ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 884 ศาสตร์ราชาแขนงใหม่

เมืองอวิ๋นอานห้อมล้อมไปด้วยภูเขา มีคนกล่าวไว้ว่าเมืองอวิ๋นอานมีอากาศอบอุ่นในฤดูหนาวและมีอากาศเย็นสบายในฤดูร้อนฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูก็เหมือนกับฤดูใบไม้ผลิ แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามันคือเรื่องหลอกลวง  

 

 

เรื่องแรกที่หลี่ว์ซู่ทำหลังจากเข้าสู่เมืองอวิ๋นอานไม่ใช่สังเกตว่าการค้าที่นี่รุ่งเรืองกว่าเมืองเถียนเกิ่งมากแค่ไหนแต่สนใจที่การป้องกันเมืองของที่นี่  

 

 

เขาลองสังเกตดูคร่าวๆ แล้วก็เห็นว่าทหารเว่ยอู่ประจำเมืองเอาแต่ยืนพิงกำแพงพูดคุยกันอย่างเกียจคร้านและมีเจ้าหน้าที่อยู่ที่ประตูเมือง ตอนแรกหลี่ว์ซู่กังวลว่าตอนเข้าเมืองต้องใช้เอกสารเข้าเมืองหรือเปล่า แต่ว่าเจ้าหน้าที่ก็เอาแต่คุยกัน ไม่แม้แต่จะมองหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เลย  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ว์ซู่มักรู้สึกว่าทหารเว่ยอู่ยากจนมาก ตอนแรกที่เจอทหารชิงไซ่ที่เมืองเถียนเกิ่ง แต่ละคนดูมีบารมี มีม้าที่สมบูรณ์ เสื้อเกราะสีแดงที่ดูออกว่าได้รับการดูแลเป็นประจำ  

 

 

ทัพอู่เว่ยนั้นต่างกันเลย หลี่ว์ซู่เห็นอาวุธที่เขาใช้มีแต่สนิม อย่างกับไม่ใช่อาวุธวิเศษแม้แต่อาวุธธรรมดาก็ยังเทียบไม่ได้เลย…  

 

 

ผู้บัญชาการทัพอู่เว่ยยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองอวิ๋นอานตามธรรมเนียมปฏิบัติ หลี่ว์ซู่คิดกับตัวเองคนเร่ร่อนคนหนึ่งขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองได้ก็ต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าคนอื่นแน่นอน  

 

 

แต่ทหารระเบียบแบบนี้ … จะชนะสงครามได้จริงหรือ ไม่รู้ว่าทหารอู่เว่ยชนะสงครามมาหลายครั้งได้อย่างไร  

 

 

ทันใดนั้น หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกเหมือนว่าราชาแห่งทวยเทพและจอมทัพสวรรค์เลี้ยงดูคนเหล่านี้ไว้เพื่อแกะรับใช้ แต่จะเรียกพวกเขาว่าคนเลี้ยงแกะไม่ได้เลย เพราะพวกเขาไม่สนใจว่าแกะในอาณาเขตของตัวเองจะเป็นอย่างไร  

 

 

บางครั้งเขาก็สงสัยว่าถ้าบุคคลนั้นมีพลังสูงส่งก็จะมองคนที่ต่ำกว่าเป็นมดปลวกโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า  

 

 

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “การปล่อยชีวิต” นั้นเป็นพฤติกรรมที่สูญเปล่า เพราะไม่รู้ว่าปลาที่ได้รับการปล่อยไปจะเป็นร้ายหรือดียังไง ถ้าเป็นปลาร้าย ไม่กลายเป็นการลบหลู่เทพเจ้าเหรอ  

 

 

มีคนโต้ว่า ยังต้องแบ่งว่าเป็นปลาร้ายปลาดีด้วยเหรอ ปล่อยชีวิตก็พอแล้ว  

 

 

ไม่ว่าจะเป็นปลาหรือปลาไหล พวกมันเหมือนกันในสายตาของมนุษย์ ของใช้ อาหารและอื่นๆ ของพวกมันก็ไม่แตกต่างกัน  

 

 

มนุษย์ธรรมดาก็เหมือนกันในสายตาของเทพเจ้าและพวกเขาไม่สมควรได้รับความสนใจ  

 

 

และในโลกจักรวาลหลี่ว์ เหนือกว่าระดับหนึ่งยังมีพลังระดับปรมาจารย์และปรมาจารย์ท่านนี้ก้มมองโลกเหมือนก้มมองมดปลวก ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากต้องการรักษาการปกครองของตนให้ดีก็แค่ตนเองแข็งแกร่งเพียงพอก็พอ  

 

 

สิ่งนี้แตกต่างจากคนปกครองคน คือคนปกครองคนต้องคำนึงถึงการดำรงชีวิตของผู้คน สภาพแวดล้อม ขนบธรรมเนียม ฯลฯ และที่นี่เปรียบเสมือนเทพเจ้าปกครองคน ไม่ว่าคนธรรมดาจะตะโกนบอกเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์  

 

 

หากเป็นเช่นนี้ก็พอเข้าใจสภาพกองทัพอู่เว่ยแล้ว…จอมทัพสวรรค์ทักษิณเหวินไจ้โฝ่วคงขี้เกียจสนใจพวกเขา พวกมดปลวกแมวงวันใช้ชีวิตไปเถอะ เทพเจ้าจะสนใจทำไม มันดูถูกเทพเจ้าเกินไปแล้ว…  

 

 

ถึงยังไม่เคยเห็นเนี่ยถิงใช้พลังเสินฉังจิ้งแต่หลี่ว์ซู่ยังพอจินตนาการถึงอานุภาพที่รุนแรงของมันได้ ระดับหนึ่งน่าจะพอมีพลังทำลายประตูนรกภูเขาคุนหลุน ระดับปรมาจารย์ก็น่าจะพอกับเทพเจ้า อย่างน้อยในสายตาของคนทั่วไปก็คงคิดเช่นนี้  

 

 

ที่นี่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเสินฉังจิ้งมีแค่ปรมาจารย์เท่านั้น  

 

 

ที่จริงหลี่ว์ซู่ชอบวิถีของเนี่ยถิง อีกฝ่ายสามารถรบเคียงบ่าเคียงไหล่เครือข่ายฟ้าดินและก็นั่งดูเอกสารใต้ต้นวอลนัทได้ หรือแม้แต่ถือชามโจ๊กข้าวฟ่างไปด้วยและคุยกับสือเสวจิ้นว่าหอมใหญ่ไม่อร่อย  

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเนี่ยถิงเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ ไม่ได้เป็นเทพเจ้า แข็งแกร่งกว่าจอมทัพสวรรค์เสียอีก  

 

 

แน่นอนว่าเขาไม่เคยเจอจอมทัพสวรรค์ตัวเป็นๆ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสรุปส่งเดชได้  

 

 

ตอนนี้ หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เดินผ่านร้านบะหมี่นายเจี่ยง เขาเห็นในร้านคึกคัก มีคนเต็มไปหมดเหมือนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินใครบางคนพูดถึงราชาแห่งทวยเทพ  

 

 

หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋มองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปในร้าน เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามาต้อนรับพวกเขา “ทั้งสองท่านจะนั่งชั้นสองหรือชั้นล่างดีครับ”  

 

 

“ชั้นล่าง” หลี่ว์ซู่กวาดสายตามองรายการอาหารที่แขวนอยู่ “บะหมี่เนื้อสองชาม”  

 

 

“ได้เลย” เสี่ยวเอ้อร์เดินนำหลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปที่มุมหนึ่ง หลี่ว์ซู่เหลือบมองที่กลุ่มคนและได้ยินใครบางคนพูดคุยเรื่องของราชาแห่งทวยเทพ  

 

 

เขาพูดกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “เธอนั่งตรงนี่นะ ฉันจะไปสืบดูว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”  

 

 

มีลูกค้าหลายโต๊ะที่เหมือนมาด้วยกัน มีชายชราท่ามกลางพวกเขาพูดขึ้นว่า “การอภิปรายในช่วงบ่ายของวันนี้เกี่ยวกับศาสตร์ราชาช่างมีอรรถรสจริงๆ ฉันได้เปิดหูเปิดตามากเลย!”  

 

 

หลี่ว์ซู่ได้ยินก็รู้สึกเอียนศาสตร์ราชา…ราชาองค์เก่าสร้างอาชีพใหม่เหรอ  

 

 

ทันใดนั้นก็มีคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “ฉันตั้งปณิธานว่าจะอ่านบทกวีขององค์ราชาต่อไป และวาดโลกที่ซ่อนอยู่ในบทกวีขององค์ราชาออกมาให้ได้!”  

 

 

กลุ่มคนข้างๆ เขาเริ่มปรบมือ หลี่ว์ซู่ยืนอึ้งไปพักหนึ่ง นี่คือนักวิชาการศาสตร์ราชาเหรอ คลั่งไคล้ขนาดนั้นเลยเหรอ  

 

 

จะว่าไปก็พอเข้าใจได้ สำหรับจักรวาลจักรวาลหลี่ว์ที่วัฒนธรรมหยาบกร้านเช่นนี้ ราชาองค์เก่าเป็นศูนย์รวมของผลผลิตทางวัฒนธรรมถึง 99% จะมีผู้เลื่อมใสศรัทธาก็ไม่แปลก…  

 

 

ทันใดนั้นก็มีคนคนหนึ่งหัวเราะเยาะ “พี่อวี๋ บทที่ว่า ‘พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงแนบภูเขา แม่น้ำเหลืองไหลถาโถมไปทางทะเลตะวันออก ถ้าหากต้องการชมภาพทิวทัศน์นับหมื่นลี้ให้หมด คงต้องขึ้นสูงไปอีกชั้นหนึ่ง’ บทกวีขึ้นหอคอยกระเรียนเหลือง ราชาองค์เก่าปรากฏตัวในบทนี้หลายครั้ง ฉันอยากรู้เสียจริงว่าหอหวงเชว้นี้เป็นเช่นไร แล้วอยู่ที่ไหน คุณต้องวิจัยออกมาให้ดีล่ะ”  

 

 

ชายสกุลอวี๋ท่านั้นถอนหายใจ “หอคอยกระเรียนเหลืองคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในใจของฉัน ดูประโยคที่ว่าพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงแนบภูเขาก็จะรู้ได้ว่าหอคอยนี้ตั้งอยู่ไกลและน่าจะอยู่ทางตะวันตกของภูเขาลูกนั้น…”  

 

 

หลี่ว์ซู่ที่อยู่ข้างๆ เงียบไปสองวินาทีและพูดว่า “พวกคุณเคยคิดไหมว่า อีซานจิ้น[1]อาจจะเป็นชื่อคนก็ได้”  

 

 

การอภิปรายที่เผ็ดมันในร้านอาหารนั้นเงียบลงในทันที ทุกคนเงยหน้ามองหลี่ว์ซู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็นึกถึงบทกวี …  

 

 

[ได้แต้มจากฉีจื่ออี๋ +666!]  

 

 

[ได้แต้มจากอานห้าว +666!]  

 

 

[ได้แต้มจากเฉินเว่ยหัว …]  

 

 

“เรื่องนี้…” ใครบางคนลังเลอยู่พักหนึ่ง “ราชาองค์เก่าได้ยินแล้วอยากคงอยากฟาดนาย …”  

 

 

คนกลุ่มนี้พอได้ยินก็คิดว่าคนคนนี้พูดไร้สาระอะไรและกำลังจะเริ่มด่าแต่เงยหน้ามาเห็นหลี่ว์ซู่ก็เป็นใบ้กันไปหมด น้ำเสียงก็ดูเบาลง…  

 

 

ทันใดนั้นก็มีคนพูดว่า “แต่นี่ก็เป็นมุมมองใหม่…”  

 

 

หลี่ว์ซู่ตกตะลึงกับประโยคนี้ด้วย มีคนเชื่อจริงๆ ด้วยเหรอ  

 

 

อีกคนมองหลี่ว์ซู่ “น้องชายท่านนี้ มีความเห็นอื่นอีกไหม”  

 

 

หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอยู่สองวินาที “โฉมงาม[2] ไม่ทราบว่าไปที่ใด พวกคุณรู้สึกไหมว่าประโยคนี้กำลังด่าว่าหน้าไม่อาย”  

 

 

นักวิชาการกลุ่มนั้นครุ่นคิดอีกรอบ…  

 

 

[ได้แต้มจากฉีจื่ออี๋ +666!]  

 

 

[ได้แต้มจาก…]  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่รู้ตัวว่าเขาไปสร้างอีกแขนงหนึ่งสำหรับศาสตร์ราชาโดยไม่เจตนา…  

 

 

คนของแขนงนี้มีน้อยมาก แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง…  

 

 

   

 

 

——

 

 

[1] อีซานจิ้น  แปลว่าคล้อยลงแนบภูเขา

 

 

[2] โฉมงาม  มาจากบทกวีซึ่งในภาษาจีนแปลตรงตัวว่า “ใบหน้า” แต่บริบทของกวีพูดถึงไม่เห็นใบหน้าผู้หญิง ไม่รู้ว่าไปที่ไหน​

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset