มีความหมายมาก
เฉินจู่อานลากเฉิงชิวเฉี่ยวไปหาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ พวกเขาเคาะประตูบ้านเธออยู่นาน แต่ก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตู
“หืม ฉันกลับบ้านมาพร้อมหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นะ หลังจากที่เธอไปแล้วฉันก็ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลย” เฉิงชิวเฉี่ยวพูด
เฉินจู่อานตะลึงอยู่นาน “นายลืมไปหรือเปล่าว่าเธอเป็นธาตุดินน่ะ ฉันว่าเธอไปภูเขาจั่งไป๋โน่นแล้ว!”
เฉินจู่อานรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องปกติไปแล้ว เคมีของหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เข้ากันดีมากอย่างกับพวกเขาเป็นคนคนเดียวกัน ถ้าหลี่ว์ซู่ไปภูเขาจั่งไป๋แล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จะอยู่นิ่งๆ ได้อย่างไรล่ะ
เขาโทรหาเฉาชิงฉือ และเขารู้สึกว่าเธอจะยอมไปกับพวกเขา แต่แล้วเขาก็พบว่าเฉาชิงฉือปิดโทรศัพท์!
ปกติเฉาชิงฉือจะรับโทรศัพท์ตลอด เฉินจู่อานก็เหมือนกัน เพราะนี่เป็นคำสั่งจากราชันฟ้าที่ต้องให้หัวกะทิศักยภาพระดับ A รับโทรศัพท์อยู่เสมอ เพื่อที่พวกเขาเตรียมพร้อมทำภารกิจอยู่เสมอ
แต่เฉาชิงฉือปิดโทรศัพท์ เฉินจู่อานเริ่มจะอารมณ์เสียแล้ว “หรือเฉาชิงฉือไปภูเขาจั่งไป๋เหมือนกัน ทำไมเธอไม่บอกอะไรเลยนะ”
เฉิงชิวเฉี่ยวคิดสักพักแล้วพูดว่า “บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่านายไม่ค่อยน่าเชื่อถือก็ได้”
เฉินจู่อานไม่พอใจ “พวกเขาก็ไม่ได้บอกนายเหมือนกันนี่”
“คงเป็นเพราะว่าฉันสุงสิงอยู่กับนายไง” เฉิงชิวเฉี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก