ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 821 กล่าวอำลา

ค่ายหลังพยัคฆ์กลับมาเงียบสงบอีกครั้งหลังจากที่มีการนองเลือดขนาดใหญ่ บนพื้นมีแต่ศพและกระบี่หักๆ เต็มไปหมด

 

 

ที่นี่เป็นเหมือนนรก เป็นฉากแห่งความหายนะ

 

 

ทหารชุดเกราะทองแดงนั่งพักกันบนพื้น ถึงพวกเขาจะฆ่าผู้บำเพ็ญลับพวกนั้นไปแล้วแต่พวกเขาก็ประมาทไม่ได้ เพราะพวกองค์กรใหญ่ๆ ยังสามารถสู้กลับได้อยู่

 

 

พวกเขาต่อสู้กันหนึ่งวันเต็มๆ ผู้บำเพ็ญทั้งหลายยังไม่สามารถรับมือกับการต่อสู้นี้ได้เลย ทุกคนต่างเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ

 

 

มีคนถอดหมวกเกราะออกเพราะอาเจียนด้วย วันนี้เป็นการต่อสู้ที่นองเลือดที่สุดในชีวิตพวกเขาเลย เมื่อพวกเขาเอามือยันพื้นก็พบว่าบนพื้นมีแต่ศพและเลือดที่ไหลนอง

 

 

แต่สำหรับเครือข่ายฟ้าดินแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นนักรบที่แท้จริงหลังจากจบสงครามนี้ ทหารชุดเกราะทุกคนจะถือว่าเป็นนักรบที่กล้าหาญ

 

 

ทุกคนเหนื่อยล้ามากและอยากจะนอนเอาแรงให้เต็มตา พวกเขาไม่สนว่าจะมีศพนอนอยู่ข้างๆ ตัว

 

 

เฉินจู่อานถอดหมวกเกราะของเขาออกด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า เขาถุยน้ำลายลงพื้นและมองไปที่ไกลๆ “ฉันจบเห่แล้ว”

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวที่อยู่ข้างๆ เขาถามขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

 

 

“ฉันแน่ใจแล้ว” เฉินจู่อานตอบ “ฉันเพิ่งเห็นพี่ซู่เมื่อกี้ ต้องเป็นเขาแน่นอน เต็นท์นั่นก็ของเขา ชิวเฉี่ยว ถ้านายมาเยี่ยมหาฉันปีหน้าอย่าลืมเผาหนังสือการ์ตูนมาให้ด้วยนะ จะเป็นนิยายก็ได้ ฉันกลัวจะเบื่ออยู่ข้างล่างนั่น…”

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวกล่าว “อย่าคิดลบไปหน่อยเลย นายก็มองพี่ซู่ร้ายจริง อย่างมากนายก็แค่พิการแหละ…”

 

 

“ชิวเฉี่ยว” เฉินจู่อานมองเฉิงชิวเฉี่ยวอย่างใจเย็น “อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ ตอนแรกฉันก็แค่พูดเล่นเฉยๆ แต่ตอนนี้นายทำฉันกลัวจริงแล้วนะ…”

 

 

แต่มันก็เป็นแค่เรื่องพูดเล่นกันเท่านั้น เฉินจู่อานรู้สึกซึ้งใจมาก เพราะเมื่อก่อนเขาต้องแยกไปทำภารกิจคนเดียว คนที่มีศักยภาพหัวกะทิระดับ A จะต้องไปทำภารกิจด้วยตัวเองเท่านั้น

 

 

เนี่ยถิงคิดว่าพวกเขาจะได้เติบโตและเรียนรู้จากการพึ่งพาตัวเองในการทำภารกิจ เพราะสภาพแวดล้อมที่หันพึ่งใครไม่ได้นั้นจะบีบให้พวกเขาพึ่งพาตัวเองไห้ได้

 

 

และวันนี้ก็เป็นบทเรียนที่เฉิงชิวเฉี่ยวและเฉินจู่อานได้รับ พวกเขาเรียนรู้ว่าการทำงานด้วยกันเป็นอย่างไร

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากที่ไกลๆ ทหารชุดเกราะทั้งหมดยืนขึ้นด้วยความหวาดกลัว ใครบางคนตะโกนขึ้นมาว่า “พวกเราระลอกทองแดงยังยืนหยัดสู้ไหวอยู่ไหม”

 

 

แกร๊ง! เสียงทหารชุดเกราะทองแดงยืนขึ้นพร้อมๆ กัน พวกเขาเข้าประจำในขบวนรบและรอ ถึงกระบี่ในมือของพวกเขาจะหักแต่ใจยังสู้เต็มร้อย

 

 

ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนขึ้นมา “ใครหน้าไหนที่ล่วงเข้ามาในเขตแดนเราจะต้องตาย!”

 

 

ก่อนที่จะมีใครตอบกลับ พวกเขาก็เห็นฝูงหมูป่าวิ่งผ่านไป…

 

 

“อะไรกันเนี่ย เสียเวลาชัดๆ!”

 

 

“ฉันว่าเราไม่ต้องฆ่าหมูป่าก็ได้นะ…”

 

 

“ฮ่าๆ ๆ!”

 

 

ทหารชุดเกราะทองแดงทรุดนั่งลงบนพื้นตามเดิมและระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนว่าพวกเขากำลังหัวเราะล้อเลียนประสาทที่อ่อนไหวของทุกคนในตอนนี้อยู่

 

 

หลังจากที่สู้กันไปหนึ่งวันเต็มๆ แม้แต่เสียงใบหญ้าขยับก็ทำให้พวกเขาตื่นตัวกันได้

 

 

“เมื่อกี้ใครตะโกน ‘ใครหน้าไหนที่ล่วงเข้ามาในเขตแดนเราจะต้องตาย!’ น่ะ ไปฆ่าหมูป่าพวกนั้นเลยนะ!”

 

 

“ไปเลย” คนที่เพิ่งตะโกนประโยคนั้นผสมโรงไปด้วย

 

 

ทหารชุดเกราะประมาณ 1700 คนตายไป และอีก 5600 คนบาดเจ็บ จากทั้งหมดสองหมื่นคน แต่จำนวนคนที่พวกเขาฆ่าไปนั้น นับไม่ไหวจริงๆ

 

 

แต่ทุกคนก็รู้ว่าสงครามนี้ยังไม่จบง่ายๆ และพวกเขายังดีใจไปก่อนไม่ได้

 

 

ผู้บำเพ็ญประจำฐานขนส่งมาถึงกันแล้ว พวกเขารีบตั้งเต็นท์และเข้าไปรักษาคนที่บาดเจ็บ หลังจากที่พวกเขาถอดชุดเกราะออก หน่วยกู้ภัยก็พบว่าทหารชุดเกราะทองแดงบางส่วนได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่น ถูกน้ำแข็งกัด แผลไฟไหม้ และแม้แต่แผลจากการโจมตีของพลังธาตุ ความเสียหายที่เกิดขึ้นดูน่ากลัวมาก

 

 

ทุกคนไม่เข้าใจว่าทหารชุดเกราะทองแดงพวกนี้ทนสู้เป็นวันได้อย่างไรกัน

 

 

“ไปช่วยคนที่อยู่ข้างฉันก่อน เขาเจ็บหนักกว่า ใกล้จะตายแล้ว” มีใครบางคนพูดขึ้นมาขณะที่กำลังรับการรักษา

 

 

“ไม่ต้องเลย นายเองก็ไม่ได้อาการดีไปมากกว่าฉันหรอก ไปช่วยเขาก่อนเลยครับ ผมไม่เป็นไร…” จากนั้นเขาก็หมดสติไป

 

 

ทีมแพทย์ดูเศร้าโศกขึ้นมาทันที ทหารชุดเกราะหลายคนกำลังบอกให้ไปช่วยคนอื่นก่อน เหมือนกับว่าทุกคนกำลังจะตายกันอยู่แล้ว…

 

 

พวกผู้บำเพ็ญธาตุดินเข้ามาเกลี่ยดินบริเวณนั้นให้เรียบ ศพทั้งหลายถูกฝังลงไปในดิน และตอนนี้สีของดินก็กลับมาเป็นสีปกติอีกครั้ง

 

 

เต็นท์ถูกกางเรียบร้อยแล้ว และก็มีกลิ่นอาหารหอมๆ โชยออกมาจากเต็นท์ทำครัว

 

 

ผู้บำเพ็ญระดับต่ำพวกนี้ถึงจะไม่ได้แข็งแกร่งมากแต่พวกเขาก็ช่วยงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและไม่ทำตัวเป็นภาระเมื่อพวกเขาจะต้องข้ามภูเขาพร้อมกับคนอื่น ๆ

 

 

หลังพยัคฆ์ดูเหมือนใหม่หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ผู้มีพลังธาตุต่างๆ กำลังใช้ความสามารถของพวกเขาอยู่อย่างเต็มกำลัง ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพสูงมาก

 

 

แต่นี่ก็ไม่ใช่จุดจบของสงคราม เมื่อทหารชุดเกราะทองแดงถอดเกราะออกและรออาหาร พวกเขาก็เห็นว่าทีมขนส่งกำลังวางแผนสร้างฐานป้องกันอย่างง่ายอยู่

 

 

ต้นไม้แถวๆ หลังพยัคฆ์ถูกโค่นลงไปบางส่วน ซึ่งทำให้ขอบเขตการมองเห็นกว้างขึ้น

 

 

หน่วยลาดตระเวนของเครือข่ายฟ้าดินกระจายตัวกันออกไปตามต้นไม้แล้ว พวกเขากำลังเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวรอบๆ

 

 

ถ้าหลี่ว์ซู่อยู่นี่ด้วยเขาก็คงจะรู้สึกซาบซึ้งใจกับภาพตรงหน้า เครือข่ายฟ้าดินทำงานกันอย่างแม่นยำเหมือนเครื่องจักร แต่พวกผู้บำเพ็ญลับเป็นเหมือนปลาที่ดิ้นไปทั่ว เมื่อเปรียบเทียบให้เห็นอย่างนี้แล้วจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเครือข่ายฟ้าดินถึงฆ่าคนไปเยอะขนาดนั้นทั้งๆ ที่มีกำลังคนน้อยกว่า

 

 

ศพของสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินกว่า 1700 ศพ ถูกรวบรวมมา ทุกคนมองภาพนั้นอย่างเงียบๆ เมื่อวานพวกเขายังมีชีวิตอยู่กันอยู่เลย แต่วันนี้พวกเขาต้องเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อศรัทธาของพวกเขา

 

 

ถ้าพวกเขาเลือกได้อีกครั้ง พวกเขาก็ยังจะเลือกสวมชุดเกราะทองแดงโดยไม่ลังเล แล้วจะตะโกนออกไปว่า ‘ใครหน้าไหนที่ล่วงเข้ามาในเขตแดนเราจะต้องตาย! ’ พวกเขาจะวิ่งเข้าไปในภูเขาจั่งไป๋และจะไปทำให้พวกศัตรูกลัวกันหัวหด

 

 

คนเราไม่ได้เกิดมาแค่ครั้งเดียว ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตในหน้าบทหนังสือที่ต่างกันออกไป แต่บทที่พวกเขาเพิ่งจบไปนั้นเป็นบทที่ทุกอย่างสวยงาม มีความกล้าหาญที่ทรงพลัง มีสหายที่น่าเชื่อใจได้ที่สุด และมีศรัทธาที่แรงกล้าอย่างมาก

 

 

ถ้าจะต้องตายและจะกลับมาเกิดไม่ได้อีกก็ไม่เป็นไรแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่เดินตามพวกผู้บำเพ็ญลับอย่างช้าๆ พวกเขาจะต้องเดินเท้าอีกสามวันก่อนจะไปถึงท่าเรืออาร์เตม เขาจะปลอมตัวเป็นคนอื่นที่นั่นและซ่อนตัวไว้ เขาจะหาคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้และฆ่าทิ้งซะ

 

 

ทันใดนั้นเองหลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงคำรามดังมาจากที่ไกลๆ เสียงเหมือนกับว่ามีผู้คนเป็นพันๆ กำลังร้องเพลงอยู่ เขาตั้งใจฟังและพบว่ามันเป็นเพลงอำลา

 

 

เนื้อเพลงที่ไพเราะและเศร้านั้นได้ถูกขับขานโดยผู้คนนับหมื่น หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียงคนที่กำลังร้องไห้พยายามร้องเพลงต่อไป พวกเขาคำรามร้องเพลงนั้นทั้งที่สำลักน้ำตาราวกับว่าท้องฟ้ากำลังจะถล่มลงมา

 

 

ที่นอกศาลา ริมถนนสายเก่า

 

 

ดอกหญ้าหอมฟุ้งเต็มท้องฟ้า

 

 

ฉันถามว่าคุณจะกลับมาเมื่อไหร่

 

 

และอย่าอ้อยอิ่งยามถึงเวลากลับ

 

 

ถึงจะเป็นเพลงเก่า แต่หลี่ว์ซู่ก็เข้าใจความหมายดี

 

 

ถึงกระนั้นเขาก็เดินมุ่งหน้าต่อไปในสถานที่ที่แสนอันตราย เพราะเขาเป็นราชันฟ้าคนที่เก้ายังไงล่ะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset