ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 492 ความปรารถนาอันแรงกล้าในพลังระดับ B ของหลี่ว์ซู่

ความปรารถนาอันแรงกล้าในพลังระดับ B ของหลี่ว์ซู่

 

ในตอนกลางวัน หลี่ว์ซู่ดูเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียนในห้อง ขณะที่ความจริงแล้วเขากำลังคิดถึงวิธีการลงมือปฏิบัติการตามแผนของเขาในช่วงกลางคืน

 

แต่เมื่อเขาแวบไปเห็นซากุราอิ เขาก็พบว่าเธอดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอย่างหนักอยู่ หลี่ว์ซู่สงสัยเพราะเธอไม่เคยดูกังวลขนาดนั้นมาก่อน

 

หลี่ว์ซู่ถาม “เธอกำลังคิดเรื่องกุญแจกับกระเป๋าเงินของเธออยู่เหรอ”

 

เธอตอบอย่างลังเล “เปล่าเลยค่ะ อาจารย์…ห่วงฉันเหรอ”

 

“เอ่อ…” หลี่ว์ซู่ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร จากนั้นเขาจึงเลือกที่จะยอมแพ้และกลับไปหลับต่อแทน

 

รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยาเอโกะ บางทีคิริฮาระคุงอาจไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คาดเอาไว้ก็ได้ เธอคิดในใจว่า ท่านอาจารย์ของเราอาจคิดมากเกินไป

 

การคาดเดาที่อยู่ในใจของหลี่ว์ซู่ว่าอาจมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับซากุราอินั้นยิ่งดูน่าเชื่อว่าจะจริงมากขึ้นไปอีก ขออย่าให้กระทบกับการสอนศิลปะป้องกันตัวของเธอในสุดสัปดาห์นี่เลยเถอะนะ…

 

อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนั้นไม่มีเวลาที่จะไปสนใจอะไรขนาดนั้น หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดในการเดินทางมาที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ ไม่ใช่ทั้งมรดกหรือภารกิจ แต่เป็นแต้มอารมณ์ที่จะรับจากกลุ่มทวยเทพได้ฟรีๆ

 

เขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของการจุดประกายกลุ่มดาวที่สามทั้งหมด โดยเหลือดวงดาวอยู่เพียงสองดวงเท่านั้น หลี่ว์ซู่ยังสงสัยเกี่ยวกับรูปลักษณ์และการใช้งานของกระบี่เล่มที่สามอีกด้วย และสงสัยว่าเขาจะเป็นอย่างไรหลังจากได้เลื่อนขั้นขึ้นไปสู่ระดับ B ในที่สุด

 

และเขาเชื่อว่าเขาสามารถจะรับแต้มอารมณ์จากกลุ่มทวยเทพจนหมดครบยันหยดสุดท้ายเลยทีเดียว

 

ในตอนกลางคืน หลี่ว์ซู่รอจนกระทั่งสี่ทุ่มก่อนจะออกจากบ้านไป ขณะที่บันไดก็ออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ ทางประตูหลังในเวลาเดียวกัน เขาเน้นบอกเธอเป็นพิเศษว่าไม่ให้กลับมาจนกว่าเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องประสบปัญหาหากเกิดอะไรไม่ดีขึ้นที่ฝั่งของหลี่ว์ซู่

 

แผนการของเขามีความไม่แน่นอนอยู่ตามปกติวิสัย ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงหวังจะลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดสำหรับคนอื่น ผลที่ตามคือเขาไม่ได้ใช้แม้กระทั่งข้อมูลที่สำคัญที่สุดที่หน่วยข่าวกรองของเครือข่ายมีให้ เพื่อที่จะได้ไม่ทิ้งเบาะแสที่น่าสงสัยเอาไว้ข้างหลังให้ต้องชี้ไปที่ใครอื่นเลย

 

อีกนัยหนึ่งก็คือ หลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนเลือดเย็นและไม่อาจคิดที่จะให้คนอื่นต้องมาสละชีวิตเพื่อเขา

 

นอกเหนือไปจากนั้น เขาคงจะต้องรู้สึกสำนึกผิดหากมีคนบริสุทธิ์ต้องประสบปัญหาไปด้วย เพราะเขาไม่ได้กระทำการเพื่อเจตนาอันดีงามสูงส่งอะไร

 

หลี่ว์ซู่กระโดดข้ามกำแพงไปเงียบๆ และทำตัวเองให้กลมกลืนในความมืด ขณะที่เขายืนอยู่บนหลังคาของตึก เขามองลงมาที่สำนักงานใหญ่ของทวยเทพที่อยู่ไกลออกไป ยังมีไฟบางห้องที่เปิดอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น

 

ในฐานะที่พวกเขาเป็นองค์กรผู้บำเพ็ญ หลี่ว์ซู่จึงสงสัยว่าดึกดื่นป่านนั้นแล้วพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่

 

เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว มันก็เข้าใจได้อยู่หรอก การบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวนั้นเพียงพอที่จะรับประกันความอยู่รอดของเราในป่าเขา แต่ไม่ใช่ในโลกที่สกปรกโสมมนี้

 

ณ ที่แห่งนี้ ต้องมีการรวบรวมข้อมูลจากทั่วโลกไว้ทันทีทันควัน ต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ระดับภูมิภาค และ…

 

ว่าไปแล้ว การที่เครือข่ายฟ้าดินมีราชันฟ้าเนี่ยถิงวิ่งไล่ฆ่าคนทุกวี่ทุกวันนั้นมันไม่เป็นอะไรใช่ไหม เขาไม่มีงานบริหารอะไรให้ทำเลยเหรอ ตั้งแต่หลี่ว์ซู่พบว่าเรื่องมรดกเป็นเพียงการต้มตุ๋น เขาก็เอาแต่บ่นเรื่องเนี่ยถิงรายวัน…

 

ตอนเที่ยงคืน ไฟส่วนใหญ่ในคฤหาสน์ก็ปิดลงเกือบหมด หลี่ว์ซู่กระโดดลงมาจากยอดตึกและเดินไปยังคฤหาสน์อย่างเป็นกันเอง เขาไม่กลัวเพราะในเวลานี้พวกนักสู้มืออาชีพส่วนใหญ่ได้กลับบ้านไปฝึกวิชาแล้ว คฤหาสน์นั้นถูกใช้เพื่อการทำงานเท่านั้นและไม่ใช่สถานที่พักอาศัยอย่างแน่นอน

 

นี่เป็นเพราะไม่มีการสะสมพลังจิตวิญญาณในคฤหาสน์นั้นมากเพียงพอ ซึ่งก็เป็นเหตุผลเดียวกันกับในโรงเรียน

 

ดังนั้น คฤหาสน์จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่งมากกว่าการใช้ประโยชน์ได้แท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วหลี่ว์ซู่ก็คงไม่เลือกที่นี่อยู่แล้ว…

 

นอกทางเข้าคฤหาสน์มีผู้รักษาความปลอดภัยอยู่สิบสองคน โดยที่แต่ละคนมีคลื่นพลังที่เข้มข้น

 

หลี่ว์ซู่มั่นใจหลังจากมองผ่านเพียงแวบเดียวว่าพวกเขาทั้งหมดอยู่ระดับ D หรือสูงกว่านั้น พวกเขายืนกันเงียบๆ พร้อมทำหน้าตาขึงขังและห้อยดาบยาวไว้ใต้เอว

 

แต่มีหนึ่งในนั้นเตะตาของหลี่ว์ซู่ คนระดับ C!

 

ขณะที่หลี่ว์ซู่เดินเข้าไป หนึ่งในนั้นทำความเคารพเขา “ท่านรัฐมนตรีคิตะมุระ!”

 

ทั้งสิบสองคนโค้งคำนับ หลี่ว์ซู่ยิ้มกว้าง “ดีมาก”

 

อย่างไรก็ตามในวินาทีต่อมาพวกเขาทั้งหมดก็เล็งดาบยาวของพวกเขามาที่หลี่ว์ซู่ ท่าของพวกเขาพร้อมเพรียงกันจนดูเหมือนพวกเขาได้ฝึกมาเป็นพิเศษหลายรอบ

 

“ตกลง ได้เลย ฉันจะไม่มีวันประสบความสำเร็จตอนที่ตั้งใจจะป้ายความผิดใส่คนอื่น…เวรเอ๊ย…” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจด้วยความเซ็ง

 

พูดตามตรงแล้วเขาก็ไม่ได้มาพร้อมความคาดหวังที่สูงเหมือนกัน เนื่องจากเขาอาจถูกเปิดโปงได้อย่างง่ายดายจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เวลาที่เข้ามา และกิริยาอาการ ยิ่งไปกว่านั้น คิตะมุระ ฮิโรโนะก็มีคนขับรถส่วนตัวที่ใช้เวลาเดินทางด้วย

 

ฉะนั้นหน้ากากของคิตะมุระนั้นมีประโยชน์ในการปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่เสียมากกว่า แม้ว่าเขาสามารถใช้ใบหน้าของใครอื่นก็ได้ หลี่ว์ซู่ยังพอมีความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่บ้างในใจ…

 

ทันใดนั้นสถานการณ์ก็ตกอยู่ในความโกลาหล ในเสี้ยววินาทีเดียวใบมีดทั้งหมดก็สลัดหลุดออกจากฝักของพวกมันในทันที

 

ทว่าพวกเขาเลือกศัตรูผิดคน

 

ด้วยความเร็วดังสายฟ้าฟาด ร่างของหลี่ว์ซู่ล่าถอยออกมาจากวงล้อมและกระโจนกลับเข้าไปใหม่!

 

ณ วินาทีนั้น ดาบซามูไรสองเล่มได้แทงออกมาที่เขาพร้อมๆ กัน แต่หลี่ว์ซู่คีบใบมีดเอาไว้ระหว่างนิ้วมือของเขาอย่างง่ายดาย ก่อนที่ผู้รักษาความปลอดภัยจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้พวกเขาก็ถูกเหวี่ยงออกไปเมื่อหลี่ว์ซู่ออกแรงลงไปที่ใบมีดเหล่านั้น

 

หลี่ว์ซู่ขว้างดาบซามูไรทั้งสองเล่มนั้นทิ้งด้วยหลังมือโดยไม่มีลังเล มันตรึงผู้รักษาความปลอดภัยสองคนไว้ที่กำแพงก่อนที่พวกเขาจะสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีนั้นได้ด้วยซ้ำ ณ ตอนนั้นด้ามดาบสองเล่มยังคงสั่นสะท้านไม่หยุดเลย!

 

ตอนนี้ผู้รักษาความปลอดภัยคนอื่นๆ เข้าใจแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายแปลกหน้าคนนี้ หนึ่งในนั้นเลื่อนเอาของชิ้นหนึ่งที่ดูคล้ายกุญแจรถสีดำเข้ามาในฝ่ามือของตัวเอง แต่หลี่ว์ซู่ก็ไปถึงก่อนที่เขาจะกดปุ่มได้

 

แล้วชายคนนั้นก็ทำได้แค่มองดูหน้าอกของเขายุบลงจากแรงต่อยของหมัดที่หลี่ว์ซู่ปล่อยออกมา ในวินาทีต่อมาเลือดของเขาก็ทะลักไม่หยุดและเขาก็ไม่อาจกดปุ่มนั้นได้อยู่ดี!

 

พวกที่เหลืออีกไม่กี่คนมีดวงตาสีแดงก่ำจากความกระหายเลือด พวกเขากระโจนเข้าใส่หลี่ว์ซู่โดยไม่ได้คิดถึงโอกาสชนะเลย หลังจากถอนหายใจเบาๆ หลี่ว์ซู่ก็จัดการพวกเขาทั้งหมดอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย ในตอนนี้เขามีอาวุธวิเศษอีกสิบสองชิ้นอยู่ในกระเป๋าแล้ว…

 

เขาตัดสินใจจากไปเนื่องจากคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าของทวยเทพจะต้องถูกดึงดูดมาที่นี่จากการฆ่าอย่างอุกอาจของเขาอย่างแน่นอน

 

ในการคำนวณของบันไดก่อนหน้านี้ มันจะใช้เวลาแค่ห้านาทีเป็นอย่างมากที่คนระดับ B จะออกจากที่พักมาถึงคฤหาสน์ แต่หลี่ว์ซู่นั้นยังไม่เสร็จธุระ

 

เขาค่อยๆ เอาแปรงกับสีแดงออกมากระป๋องหนึ่งจากตราแผ่นดินของเขา เขาซื้อมันมาในตอนบ่ายเพียงเพื่อที่จะได้รับแต้มอารมณ์เพิ่มโดยเฉพาะ

 

ขณะที่ทีมงานกำลังวุ่นวายกับการโทรเรียกผู้อาวุโสของทวยเทพอยู่ในห้องควบคุม พวกเขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อมองดูหลี่ว์ซู่ทาสีลงบนประตูของพวกเขาและจากไปในทันที…

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset