ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 871 ช่างน่ารังเกียจ

หลี่ว์ซู่เห็นด้วยกับจางเว่ยอวี่ “หลังจากที่พวกเราฆ่าหน่วยสอดแนม พวกนั้นอาจจะเร่งการจู่โจม ถึงแม้พวกนั้นอาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะโจมตีในทันที แต่ก็คงอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป”

 

 

อวี่เตี๋ยมองไปที่หลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่อย่างตกใจ แม้แต่เหล่าทาสที่อยู่ด้านหลังเธอก็ตกใจเช่นกัน สองคนนี้กำลังโม้หรือเปล่า หน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่ถือเป็นหน่วยทหารที่เก่งกาจที่สุด มียอดฝีมือระดับสี่เป็นหัวหน้า ในขณะที่คนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้วนแต่อยู่ระดับห้า แต่สองคนนี้กลับบอกว่าสามารถสังหารกลุ่มคนเช่นนี้ได้อย่างนั้นหรือ

 

 

หนึ่งในสองคนนี้เป็นแค่เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ส่วนอีกคนก็เป็นแค่ชาวนาธรรมดา แล้วพวกเขาจะสามารถสังหารหน่วยสอดแนมของทัพเฮยอวี่ได้อย่างไร

 

 

จางเว่ยอวี่กระแอมไอ “คือมันเป็นอย่างนี้…ตั้งแต่เริ่มจนจบ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าทัพเฮยอวี่ถามอะไรฉัน ฉันก็จะบอกว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ฉันเป็นแค่ชาวนาธรรมดาๆ เท่านั้น…”

 

 

หลี่ว์ซู่สีหน้ามืดครึ้ม นี่เขากำลังโยนความผิดใช่หรือไม่ เขาหัวเราะเสียงเย็น “คุณคิดว่าพวกนั้นจะเชื่อคำอธิบายนี้จริงๆ เหรอ ทหารสองคนที่หนีไปได้จะต้องจำรูปร่างหน้าตาของคุณได้แน่ คุณลืมสิ่งที่พูดกับพวกนั้นไปแล้วเหรอ ‘ตอนนี้ถึงตาฉันแล้ว’ อย่าแม้แต่จะคิดถึงที่ดินของคุณ ถ้าทัพเฮยอวี่ได้ครอบครองพื้นที่แห่งนี้ พวกเขาก็จะออกค้นหาคุณไปทั่วทุกพื้นที่”

 

 

 [ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]

 

 

อวี่เตี๋ยมองหลี่ว์ซู่อย่างเงียบๆ เธอเชื่อว่าไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร สิ่งเหล่านั้นก็ล้วนเป็นเรื่องจริง ดังนั้น…ก็เท่ากับว่าหลี่ว์ซู่สังหารหน่วยสอดแนมที่เก่งกาจสามคนของทัพเฮยอวี่ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ

 

 

นี่แปลกมาก เธอคิดมาตลอดว่าหลี่ว์ซู่เป็นเพียงคนธรรมดา เขาดูทั้งผอมและอ่อนแอ

 

 

หลี่ว์ซู่ยังรู้อีกว่าผู้คนในโลกนี้ดูเหมือนจะชอบผู้ชายหุ่นกำยำที่ดูแข็งแรง

 

 

แต่เขาแตกต่าง เขาใช้แสงดวงของเขามาตั้งแต่ต้น พลังของเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผอมหรือความกำยำล่ำสัน

 

 

นอกจากนี้ การฝึกท่วงท่าวิชากระบี่จะทำให้กล้ามเนื้อของผู้ฝึกเจริญเติบโตขึ้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม หอเกียรติกระบี่มุ่งเน้นไปที่เรื่องความสง่างามและความเป็นอิสระ ผู้ที่ฝึกฝนท่วงท่าวิชากระบี่ก็เหมือนกับศิลปิน พวกเขามุ่งเน้นไปที่ความสวยงาม…

 

 

 “พวกนายสองคน ตามตระกูลอวี่ไปสู้กับศัตรูเถอะ เราจะไม่ถูกทัพเฮยอวี่รังแกหรือทำให้ขายหน้าได้ง่ายๆ หรอก…พวกนายทั้งสองคน!” ก่อนที่อวี่เตี๋ยจะพูดจบ เธอก็เห็นหลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่วิ่งตรงไปทางเหนือ ในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย…

 

 

 [ได้แต้มจากอวี่เตี๋ย +199!]

 

 

หากจะพูดตามตรง หลี่วซู่ไม่ได้อยากจะเข้าร่วมสงครามรั้งนี้ จากที่จางเว่ยอวี่บอก น่าจะมีคนประมาณหนึ่งพันสองร้อยคนในทหารกองหน้า ซึ่งพวกเขาคงถูกจัดระเบียบมาอย่างดีและประกอบด้วยทหารที่มีความคล่องตัวสูง พวกเขามีความสามารถทั้งในการต่อสู้และการวิ่ง

 

 

ในทางกลับกัน ในทุ่งและในเมืองรวมทั้งเหล่าทาสของพวกชนชั้นสูงเก่าแก่มีคนรวมกันน้อยกว่าสองพันคน

 

 

ดูเหมือนว่าทุ่งและเมืองมีกำลังคนมากกว่า นอกจากนี้เหล่าชนชั้นสูงก็เป็นถึงยอดฝีมือระดับสาม แต่ปัญหาก็คือกำลังคนในทุ่งเปรียบเสมือนกองกำลังอาสาสมัครเมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพ พวกเขาไม่เคยได้รับการฝึกใดๆ และไม่รู้ว่าจะต่อสู้ร่วมกันได้อย่างไร

 

 

หลี่ว์ซู่เคยเห็นพวกทาสในเมือง โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในปกครองของตระกูลอวี่ พวกเขาดูโหดเ**้ยม แต่สำหรับยอดฝีมือแล้ว พวกเขาก็แค่ดูโหดเ**้ยม

 

 

อีกทั้งเขายังเคยสู้กับทัพเฮยอวี่ ความร่วมมือกันของพวกนั้นยังทำให้เขารู้สึกกดดันถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังกระบี่อยู่ในมือก็ตาม

 

 

สำหรับหลี่ว์ซู่ ช่องว่างนี้เป็นเหมือนความแตกต่างระหว่างระลอกทองแดงและเหล่าผู้บำเพ็ญลับ ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงไม่คิดว่าชาวทุ่งและชาวเมืองจะเป็นฝ่ายชนะ

 

 

ทัพเฮยอวี่เตรียมตัวมาเพื่อสงคราม พวกเขายังคงไม่เคลื่อนไหว แต่พวกเขามาเพื่อรวบรวมข่าวสาร หลี่ว์ซู่ไม่เชื่อว่าพวกทหารระดับสูงของทัพเฮยอวี่จะไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในทุ่ง พวกเขามาที่นี่และไม่ได้คิดว่าตนจะต้องพ่ายแพ้!

 

 

อวี่เตี๋ยมองขณะที่หลี่ว์ซู่และจางเว่ยอวี่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ในทางกลับกัน เสียงของทัพเฮยอวี่ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

 

แสงไฟในเมืองถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ทาสหลายคนรวมทั้งทาสที่ได้รับหน้าที่เฝ้าร้านให้ตระกูลอวี่ต่างพากันหลบหนีอย่างวุ่นวาย

 

 

เมืองทั้งเมืองวุ่นวายเสียงดัง ทุกคนรู้ว่ากองทัพของตวนมู่หวงฉี่กำลังใกล้เข้ามาและพวกเขาต้องรีบหนี

 

 

ในตอนนั้นเอง อวี่เตี๋ยแค่นเสียงอย่างเย็นชา เหล่าทาสที่มีตราประทับรูปกระบี่อยู่ที่หลังมือตะโกนอย่างเจ็บปวด ราวกับว่าตราประทับเหล่านั้นกำลังลุกไหม้

 

 

อวี่เตี๋ยพูดอย่างเย็นชา “คนที่คิดหนี ก็คิดถึงผลที่จะตามมาด้วย”

 

 

นายทาสไม่สามารถสังหารทาสในปกครองได้ แต่พวกเขาสามารถทำให้ทาสเหล่านั้นเจ็บปวดได้ นี่เป็นสิ่งที่ควบคุมด้วยวิธีการของพวกเขา หากทาสทรยศเจ้านาย พวกเขาจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดถึงขีดสุด

 

 

มีทาสจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่ทนความเจ็บปวดนี้ได้ แต่หากพวกเขาทนได้ ตราประทับนั้นก็จะหายไป

 

 

ความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นในระดับที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ที่มีภาษาเขียนเกิดขึ้น ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทนความเจ็บปวดได้

 

 

อวี่เตี๋ยถอยกลับ สิ่งนี้ได้รับการตัดสินใจโดยผู้พิทักษ์ของเมืองและเหล่านายทาส ถ้าทัพเฮยอวี่แทรกซึมเข้าไปในเมือง พวกเขาจะใช้การต่อสู้บนถนนเพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามช้าลง จากนั้นพวกเขาก็จะเข้าล้อมศัตรูและสังหารฝ่ายนั้นในเมือง

 

 

มีทาสประมาณสองพันคนที่สามารถต่อสู้ได้ พลังโดยเฉลี่ยของพวกเขาอยู่ที่ประมาณระดับห้าถึงหก มีเพียงนายทาสและผู้ช่วยที่ไว้ใจได้เท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกฝนระดับสี่ ตัวอวี่เตี๋ยเองก็อยู่ระดับสี่

 

 

ทาสที่เป็นผู้คุ้มกันเมืองค่อนข้างจะแข็งแกร่งกว่า พวกเขามีคนที่อยู่ระดับสี่มากกว่าสิบคน

 

 

หลี่ว์ซู่ได้ตระหนักว่าข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกใบนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าประชากรจะแข็งแกร่งขึ้น แต่พลังโดยรวมของพวกเขาก็สูงขึ้นเช่นกัน

 

 

จอมทัพสวรรค์สี่คนเป็นยอดฝีมือเสินฉังจิ้ง กล่าวกันว่าทาสบางคนในปกครองของพวกเขาและราชาแห่งทวยเทพองค์เก่าก็สามารถไปถึงขั้นเสินฉังจิ้งได้เช่นกัน ในทางตรงกันข้าม กลับมีผู้มีพลังระดับ A เพียงไม่กี่คนเท่านั้นในโลกมนุษย์ และผู้ที่สามารถไปถึงขั้นเสินฉังจิ้งก็มีเพียงเนี่ยถิงคนเดียวเท่านั้น แต่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้กลับมีทาสมากกว่าสองพันคนที่ได้รับการฝึกฝน ดังนั้นไม่ต้องคิดเลยว่าในเมืองใหญ่ๆ จะมีคนที่ได้รับการฝึกฝนมากขนาดไหน

 

 

แต่อวี่เตี๋ยกลับชัดเจนว่าผู้คุ้มกันเมืองไม่ได้รวบรวมกำลังคนเพื่อมาต่อต้านทัพเฮยอวี่ พวกเขาได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้ว พวกเขาแค่ต้องป้องกันตนเองจากกองหน้าของทัพเฮยอวี่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องสู้จนตัวตาย

 

 

ตวนมู่หวงฉี่มีกองทัพก็จริง แต่เหวินไจ้โฝ่วเองก็มีเช่นกัน

 

 

ในตอนนั้นราวกับว่าเสียงควบม้าได้หยุดลงห่างจากตัวเมืองเพียงไม่กี่กิโลเมตร อวี่เตี๋ยรู้สึกงงงวย หรือทัพเฮยอวี่จะเปลี่ยนแผน หรือพวกเขาล้มเลิกแผนที่จะบุกเมืองแล้ว

 

 

ในวินาทีต่อมา เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นราวกับว่าโลกกำลังพังทลาย พื้นดินสั่นสะเทือนและทุกคนในเมืองต่างก็อยู่ในอาการตกใจ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

พูดตามตรง กองทัพเสื้อขนดำก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อสองนาทีก่อนหน้านี้ พวกเขากำลังมุ่งหน้าตรงไปยังตัวเมืองด้วยความเร็วเต็มที่ แต่ทันใดนั้นเด็กสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นขวางทางพวกเขาพร้อมกับถามว่าพวกเขารู้ไหมว่าหลี่ว์ซู่อยู่ที่ไหน

 

 

ผู้บัญชาการกองทัพตะโกนใส่เธอ “สาวน้อย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าหลี่ว์ซู่คือใคร บางทีเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ พวกเราไม่ถามชื่อตอนจะฆ่าคนหรอกนะ”

 

 

จากนั้น…พื้นที่กองหน้าของทัพเฮยอวี่ยืนอยู่ก็เริ่มยุบลงไป และทันใดนั้นลำแสงสีเงินก็โอบล้อมรอบตัวพวกเขาทุกคน ราวกับว่าพวกเขากำลังถูกมัด…

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ต่อสู้ในโลกใบใหม่นี้ เธอรู้สึกว่าเธอจำเป็นต้องแสดงพลังให้คนอื่นได้ประจักษ์ตั้งแต่ในครั้งแรกของการต่อสู้ เธออนุญาตให้หัวหน้าบาทหลวงเข้าควบคุมทุ่ง ส่วนตัวเธอก็ใช้พระไตรปิฎกน้ำตกทรายได้อย่างสมบูรณ์แบบ เท่านี้ก็ไม่มีใครหนีรอดไปได้…

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋งงงวยเล็กน้อย คนในโลกนี้ไม่รู้ขีดจำกัดในการพูดของตนเองเหรอ…ช่างน่ารังเกียจเสียจริง!

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset