ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 815 ใครหน้าไหนที่ล่วงเข้ามาในเขตแดนเราจะต้องตาย

หลี่ว์ซู่วิ่งไปจนสุดทางและขึ้นไปที่จุดชมวิวบนภูเขาจั่งไป๋ เขาต้องการใช้สัญญาณโทรศัพท์ที่นั่นเพื่อโทรไปแจ้งเครือข่ายฟ้าดินเกี่ยวกับกลุ่มที่ปลอมตัวมา มันเป็นหน้าที่ของราชันฟ้าอย่างเขา ถ้าองค์กรใหญ่ๆ ยังมีกลุ่มแบบนี้โผล่มาอีก อย่างน้อยเครือข่ายฟ้าดินก็จะได้ระวังได้  

 

 

เขาทำไปด้วยความสมเหตุสมผลอย่างแน่นอน  

 

 

เครือข่ายฟ้าดินอยากจะตั้งกลุ่มรบระดับหัวกะทิที่นำโดยคนระดับ B เพื่อไปแทรกซึมเข้าไปกำจัดศัตรูเช่นกัน มีการประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาจริงๆ ในเครือข่ายฟ้าดินมีระดับ B อยู่เยอะก็จริง แต่ก็ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งโลกผู้บำเพ็ญ  

 

 

ที่ค่ายภูเขาจั่งไป๋มีระดับ B อยู่เพียงแค่ 19 คนเท่านั้น พวกเขาเป็นทหารชั้นหัวกะทิที่เครือข่ายฟ้าดินช่วยฝึกหนักในสองปีที่ผ่านมา พวกเขาถือว่าอยู่ในระดับที่อาจเป็นราชันฟ้าได้เลย  

 

 

ตามข้อมูลที่เครือข่ายฟ้าดินได้รับมานั้น ที่ค่ายหลังพยัคฆ์มีคนระดับ B จากองค์กรใหญ่ๆ ทั้งหมดอยู่ 41 คน เพราะฉะนั้นเครือข่ายฟ้าจึงป็นกังวลกันมาก  

 

 

แต่การแจ้งเตือนของหลี่ว์ซู่จึงทำให้กระบวนการการจัดตั้งกลุ่มเร็วขึ้นไปอีก มีกลุ่มปลอมตัวกว่าอีก 7 กลุ่มที่นำโดยคนระดับ B ของเครือข่ายฟ้าดินเข้ามาที่ภูเขาจั่งไป๋ พวกเขาฆ่าผู้บำเพ็ญจากต่างประเทศที่ข้ามเข้าในภูเขาจั่งไป๋นี้  

 

 

หนึ่งในกลุ่มนั้นก็คือเฉินจู่อานนี่เอง…  

 

 

ถ้าสงครามเป็นเพียงเรื่องของการแข่งขันของจำนวนยอดฝีมือก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายเกินไป เหมือนกับว่าพวกเขากำลังเล่นเกมโต้วตี้จู่หรือเกมการต่อสู้กับนายทาสอยู่นั่นเอง พวกเขาต้องเล่นไพ่ ถ้าหาไพ่ที่ใหญ่กว่ามาลงไม่ได้ก็ต้องแพ้ไป  

 

 

แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะสงครามที่แท้จริงก็ถือการนองเลือด และจะจบได้ก็ต่อเมื่อคู่ต่อสู้ทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็เท่านั้น  

 

 

เครือข่ายฟ้าดินเชื่อว่าพวกเขาจะสู้จนกว่าจนตัวตายไปช้างหนึ่ง แต่องค์กรใหญ่ๆ จากต่างประเทศอาจจะไม่คิดอย่างนั้น  

 

 

แล้วองค์กรพวกนั้นจะกล้าฆ่าทุกคนในเครือข่ายฟ้าดินทิ้ง และปล่อยให้เนี่ยถิงทำลายโลกนี้ไปเลยหรือเปล่า  

 

 

พวกองค์กรต่างๆ เลี่ยงการต่อสู้ทั้งหมดที่อาจเกิดบริเวณแนวกระบี่ไป แนวกระบี่จะไม่สามารถถูกทำลายได้ถ้าไม่มีคนระดับ A ลงมือ และอีกอย่างพวกเขาก็กลัวจะบาดเจ็บจากแนวกระบี่นั้นด้วย แนวกระบี่นี้ไม่ได้มีปัญญาคิดเองว่ามันจะโจมตีหรือไม่โจมตีใคร ถ้าใครเข้าไปใกล้ก็จะถูกโจมตีหมด…  

 

 

ยอดฝีมือระดับ A ยังขอดูสถานการณ์ก่อน พวกเขาจะลงมือโจมตีเมื่อถึงเวลา และพวกเขาก็จะรอให้ผู้ควบคุมเรื่องทั้งหมดปรากฏตัวออกมาด้วย!  

 

 

ค่ายภูเขาจั่งไป๋ที่เคยเสียงดังจอแจตอนนี้กลับเงียบสงัดลง กลุ่มคนที่อยู่ใกล้ทางเข้าเงียบลงก่อน และความเงียบงันนี้ก็แผ่กระจายเข้าไปในค่ายเหมือนเชื้อไวรัส  

 

 

ขบวนรถจิ๊ปสีดำวิ่งเข้าในจากทางเข้า กระจกถูกปิดด้วยฟิล์มเกือบทึบ แต่ทุกคนเห็นได้ว่านั่นคือหัวหน้าของเครือข่ายฟ้า ท่านเนี่ยถิงนั่นเอง เขานั่งอยู่บนเบาะหลังของรถจิ๊ปคันแรก  

 

 

ปกติแล้วคนที่สำคัญมักจะไปอยู่ที่ตรงกลางของขบวนรถ แต่เนี่ยถิงกลับต่างออกไป เขาชินกับการนั่งที่รถคันแรกมากกว่า เพราะจะได้จัดการอะไรให้ทันท่วงที  

 

 

ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นเนี่ยถิง และคิดว่าตราบใดที่เนี่ยถิงอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องชนะสงครามอย่างแน่นอน  

 

 

ไม่ว่าจะให้เขาสู้จนพลังหมด หรือจะให้กัดศัตรูจนฟันหัก พวกเขาก็จะทำ เพราะเนี่ยถิงอยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาจะไม่แพ้  

 

 

ขบวนรถมุ่งหน้าตรงไปที่ศูนย์บัญชาการ เนี่ยถิงเดินลงมาจากรถและกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า ห่าวจื้อเชาและทหารหัวกะทิคนอื่นๆ จากเมืองหลวงเข้ามาประกบเนี่ยถิงอย่างใกล้ชิด แล้วเนี่ยถิงก็พูดขึ้นมา “ขอบคุณทุกคนที่ทำงานหนักด้วยนะ”  

 

 

โยวหมิงอวี่และคนอื่นๆ มีสีหน้าดูผ่อนคลายมาก แต่ภายในใจกลับตื่นเต้นดีใจ ราวกับว่าคำขอบคุณจากเนี่ยถิงเป็นรางวัลสำหรับการทำงานหนักแล้ว  

 

 

ห่าวจื้อเชาเดินเข้าไปในศูนย์บัญชาการ โยวหมิงอวี่ส่งข่าวให้เขาเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งล่าสุดและข้อมูลต่างๆ เนี่ยถิงเดินไปนั่งที่โต๊ะบัญชาการและอ่านข้อมูลเหล่านั้นอย่างละเอียด เขาใช้เวลาไปกว่า 3 ชั่วโมงเต็มๆ  

 

 

เนี่ยถิงอ่านข้อมูลได้เร็วกว่าคนทั่วไป แต่คนสนิทของเขาอย่างโยวหมิงอวี่และห่าวจื้อเชาเท่านั้นที่รู้ว่าเนี่ยถิงเป็นผู้มีพลังกระแสจิต เนี่ยถิงเป็นคนสร้างห้องใต้ดินที่ทั้งกำแพงทั้งสามด้านเต็มไปด้วยจอแสดงภาพกล้องวงจรปิดบนถนนหลิงจิ้งนั่นเอง  

 

 

ข้อมูลเกี่ยวกับสงครามเรียงรายอยู่ตรงหน้าเนี่ยถิง รวมไปถึงรายงานการต่อสู้ของแต่ละกลุ่มในเดือนที่ผ่านมาด้วย แฟ้มข้อมูลอัดแน่นไปด้วยรายงานยาวเหยียด แต่เนี่ยถิงกวาดตาอ่านแต่ข้อมูลที่สำคัญด้วยความสามารถของผู้มีพลัง  

 

 

เนี่ยถิงนดขมับตัวเองหลังจากผ่านไป 3 ชั่วโมง “การต่อสู้ที่แม่น้ำขั้นบันไดกับหลังพยัคฆ์ดูแปลกๆ นะ หลี่ว์ซู่น่าจะไปที่นั่นมาหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ชนะขาดอย่างนั้นหรอก ไปเช็คกับนายทหารที่ชื่อหม่าโหย่วจินดูหน่อย คนที่เขาเจออาจจะเป็นหลี่ว์ซู่ก็ได้”  

 

 

โยวหมิงอวี่ เฟิงเยี่ยหมิง และคนอื่นๆ อึ้งไป นี่เป็นข้อมูลที่พวกเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก และรายงานการต่อสู้ก็ถูกส่งมาทุกวันจนพวกเขาไม่มีเวลาอ่านทั้งหมด แต่เนี่ยถิงใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการหยิบเอาข้อมูลที่เขาต้องการจากรายงานมาใช้ได้  

 

 

แต่โยวหมิงอวี่ไม่คิดว่าเนี่ยถิงจะมุ่งความสนใจไปที่หลี่ว์ซู่ในสงครามมากขนาดนี้ นั่นก็หมายความว่าเนี่ยถิงเชื่อว่าหลี่ว์ซู่เป็นปัจจัยชี้ผลลัพธ์แบบขาดในสงครามครั้งนี้!  

 

 

โยวหมิงอวี่สั่งให้คนไปเรียกหม่าโหย่วจินเข้ามา หม่าโหย่วจินเพิ่งจะกลับมาที่ค่ายและพักผ่อนไปสองวันเรียบร้อยแล้ว เขากำลังจะเตรียมตัวกลับเข้าไปในป่า แต่เขากลับโดนเรียกให้ไปที่ศูนย์บัญชาการอย่างไม่ทราบสาเหตุ  

 

 

โยวหมิงอวี่สรุปว่าหม่าโหย่วจินเจอหลี่ว์ซู่ในตอนนั้น ก่อนที่หม่าโหย่วจินจะทันได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ โยวหมิงอวี่ก็สามารถยืนยันได้แล้ว “นั่นแหละ หลี่ว์ซู่”  

 

 

หม่าโหย่วจินไม่ฝช่คนโง่ เขาจึงตอบกลับไป “หลี่ว์ซู่! ราชันฟ้าคนที่เก้านั่นน่ะเหรอครับ! ผมเจอราชันฟ้าคนที่เก้าเหรอ!”  

 

 

เนี่ยถิงโพล่งถามขึ้นมา “แล้วพวกนายคุณอะไรกันอีก”  

 

 

หม่าโหย่วจินคิดสักครู่ก่อนตอบ “เขาบอกว่าเราไม่ควรเข้าใปในแม่น้ำขั้นบันไดแล้วบอกว่ามันอันตรายเกินไป แต่ผมปฏิเสธเขา ผมบอกกับเขาไปว่าถ้าพวกเราไม่เข้าไปแล้วใครจะเข้าไป”  

 

 

“เขาพูดว่าไงต่อ” เนี่ยถิงดูจะสนใจ  

 

 

“เขาบอกว่า… เขาจะไปเองครับ” หม่าโหย่วจินจำหลังของหลี่ว์ซู่ตอนที่เขาเดินกลับเข้าไปในป่ามืดได้ เขาดูสูงและยิ่งใหญ่มาก  

 

 

เนี่ยถิงเงียบไปสามวินาทีเต็มๆ แล้วเขาก็หัวเราะ “ทีนี้ทุกอย่างก็คุ้มค่าแล้ว”  

 

 

คนที่อยู่รอบข้างเขาไม่เข้าใจว่าเนี่ยถิงจะสื่ออะไร เพราะมันดูไม่ปะติดปะต่อกันเลย  

 

 

แต่โยวหมิงอวี่และห่าวจื้อเชาเข้าใจเขาอย่างแจ่มแจ้ง…  

 

 

หม่าโหย่วจินเองก็เข้าใจได้เหมือนกัน มิน่าศัตรูที่แม่น้ำขั้นบันไดและหลังพยัคฆ์จึงถูกฆ่าตายไปหมด ราชันฟ้าคนที่เก้าเป็นคนอยู่เบื้องหลังนี่เอง  

 

 

จู่ๆ เนี่ยถิงก็พูดขึ้นมา “รวบรวมกลุ่มต่อสู้เล็กๆ กลับมา เราจะรวมองค์กรอีกครั้ง”  

 

 

โยวหมิงอวี่และคนอื่นๆ ตกใจมาก “ท่านมีแผนใหม่หรือครับ”  

 

 

เนี่ยถิงส่งแหวนมิติให้ห่าวจื้อเชา ห่าวจื้อเชาเดินออกไปจากศูนย์บัญชาการและใช้แหวนมิตินั้น จากนั้นเกราะทองแดงกว่าสองหมื่นชุดก็กองอยู่ตรงหน้าเขา  

 

 

ห่าวจื้อเชาเดินกลับเข้าไปหาพวกคนที่อยู่ข้างในและยิ้มออกมา “นี่เป็นเกราะที่ราชันฟ้าคนที่เก้าได้มาจากโบราณสถานลบนัวร์ เราจะไปทำให้ผู้บำเพ็ญต่างชาติพวกนั้นตกใจกันหน่อย ไปสั่งสอนให้พวกมันรู้ว่าใครหน้าไหนที่ล่วงเข้ามาในเขตแดนเราจะต้องตายให้หมด!”  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset