ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 525 ราชันฟ้าคนใหม่

เนี่ยถิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรไปสักพัก เขาถือศิลาวิญญาณครึ่งเม็ดไว้ในมือ เขาต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ขยี้ให้มันให้แหลก รวมถึงต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ขยี้หลี่ว์ซู่ให้แหลกด้วยเหมือนกัน

 

 

ที่หมอนี่บอกว่าได้ศิลามาแค่นี้จริงๆ ต้องล้อเล่นแหง เนี่ยถิงยัดศิลาใส่ในมือสือเสวจิ้นแล้วออกคำสั่ง “เอาไปเก็บ”

 

 

สือเสวจิ้นถึงกับเหวอ

 

 

บ้ากันไปหมดแล้วหรือไง!

 

 

เนี่ยถิงหันไปทางหลี่ว์ซู่แล้วว่าต่อ “นายมีเครื่องมืออะไรเอาไว้เก็บของแบบล่องหนหรือเปล่า”

 

 

เขาจะไม่เชื่ออะไรที่หลี่ว์ซู่อธิบายทั้งนั้น รายงานทุกอย่างที่เขาเคยได้รับชี้ว่าหลี่ว์ซู่นี่ขี้เหนียวขนาดหนัก

 

 

แต่อย่างไรก็ตามมัน ไม่มีอะไรอยู่ในกระเป๋าหลี่ว์ซู่จริงๆ เนี่ยถิงยังให้ความเคารพไว้ใจลูกน้องในบังคับบัญชาอยู่เลยไม่ได้ไปค้นกระเป๋าหลี่ว์ซู่ตอนเขาสลบไม่ได้สติ

 

 

แต่คำถามต่อไปก็คือหลี่ว์ซู่เอาธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปซ่อนไว้ที่ไหนล่ะ ถึงแม้เขาจะคงสภาพมันไว้เป็นเกราะที่สามารถสวมใส่ได้ แต่ก็บ้าบออยู่ดีถ้าเนี่ยถิงจะพลาดไม่สังเกตเห็นมันเลยตลอดการต่อสู้

 

 

นอกจากนี้ เนี่ยถิงก็เห็นด้วยว่ามีซากหอกตกอยู่ในป้อมปราการอย่างน้อยๆ ก็สิบสองด้ามด้วยกัน หลี่ว์ซู่จะเข้าไปในป้อมปราการได้อย่างไรถ้าติดอาวุธไว้กับตัวเยอะขนาดนั้น กระทั่งหน่วยข่าวกรองฝีมือเยี่ยมยังไม่พูดถึงเรื่องอาวุธเลยด้วยซ้ำ!

 

 

ด้วยเหตุนี้เนี่ยถิงจึงสงสัยว่าหลี่ว์ซู่นั่นแหละเป็นคนเอาศิลาไป เขาไม่ได้ต้องการจะยึดคืนหรอก แต่แค่สงสัยจริงๆ ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร

 

 

“ไม่มีนี่ครับ อะไรคือเครื่องมือเก็บของแบบล่องหนเหรอครับ” หลี่ว์ซู่ส่ายหน้าปฏิเสธ

 

 

เนี่ยถิงมองตรงเข้าไปในดวงตาของหลี่ว์ซู่อย่างไร้อารมณ์ จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ตบหน้าผากตัวเองเข้าฉาดใหญ่ “เออใช่! ผมเอาหลิวซิวกลับมาด้วย”

 

 

พูดจบเขาก็เอาร่างของหลิวซิวออกมามาวางไว้หน้าเนี่ยถิง

 

 

เนี่ยถิงถึงกับตะลึง ก็นี่ไงละเฟ้ย แล้วมาบอกว่าตัวเองไม่มีที่เก็บของแบบล่องหน จะโกหกก็ให้มันเนียนกว่านี้หน่อยเถอะ นี่จะมากวนบาทากันหรือเปล่า

 

 

[ได้แต้มจากเนี่ยถิง +666!]

 

 

เนี่ยถิงเคารพศพของหลิวซิวแล้วเดินออกไปหน้าทะมึน “บอกเขาด้วยว่าเดี๋ยวฉันจะให้คนเอาร่างหลิวซิวไปฝัง”

 

 

เนี่ยถิงกลัวว่าเขาจะเก็บอารมณ์ไม่ให้อัดหลี่ว์ซู่เข้าไว้ไม่ได้ถ้าเขายังอยู่ต่อไป

 

 

ความจริงแล้วพวกหอกสิบสองด้ามนั่นทำให้เนี่ยถิงนึกขึ้นได้ว่าน่าจะมีข้อมูลอะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้จากเหตุการณ์โบราณสถานเป่ยหมัง ในขณะที่เดินออกมา เขาก็นึกจำนวนและรายการสิ่งของที่หลี่ว์ซู่เคยแจ้งว่าได้มาออก หอกสิบสองด้ามนั้นดูเหมือนจะเป็นหอกเดียวกันกับที่โบราณสถานเป่ยหมัง นั่นแปลว่าหลี่ว์ซู่ก็ต้องมีที่เก็บของแบบล่องหนตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

 

 

เพราะฉะนั้นคำตอบก็ชัดเจนแล้ว…ว่าตอนนี้ตราแผ่นดินอยู่ในมือหลี่ว์ซู่เรียบร้อย

 

 

จริงๆ เนี่ยถิงก็ไม่ได้ติดอะไรหรอก เขาดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องไปหาให้ที่เก็บของล่องหนมาให้หลี่ว์ซู่ด้วยตัวเอง เพราะราชันฟ้าที่รับผิดชอบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะต้องมีของแบบนี้ไว้ติดตัว

 

 

แต่เนื่องจากมันเป็นของหายาก แม้แต่องค์กรใหญ่ๆ อย่างเครือข่ายฟ้าดินก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าราชันฟ้าทุกคนจะมีไว้ติดตัวเป็นของตัวเอง หลี่ว์ซู่เองก็ควรจะได้รางวัลอะไรบางอย่างสำหรับหน้าที่ใหม่ที่ต้องรับผิดชอบนี้

 

 

แต่ในเมื่อหลี่ว์ซู่ได้รางวัลที่ว่าแล้ว งั้นก็ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วล่ะ

 

 

จากนั้นไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่หลายคนเข้ามาจัดการฝังร่างของหลิว์ซิว ทุกคนต่างทำวันทยหัตถ์ด้วยความเคารพก่อนที่จะยกร่างออกไป หลี่ว์ซู่มองเข้ามาจากมุมที่ตัวเองอยู่อย่างพูดอะไรไม่ออก หลิวซิวควรค่าแล้วต่อการเคารพนี้

 

 

เขาจึงประกาศก้องออกไป “ตอนนั้นหลิวซิวเพิ่มพลังต่อสู้ชั่วคราวด้วยการใช้พลังชีวิตไปจนแทบไม่เหลือ ก่อนตาย เขาได้ฆ่าผู้บำเพ็ญระดับ C ของกลุ่มทวยเทพไปถึงเก้าคนด้วยกัน ซึ่งช่วยซื้อเวลาให้ผมได้มาก ถ้าไม่ได้เขา ผมก็คงฆ่าทาคาชิมะไม่ได้หรอก”

 

 

สือเสวจิ้นฟังจากอีกมุมหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่ปฏิเสธที่จะเล่าให้เนี่ยถิงฟังอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้เหตุการณ์ในการต่อสู้เป็นปริศนาเข้าไปใหญ่

 

 

ทว่าตอนนี้หลี่ว์ซู่กลับพูดมันออกมาด้วยตัวเองอย่างไม่มีใครคาดคิด

 

 

สือเสวจิ้นจำได้ว่าเคยเขียนคำเก้าคำให้แก่หลี่ว์ซู่ ‘จงมีใจเมตตาและต่อยให้หนัก’ หลี่ว์ซู่แสดงความโศกเศร้าผ่านสายตาขณะที่เขากำลังเล่าเรื่องการต่อสู้

 

 

สือเสวจิ้นประหลาดใจมากที่หลี่ว์ซู่สามารถโค่นทาคาชิมะได้ เขาเอาชนะความแตกต่างของความสามารถแบบนั้นได้อย่างไร แต่เนี่ยถิงเคยบอกไว้ว่าหลี่ว์ซู่อาจจะเลื่อนระดับระหว่างการต่อสู้ก็ได้ และเขาอาจจะถึงกับเปิดตาแห่งสวรรค์เมื่อเขาอยู่ระดับ B อย่างไรก็ตามรัศมีความเสียหายของเขายังไปได้แค่สามกิโลเมตรเท่านั้น ไม่เหมือนกับระดับ A ที่แผ่ออกไปได้ถึงสิบกิโลเมตร

 

 

กระนั้นสือเสวจิ้นก็รู้สึกประหลาดใจมาก เขาก็เคยต้องผ่านทางที่ยากลำบากด้วยขวากหนาม

 

 

หลี่ว์ซู่เองก็เช่นเดียวกัน แต่หลี่ว์ซู่เลือกไปทางที่คนอื่นไม่เคยเดินมาก่อน เขากลับเลือกทางยากลำบากอีกทางหนึ่งโดยตอนนี้ความคืบหน้าของหลี่ว์ซู่ได้แซงหน้าเขาไปแล้ว

 

 

สือเสวจิ้นไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร บนโลกนี้มีทางที่จะสำเร็จได้ตั้งหลากหลายทาง เขาเลือกทางนี้แล้วก็ต้องมุ่งมั่นกับมันต่อไป

 

 

“ทำไมมาบอกความจริงเอาตอนนี้ล่ะ” สือเสวจิ้นถามยิ้มๆ

 

 

“ก็ถ้าไม่บอก เรื่องที่หลิวซิวเป็นวีรบุรุษก็ไม่มีใครรู้น่ะสิครับ ต้องสลักชื่อทาคาชิมะ ทาอิรัตสึไว้บนป้ายหลุมศพของหลิวซิวว่าหลิวซิวที่เป็นทหารทรงคุณค่าเพื่อให้ความยุติธรรมกับเขาครับ”

 

 

ถ้าเขาไม่พูดความจริงออกไป ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องหัวใจที่กล้าหาญและวีรกรรมที่น่ายกย่องของหลิวซิว หลวซิวไม่เกรงกลัวอะไรเลย ถึงแม้ว่าจะถูกล้อมไว้ด้วยพวกหัวกะทิถึงสิบคนและไอ้ระดับ A ปลอมๆ นั่นอีกคนหนึ่ง

 

 

เมื่อเทียบกันแล้ว หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเรื่องที่เขาอยากปกปิดความจริงนั้นไม่สำคัญเท่าเรื่องนี้เลย

 

 

 

 

 

 

สือเสวจิ้นโล่งอกที่ความพยายามของเนี่ยถิงเป็นผล แต่ก็คงจะเป็นเรื่องดีกว่าถ้าหลี่ว์ซิวรอดชีวิตกลับมา ทหารหลายคนอยู่กันอย่างหดหู่ในต่างบ้านต่างเมืองเพราะต้องแบกรับความเสี่ยงอันยิ่งใหญ่ในการปกป้องประเทศเอาไว้ สือเสวจิ้นหวังไว้ด้วยใจจริงว่าทุกๆ คนจะได้กลับบ้านมาอย่างปลอดภัย

 

 

ถึงแม้จะมีคนหาว่าเขาปากอย่างใจอย่าง เขาเองเป็นคนส่งคนเหล่านั้นออกนอกประเทศไปไม่ใช่หรือ ทำไมไม่เรียกพวกเขากลับมาล่ะถ้าเขาห่วงความปลอดภัยของพวกเขาจริงๆ

 

 

แต่ก็นั่นล่ะ ทานิกุจิ บันไดเคยกล่าวไว้ว่าสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จก็ต้องทำให้สำเร็จ

 

 

สือเสวจิ้นมองไปที่โลงศพของหลิวซิวเงียบๆ แล้วเอ่ยออกมา “ฉันรู้ว่านี่มันค่อนข้างกะทันหัน แต่ฉันต้องบอกให้นายรู้ว่าตอนนี้ตำแหน่งราชันฟ้าคนที่เก้ายังคงว่างอยู่”

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปทันที เขาไม่คาดมาก่อนเลยว่านี่จะเกิดขึ้น แต่เขาก็นึกได้แล้วว่าทุกอย่างมันช่างเหมาะเจาะเหลือเกิน เนี่ยถิงให้เขาไปทำภารกิจสำคัญในหลายๆ โอกาส มีเจ้าหน้าที่สืบราชการลับหลายคนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มทวยเทพเพื่อช่วยเขาเพียงคนเดียว เขารู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าภารกิจที่ญี่ปุ่นนี้มีความสำคัญมากกว่าที่เห็นเยอะ

 

 

ที่แท้ก็เพราะเนี่ยถิงอยากให้เขาเป็นราชันแห่งฟ้าสินะ

 

 

“ทำไมต้องเป็นผมล่ะครับ” หลี่ว์ซู่ถาม

 

 

“หลิวซิวก็ไม่เคยถามนะว่าทำไมต้องเป็นเขา” สือเสวจิ้นตอบกลับด้วยความสงบ

 

 

“ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ผมว่าผมยังไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้หรอกครับ” หลี่ว์ซู่กล่าวปฏิเสธ

 

 

สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้นมีความหมายมากกว่าชื่อเสียงระดับประเทศ มันคือภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่จะต้องรับผิดชอบสหายร่วมรบอีกนับพัน ซึ่งรวมไปถึงหลิวซิวด้วย

 

 

การกระทำทุกอย่างของเขาจะกำหนดชะตาชีวิตของคนอย่างหลิวซิวอีกมากมาย และคนที่เหมือนหลิวซิวพวกนั้นก็จะต้องพร้อมสละชีวิตให้เขาได้ด้วย

 

 

นี่มันมากเกินไปสำหรับหลี่ว์ซู่ เขาไม่อยากยอมรับข้อเสนอนี้เลย

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset