ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 870 เมื่อผ่านความยากลำบากไปได้แล้ว เราจะได้รับประสบการณ์และสติปัญญา

จางเว่ยอวี่นั่งยองๆ บนพื้น เขาใช้พลังไปกับการวิ่งมากเกินไป โชคดีที่ช่วงหลายวันมานี้เขาได้กินแต่อาหารดีๆ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่มีแม้แต่แรงให้วิ่ง

 

 

หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “คุณไม่ใช่ชาวนาธรรมดาใช่ไหม”

 

 

จางเว่ยอวี่หัวเราะ “นายเองก็ไม่ใช่ทาสธรรมดาเหมือนกัน”

 

 

สีหน้าของหลี่ว์ซู่มืดครึ้มลง ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าจางเว่ยอวี่มักจะพูดจาดุๆ กับคนอื่นเสมอ…

 

 

“พวกเราจะทำยังไงต่อ” หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ “ทัพเฮยอวี่จะอยู่ที่นี่ อีกนานแค่ไหนกว่ากองกำลังที่เหลือจะมาถึง”

 

 

“ในสถานการณ์ปกติ พวกเขาจะทิ้งระยะห่างระหว่างหน่วยสอดแนมและกองหน้าของกองกำลังหลักประมาณสิบห้ากิโลเมตร แต่โดยปกติแล้วทัพเฮยอวี่จะไม่ฆ่าคนถ้าไม่มีกองทัพอยู่ข้างหลังและต้องการจับคนเพื่อไปสอบถามสถานการณ์ในพื้นที่!” จางเว่ยอวี่วิเคราะห์ “พวกเราต้องรีบวิ่งแล้วตอนนี้ แต่กองหน้าจะมีคนไม่มากสักเท่าไร และตามยุทธวิธีของพวกเขาแล้ว ทุ่งเองก็ไม่ได้มีความสำคัญสักเท่าไหร่เช่นกัน มาเร็ว เห็นแก่ที่นายช่วยชีวิตฉัน ตามฉันมาแล้วนายจะหนีพ้นสงครามนี้!”

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกมึนงง หลังจางเว่ยอวี่พูดจบเขาก็เดินตรงไปทางป่าทางทิศใต้ เขาถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าเราควรบอกคนอื่นๆ ในเมืองว่ามีกองทัพอยู่ที่นี่ก่อนเหรอ”

 

 

จางเว่ยอวี่ส่ายหัว “มีสงครามไหนบ้างที่ไม่มีความสูญเสีย นอกจากนี้ถ้าจะมีคนในเมืองต้องตาย ก็ปล่อยให้พวกเขาตายไป นี่ก็เป็นแค่เกมการไล่ล่าระหว่างพวกจอมทัพสวรรค์ ใครจะมาสนใจพวกคนที่อยู่ข้างล่างล่ะ สำหรับพวกนั้นแล้ว เราก็เป็นได้แค่มดตัวเล็กๆ”

 

 

“คุณไม่รู้สึกอะไรกับที่นี่เลยเหรอ” “จะเกิดอะไรขึ้นกับพืชผลของคุณถ้าพวกนั้นมาที่นี่” หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจเขาเลย

 

 

 

 

“พืชผลของฉันยังโตไม่เต็มที่เลย พวกนั้นจะปล่อยพวกมันไว้อย่างที่มันเป็นอยู่ พวกนั้นอยากจะยึดครองพื้นที่ตรงนี้มานานแล้ว และเมื่อพวกเขาทำได้ พวกเขาก็จะต้องการชาวนาและทาสทั้งหลายเพื่อมาปลูกพืชผล ใช่ไหมล่ะ สงครามไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ตราบเท่าที่เราหนีทันและค่อยกลับมาอีกครั้งตอนที่พวกเขายึดครองพื้นที่ได้สำเร็จ เราก็จะสามารถปลูกพืชผลได้เหมือนที่ผ่านมา” จางเว่ยอวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

หลี่ว์ซู่เข้าใจ เป้าหมายของสงครามครั้งนี้ก็เพื่อสังหารเหล่านายทาสและชนชั้นสูง และเพื่อขยายเขตแดน ในทางกลับกัน ชาวนาและทาสคนธรรมดาไม่มีอันตรายอะไร พื้นที่ยังคงมีความสำคัญมากกว่าอยู่ดี

 

 

นี่เป็นเหมือนการเปลี่ยนผู้นำในสถานที่ทำงาน เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องการคนมาทำงานอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงจะไม่สังหารทุกคน

 

 

นี่ไม่ใช่ความเกลียดชังระหว่างสองชาติพันธุ์ที่พวกเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะสังหารหมดทุกคน แม้แต่ชาวนาและทาสคนธรรมดาก็เคยชินกับเรื่องเหล่านี้เสียแล้ว

 

 

จากที่จางเว่ยอวี่เคยเล่า สงครามครั้งก่อนกินเวลายาวนานกว่าสิบปี และคนที่ไร้ความสำคัญทั้งหมดที่รอดชีวิตมาไม่มากก็น้อยมีความรู้ในการเอาชีวิตรอด

 

 

“ไม่” หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “การไปบอกทุกคนไม่ใช่เรื่องยากอะไร ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ควรบอกตระกูลอวี่”

 

 

เขาพยายามเลี่ยงการพูดถึงอวี่เตี๋ยอย่างรอบคอบ เขาถึงขั้นทำเป็นไม่เข้าใจสิ่งที่จางเว่ยอวี่พยายามจะสื่อ แต่ตั้งแต่ที่เขามาที่นี่ เขาก็พึ่งพาอาหารที่เธอคอยส่งมาให้จนเขาสามารถฝึกฝนได้โดยไร้กังวล

 

 

เขาควรไปบอกเธอว่ามีอันตราย นั่นไม่ได้ทำให้เขาเสียหายอะไรอยู่แล้ว

 

 

เมื่อจางเว่ยอวี่เห็นว่าหลี่ว์ซู่เต็มไปด้วยความยุติธรรม เขาจึงพูดว่า “งั้นก็ไปสิ แต่ฉันไปก่อนนะ”

 

 

จางเว่ยอวี่หันหน้าเตรียมจากไป แต่…เขาก็ไม่ได้ขยับ…

 

 

“ไปให้พ้น…” จางเว่ยอวี่พูดไม่ออก

 

 

“คุณกำลังจะไปไหน” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างโหวงๆ “มากับผมเถอะ ผมรู้ว่าคุณมีที่ซ่อนตัวจากสงครามแน่ๆ ล่ะ หลังจากพวกเราบอกพวกเขาแล้ว ค่อยพาผมไปที่นั่นสิ”

 

 

หลี่ว์ซู่จะไม่ยอมปล่อยเขาไป จางเว่ยอวี่เป็นคนปากร้าย แต่เขาไม่ใช่คนเลวร้าย หลี่ว์ซู่ต้องการเขา ถ้าเขามีที่ให้ซ่อนตัวจริงๆ หลี่ว์ซู่ก็จะสามารถไปซ่อนตัวที่นั่นและฝึกท่วงท่าวิชากระบี่ได้

 

 

และเมื่อถึงตอนที่สงครามสิ้นสุด ความสามารถของเขาอาจก้าวหน้าไปไกลแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่เต็มใจเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาเป็นแค่แขกผู้มาเยือน ดังนั้นไม่ว่าจะมีคนตายมากเท่าไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่เขาจะไปซ่อนตัวอยู่กับจางเว่ยอวี่หลังจากแจ้งข่าวอวี่เตี๋ย เขาปล่อยจางเว่ยอวี่ไปไม่ได้จริงๆ

 

 

ตอนนี้จางเว่ยอวี่ไม่มีแม้แต่แรงอย่างคนธรรมดา เขาอยู่ห่างไปทางด้านหลังหลี่ว์ซู่แค่ไม่กี่ร้อยเมตร และดูราวกับว่าไม่มีอะไรเหลือให้เขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนั้นอีกแล้ว ถ้าทัพเฮยอวี่อยู่ทางด้านหลัง ทางเส้นนี้ก็เป็นเหมือนลูกศรชี้ทาง…

 

 

ต่อมาเมื่อจางเว่ยอวี่รู้ว่าเขาไม่สามารถวิ่งหนีได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงยอมแพ้ เขาเดินตามหลังหลี่ว์ซู่เข้าไปในเมืองและหอบไปด้วย “มันก็แค่อาหารนิดหน่อย อย่าบอกนะว่านายตกหลุมรักเธอน่ะ อย่าเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในนิยายเลย มันก็แค่เรื่องหลอกเด็ก ถึงแม้ท่วงท่าวิชากระบี่ของนายอาจจะไม่ได้แย่ แต่นายเคยคิดถึงอนาคตของตัวเองบ้างไหม ชาวนาเป็นได้แค่ทาสของพวกชนชั้นสูง ถึงนายจะเก่งกาจ แต่ก็ยังคงเป็นได้แค่ทาสของจอมทัพสวรรค์ทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว ชนชั้นทางสังคมของนายกับเธอแตกต่างกัน เธอคงไม่ยอมแต่งงานกับทาสแน่ๆ”

 

 

หลี่ว์ซู่ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอเลย แต่คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าเราพัฒนาวิธีการของตนเอง เราก็จะโดดเด่น”

 

 

“นั่นคือตอนที่ราชาแห่งทวยเทพองค์เก่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว เหล่านายทาสและชนชั้นสูงยังคงต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนกันอยู่ แล้วพวกเขาจะมีเวลามาสนใจนายเหรอ นอกจากนี้นายจะต้องฝึกอีกนานเเค่ไหน สิบปี หรือยี่สิบปี หรือนานกว่านั้น ที่นี่มีตัวแปรมากเกินไป” จางเว่ยอวี่เยาะเย้ยเขา “ถ้าทัพเฮยอวี่มาที่นี่ เมืองทั้งเมืองก็จบเห่ นายจะไม่มีแม้แต่เวลาให้คิดหนีด้วยซ้ำ”

 

 

หลี่ว์ซู่ชี้มีดผู่เตาไปที่จางเว่ยอวี่อย่างไร้อารมณ์ “ไร้สาระ! คุณพูดอะไร รีบไปและพูดว่า bah”

 

 

“… bah”

 

 

[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +666!]

 

 

หมอนี่มันอะไรกัน!

 

 

จางเว่ยอวี่พูดด้วยเสียงอันเบา “ถึงแม้ท่วงท่าวิชากระบี่ของนายจะดี แต่นายสามารถฆ่าคนนับพันด้วยกระบี่เดียวได้ไหมล่ะ”

 

 

หลี่ว์ซู่ชำเลืองมองเขา จางเว่ยอวี่อาจจะไม่เชื่อ แต่หลี่ว์ซู่เคยทำแบบนั้นมาก่อน…

 

 

ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงควบม้า ตระกูลอวี่กำลังจะจากไปโดยมีอวี่เตี๋ยเป็นผู้นำ

 

 

เมื่ออวี่เตี๋ยเห็นหลี่ซู่ เธอก็ตกตะลึง เธอดูเหมือนจะประหลาดใจแต่ก็ยินดี “ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ หรือนายมาหาฉันเหรอ”

 

 

หลี่ว์ซู่เองก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน “คุณกำลังจะไปไหน”

 

 

“ฉันได้รับคำสั่งจากพวกผู้คุมให้ออกลาดตระเวนชายแดน” อวี่เตี๋ยพูด

 

 

ผู้คุมคือชนชั้นสูงในทุ่งที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับสาม

 

 

“อย่าไป” หลี่ว์ซู่พูด แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร เขามองจางเว่ยอวี่ “ลุงช่วยอธิบายหน่อยสิ”

 

 

จางเว่ยอวี่ยิ้ม เขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถในการพูดนอกบท เขาเทียบไม่ติดเลย เมื่อผ่านความยากลำบากไปได้แล้ว เราจะได้รับประสบการณ์และสติปัญญา…

 

 

[ได้แต้มจากจางเว่ยอวี่ +481!]

 

 

ในตอนนั้นเอง จางเว่ยอวี่ได้ยินเสียงควบม้าดังมาจากที่ไกลๆ และยังมีเสียงรัวกลองรบ เขาถึงขั้นเห็นภาพธงสีดำของทัพเฮยอวี่โบกสะบัดอยู่ในสายลม

 

 

“ไม่นะ พวกทหารเปิดเผยที่อยู่ของพวกเรา ทัพเฮยอวี่คงพยายามเลี่ยงการถ่วงเวลาและตัดสินใจโจมตี พวกเขาอยากจะคว้าโอกาสในขณะที่ทั้งเมืองไม่ได้เตรียมพร้อมเพื่อคว้าชัยชนะให้ได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด” จางเว่ยอวี่พูดอย่างตกใจ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset