ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 885 เป็นแผนทั้งนั้น

กลุ่มคนอภิปรายกันอย่างกระตือรือร้นและยังเชิญหลี่ว์ซู่ให้เข้าร่วมประชุมงานอภิปรายของพวกเขาในบ่ายวันมะรืนนี้ พวกเขาถามหลี่ว์ซู่ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน หลี่ว์ซู่บอกว่าเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกถึงยังไม่มีที่พัก  

 

 

ผลก็คือรีบมีคนบอกทันทีว่าพวกเขามีที่พัก หวังว่าจะสนทนากับหลี่ว์ซู่ในคืนนี้…  

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปสักพักแต่ก็เลือกปฏิเสธเขาไป เขาต้องทำสบู่จึงต้องมีที่พักของตนเอง แล้วเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้สูตรลับนี้ด้วย  

 

 

ผู้คนในโลกจักรวาลหลี่ว์ไม่ได้ให้ความสนใจกับความลับทางการค้ามากนัก แต่หลี่ว์ซู่ยังคงเอาจริงเอาจัง ปีนี้หลี่ว์ซู่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ได้มากขึ้นจริงๆ ตอนแรกเขาขายไข่ต้ม มีคนอยากรู้สูตรน้ำจิ้มของเขาแล้วก็ไปลองทำมาแล้วตั้งขายข้างๆ เขาแต่ก็ถูกน้าหลี่ไล่ไป…  

 

 

คนบางคนน่ารังเกียจจริงๆ พอเขาเห็นว่าคุณทำเงินได้ พวกเขาก็อยากหาเงินด้วยวิธีเดียวกันหรือถึงขั้นตัดช่องทางหากินของคุณด้วย ไม่คิดที่จะสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ๆ ของตัวเองออกมา  

 

 

หลี่ว์ซู่จึงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนรู้สูตรการผลิต หลี่ว์ซู่ไม่อยากต้องทำร้ายใครตั้งแต่มาถึง…  

 

 

ผู้บำเพ็ญจะดีกว่าเล็กน้อย จะแย่งอาชีพก็ต้องวัดกันที่พลัง ใครคิดจะแย่งอาชีพก็ส่งแอนโทนี่และหัวหน้าบาทหลวงไปคุยกับคนคนนั้น คุยเรื่องการพัฒนาตลาดอย่างมีระเบียบและมั่นคง  

 

 

หลี่ว์ซู่ตกลงร่วมงานเลี้ยงน้ำชาในวันมะรืนนี้ว่าเขาจะมาตรงเวลา  

 

 

พอเขากลับไปที่โต๊ะ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองเขา “นายมีอะไรไปคุยกับพวกเขา”  

 

 

หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างมีความสุขและพูดว่า “เธอต้องตีสนิทกับคนอื่นก่อนถึงจะขายสบู่ได้ พวกเราไม่คุ้นที่คุ้นทางที่นี่ เธอต้องหาจุดสำคัญ แล้วคนพวกนี้เวลาคุยกันคนอื่นๆ รอบข้างก็ชอบฟัง คนพวกนี้จะเป็นโฆษณาเดินได้ให้กับเราในภายหลัง เย็นนี้ต้องเริ่มทำสบู่คืนนี้ดีๆ แล้ว!”  

 

 

ขณะนั้น หลี่ว์ซู่มองเห็นชามบะหมี่สีขาวตรงหน้าเขา “เนื้อวัวล่ะ บะหมี่เนื้อวัวไม่มีเนื้อวัวเหรอ เสี่ยวเอ้อร์! มานี่หน่อย! “  

 

 

เสี่ยวเอ้อร์เดินเข้ามา “ลูกค้ามีอะไรครับ”  

 

 

“พ่อครัวพวกนายชื่อว่าเนื้อวัวเหรอ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างไม่รีบร้อน  

 

 

“ไม่ใช่นะ” เสี่ยวเอ้อร์ผงะไปครู่หนึ่ง “พ่อครัวของเราไม่ได้ชื่อเนื้อวัว ทำไมเหรอคุณลูกค้า”  

 

 

“แล้วเนื้อวัวในบะหมี่ล่ะ” หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ  

 

 

เสี่ยวเอ้อร์อึ้งไปพักหนึ่ง “เนื้อวัวถูกน้องสาวคนข้างๆ กินไปวัวแล้ว…”  

 

 

หลี่ว์ซู่ “…”  

 

 

[ได้แต้มจากหลี่ว์ซู่+199! “]  

 

 

หลี่ว์ซู่มองหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ เขาเดาจุดเริ่มต้นได้แต่เดาตอนจบไม่ได้…  

 

 

ในตอนนี้มีทหารสองสามคนสวมชุดทหารอู่เว่ยเดินเข้ามา พวกเขาสวมชุดเกราะเบี้ยวๆ และถือหมวกอย่างไร้ระเบียบเหมือนทหารเก่าขาดระเบียบวินัย  

 

 

หลี่ว์ซู่เฝ้าดูพวกเขาอย่างเงียบๆ เพื่อดูว่าเวลาปกติทหารอู่เว่ยเป็นอย่างไร  

 

 

พอทั้งสี่คนนี่เข้ามาในร้านก็ตะโกนเอะอะโวยวาย “เอาเนื้อวัวกิโลครึ่ง เหล้าสองขวด กับแกล้มสี่อย่าง เร็วๆ ด้วย!”  

 

 

หลี่ว์ซู่กับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั่งอยู่ที่มุมร้านเงียบๆ จนกระทั่งพวกทหารนั้นเรียกคิดเงิน ทหารนายหนึ่งวางหมวกไว้บนโต๊ะ “เอาไป จ่ายด้วยหมวกใบนี้ ไปพวกเรา”  

 

 

เสี่ยวเอ้อร์เห็นหมวกบนโต๊ะก็ทำหน้าเศร้า หลี่ว์ซู่ตะลึงจนอ้าปากค้าง นี่คือกองทัพเหรอ ไม่เอาหมวกเหรอ  

 

 

หลี่ว์ซู่แอบสะกิดเสี่ยวเอ้อร์ “หมวกนี้ได้ราคาดีไหม เอามาจ่ายค่าอาหารได้”  

 

 

“จ่ายอะไรได้ล่ะ” เสี่ยวเอ้อร์เซ็ง “บ่ายนี้ฉันต้องส่งหมวกกลับไปให้ทัพอู่เว่ยอีก เก็บของพวกนี้เอาไว้เท่ากับมีโทษลอบเก็บอาวุธทหาร ตายสถานเดียว”  

 

 

เป็นแผนทั้งนั้น หลี่ว์ซู่สะเทือนใจ  

 

 

แต่กองทัพแบบนี้ดูเหมือนจะเหมาะกับเขามาก เขาไม่อยากต่อสู้สร้างความดี สิ่งที่ต้องการมีเพียงสิ่งเดียวคือสิทธิ์การส่งเข้าคัดเลือกของสำนักกระท่อมกระบี่  

 

 

แล้วกองทัพแบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวเลย…  

 

 

“ไปกันเถอะ” หลี่ว์ซู่ลุกขึ้นยืน “พวกเรามีเรื่องที่ต้องทำ”  

 

 

ทัพอู่เว่ยนี้ดูเหมือนจะไม่ร่ำรวยนัก จางเว่ยอวี้เคยบอกไว้ว่าจริงๆ แล้วเงินเดือนที่จัดสรรให้ทุกๆ เดือนนั้นไม่มากนัก เหตุผลที่ทัพชิงไซ่ร่ำรวยก็คือเมืองหนานเกิงค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองและดินแดนอุดมสมบูรณ์ เมืองอวิ๋นอานไม่ได้เป็นศูนย์กลางคมนาคมอะไร ไม่มีสินค้าดัง พวกพ่อค้าไม่ชอบมาที่เมืองนี้  

 

 

อย่างไรก็ตามยิ่งสถานที่แห่งนี้ยากจนเท่าไหร่ ยิ่งเกิดความขัดแย้งกันมาก  

 

 

ว่ากันว่าศิษย์ของสำนักกระท่อมกระบี่เคยมารับตำแหน่งที่ทัพอู่เว่ย ต่อมาไม่ถึงสองเดือนก็ยื่นขอย้าย แสดงให้เห็นว่าภายในทัพอู่เว่ยมีความขัดแย้งมากขนาดไหน  

 

 

ต้องบอกว่า หลี่ว์ซู่แค่ฟังเขาอื่นพูดคุยกันก็พอรู้ว่าสำนักกระท่อมกระบี่มีฐานะสูงส่งเพียงใด ยิ่งเป็นเช่นนี้หลี่ว์ซู่ก็ยิ่งอยากไปสำนักกระท่อมกระบี่มากขึ้น  

 

 

เขาถามเสี่ยวเอ้อร์ว่าทัพอู่เว่ยเกณฑ์ทหารทุกสามเดือน ยังมีเวลาอีกกว่าหนึ่งเดือนก่อนถึงการเกณฑ์ทหารครั้งต่อไป แต่ไม่ว่าจะมีเกณฑ์กี่ครั้ง กองทัพก็ไม่เคยได้เต็มจำนวนเสียที  

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่ออกจากร้านบะหมี่ยังถามเสี่ยวเอ้อร์อีกว่า “ทหารอู่เว่ยพวกนี้ออกรบไหม”  

 

 

“ไปซิ ทำไมจะไม่รบ” เสี่ยวเอ้อร์พูดแกมดูถูก “มีโจรป่ามากมาย ต่อสู้ทุกวัน”  

 

 

ในเวลานี้เจ้าของร้านเห็นเสี่ยวเอ้อร์จึงเขม่นใส่เขา หลี่ว์ซู่ยิ้ม มีอะไรแอบแฝงอยู่จริงๆ ด้วย  

 

 

ในช่วงกลียุคย่อมมีหมู่โจร แต่โจรมาจากไหน ที่จริงส่วนใหญ่พวกเขาเป็นคนเร่ร่อนที่สูญเสียนายทาสไป ทัพอู่เว่ยเองก็ก่อตั้งจากคนเร่ร่อน จึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะสมรู้ร่วมคิดกัน  

 

 

นี่เป็นปัญหาโลกแตก เมืองนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ศูนย์กลางคมนาคม แล้วยังมีโจรป่าอีก ถ้าพ่อค้ายอมมาก็แปลกแล้ว แต่กลายเป็นยิ่งจนก็ยิ่งเลวร้ายลง  

 

 

หลี่ว์ซู่ลากเสี่ยวเอ้อร์มาถาม “ขอถามอีกคำถาม ปกติแล้วมีพ่อค้ามาบ้างไหม”  

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ผงะไปชั่วขณะ “มีซิแต่ไม่มาก ตอนนี้เหลือเพียงขบวนพ่อค้าสองกองที่มาที่นี่ พวกเขามีทาสที่มีพลังระดับสองดังนั้นพวกโจรจึงไม่กล้าปล้น”  

 

 

หลี่ว์ซู่โล่งอก มีพ่อค้าก็หมายความว่าสบู่ของเขาจะเอาไปขายที่อื่นได้  

 

 

ตราบใดที่อากาศยังชื้นก็จะสะดวกในการขนส่งสบู่ เขาถามอย่างสงสัยว่า “ขบวนพ่อค้าจะมาเมื่อไหร่”  

 

 

“ตอนนี้อยู่ทางตะวันออกของเมือง” เสี่ยวเอ้อร์พูด “แต่พวกนายต้องระวัง นายทาสหญิงคนนั้นนิสัยแปลกประหลาด”  

 

 

หลี่ว์ซู่ขอบคุณเสี่ยวเอ้อร์และพาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไปทางทิศตะวันออกของเมือง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เหลือบมองเขาอย่างสงสัย “นายคิดจะทำอะไรดีแล้วใช่ไหม”  

 

 

“เราจะหลอกพวกเขา!” หลี่ว์ซู่พูดอย่างมั่นใจพร้อมกับรอยยิ้มลึกลับที่มุมปาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาดำเนินแผนอย่างจริงจัง  

 

 

…  

 

 

“ออกไปๆ ฉันอนุญาตพวกนายเข้ามาแล้วเหรอ” ทาสแข็งแรงคนหนึ่งผลักหลี่ว์ซู่ออกไปด้านนอก  

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ “ฉันจะคุยการค้ากับพวกนาย รับรองว่าพวกนายฟังแล้วจะต้องทึ่ง… เดี๋ยวก่อนซิ อย่าเพิ่งผลัก บอกให้ หยุด!”  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หัวเราะจนตาจะกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว หลี่ว์ซู่ตอนอยู่บนโลกค่อยๆ กลายเป็นคำพ้องความหมายกับคำว่าไม่มีอะไรทำไม่ได้ ทุกคนเหมือนจะคิดว่าไม่มีอะไรที่หลี่ว์ซู่ทำไม่สำเร็จ  

 

 

พอมาโลกของจักรวาลหลี่ว์นี้ได้เห็นหลี่ว์ซู่ยอมคนบ้างก็สนุกดี

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset